บทที่ 148 ฆ่าหรือไม่ฆ่า?
ครื้นน!
ในตอนนั้นเอง จู่ๆไข่มุกวิญญาณเพลิงที่อยู่ในตัวเจียงอี้ก็ส่องสว่าง พลังงานลึกลับไหลเวียนออกมาและทะลวงเข้าไปในร่างกายของเขา
พลังงานดังกล่าวมุ่งตรงไปที่ดวงวิญญาณและปลดปล่อยแสงสีทองอร่ามซึ่งทำให้เงาของจิ้งจอกน้อยสูญสลายไปราวกับภูตผีที่ถูกแสงแห่งพระเจ้าขับไล่
วินาทีต่อมา เจียงอี้ก็รับรู้ได้ว่าสิทธิ์ในการควบคุมร่างกายได้กลับมาเป็นของเขาอีกครั้ง ไข่มุกวิญญาณเพลิงคืออะไรกันแน่? แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนว่าเขายังประเมินมันต่ำเกินไป!
มิติภายในไข่มุกวิญญาณเพลิง เจียงอี้ไม่พบสิ่งใดนอกเสียจากหินวิญญาณเพลิง แล้วพลังงานลึกลับนั่นมาจากไหน? ถึงจะยังไม่รู้ตอนนี้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็มั่นใจแล้วว่าไข่มุกวิญญาณเพลิงจะต้องเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน
เพราะมีเพียงสิ่งประดิษฐ์ระดับนี้เท่านั้นถึงจะสามารถปกป้องเจ้านายได้ด้วยจิตสำนึกของมันเอง
สมควรแล้วที่เป็นถึงสมบัติของราชันสวรรค์หมื่นมังกรที่แม้ตัวจะตายไปแล้วแต่ก็ยังคงเก็บมันเอาไว้ใกล้ตัว มันคือสมบัติที่มิอาจประเมินค่าได้!
เจียงอี้ลอบตื่นเต้นอย่างลับๆ เขาลืมตาขึ้นและจากนั้นก็คว้าไปที่กริชสีแดงเพื่อจะใช้คิดบัญชีกับจิ้งจอกวิญญาณสามหาง
ในเวลาเดียวกันมืออีกข้างก็กำไข่มุกวิญญาณเพลิงไว้แน่น หากจิ้งจอกวิญญาณสามหางกล้าที่จะคิดไม่ซื่อ เจียงอี้ก็จะไม่ลังเลที่จะใช้หินวิญญาณเพลิงสังหารมัน
“จี๊-จี๊!”
จิ้งจอกน้อยขวัญหนีดีฝ่อ มันนอนแผ่อยู่บนพื้นและไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มผู้นี้ถูกมนต์สะกดของมันเล่นงาน แต่ทำไมถึงดูไม่เป็นอะไรเลย?
เมื่อจ้องมองไปยังกริชสีแดงที่อยู่ในมือของเจียงอี้ จิ้งจอกน้อยก็ยิ่งรู้สึกขวัญผวา มันใช้สายตากึ่งอ้อนวอนกึ่งหวาดกลัวมองไปที่เจียงอี้ราวกับกำลังร้องขอความเมตตา
“หืม?”
เจียงอี้มองไปที่ใบหน้าของจิ้งจอกน้อยและรู้สึกว่ามันช่างดูเหมือนกับเด็กสาวตัวเล็กๆที่กำลังอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คลายมือที่ถือกริชสีแดงแต่กลับกำแน่นขึ้น
ก่อนหน้านี้เขาเกือบจะตกอยู่ในมนต์สะกดของจิ้งจอกวิญญาณสามหาง หากไม่ได้ไข่มุกวิญญาณเพลิงช่วยไว้ ป่านนี้เขาคงจะตายไปแล้ว!
“ใต้เท้า ได้โปรดอย่าฆ่าเสี่ยวเฟยเลย!”
ทันใดนั้นเอง ประกายแสงสีขาวก็แวบผ่านม่านตาของจิ้งจอกวิญญาณสามหาง ในเวลาเดียวกันเสียงของเด็กสาวก็ดังขึ้นในใจของเจียงอี้ซึ่งทำให้เขาหยุดชะงัก
ร่างของเขาแข็งทื่อและรีบหันซ้ายขวาเพื่อดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ เมื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีคนอื่นอยู่จริงๆ เขาก็หันกลับมามองจิ้งจอกน้อยอีกครั้งและเอ่ยถาม
“เจ้าพูดได้?”
จิ้งจอกน้อยพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นเสียงของเด็กสาวก็ปรากฏขึ้นในใจของเจียงอี้อีกครั้ง
“ใต้เท้า เสี่ยวเฟยไม่มีเจตนาที่จะเป็นศัตรูกับท่าน ข้าเพิ่งเคยออกมาเที่ยวชมโลกภายนอกเป็นครั้งแรก ได้โปรดปล่อยเสี่ยวเฟยไปเถิด”
“บัดซบ!”
เจียงอี้สั่นสะท้านและเกือบจะวิ่งหนี ตำนานเก่าแก่กล่าวว่าวิญญาณจิ้งจอกมีอยู่จริงและเขาก็ได้เจอกับตัวแล้ววันนี้ จิ้งจอกน้อยสามารถสื่อสารกับเขาได้ ไม่ใช่ว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าวิญญาณปีศาจ?
ฆ่าหรือไม่ฆ่า?
คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเขา จิ้งจอกวิญญาณสามหางอันตรายเกินไป หากเจียงอี้ไม่มีไข่มุกวิญญาณเพลิงอยู่กับตัว เกรงว่าเขาคงจะกลายเป็นหุ่นเชิดของมันไปแล้ว อีกทั้งมันยังมีความชาญฉลาดที่เหนือกว่าสัตว์อสูรทั่วไป
ความสามารถในการสื่อสารของมันคือการส่งกระแสจิตเข้ามาในหัวโดยตรง มันทำให้เขารู้สึกราวกับว่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่สัตว์อสูร แต่เป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงไม่น่าไว้ใจและทำให้เขารู้สึกลังเล
“โอ้ จริงสิ!”
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ ไม่ใช่ว่าเขามีเครื่องรางสัตว์วิญญาณอยู่กับตัวหรอกหรือ? จิ้งจอกวิญญาณสามหางตัวที่แข็งแกร่งมาก หากว่าสามารถทำให้มันกลายเป็นสัตว์วิญญาณของเขาได้ มันจะน่าเกรงขามขนาดไหนกัน?
เจียงอี้ไม่ได้คิดถึงความแข็งแกร่งทางกายภาพของจิ้งจอกวิญญาณสามหาง แต่ตำนานบอกไว้ว่ามันสามารถสะกดจิตคนและแม้แต้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวก็ไม่อาจรอดพ้นจากเงื้อมมือของมันได้
“จะยอมตายหรือกลายมาเป็นสัตว์วิญญาณของข้า?”
เจียงอี้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาหยิบเครื่องร่างสัตว์วิญญาณมาถือไว้มือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็กำไข่มุกวิญญาณเพลิงไว้แน่น จากนั้นเขาก็ถ่ายเทแก่นแท้พลังลงไปในเครื่องราง พริบตาเดียวอักขระวิเศษก็บินออกมาและมุดเข้าไปในร่างของจิ้งจอกน้อย
“จี๊! จี๊!”
เมื่ออักขระจากเครื่องรางสัตว์วิญญาณแทรกซึมเข้าไปในร่างของจิ้งจอกวิญญาณสามหาง มันก็คร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวดและดิ้นไปมาอยู่บนพื้น ใบหน้าเล็กๆของมันเผยให้เห็นความทุกข์ทรมาน จากนั้นมันก็พยายามเค้นพลังและส่งกระแสจิตหาเจียงอี้อีกครั้ง
“ใต้เท้า ได้โปรดปล่อยเสี่ยวเฟยไปเถิด! เสี่ยวเฟยสัญญาว่าจะไม่กลับมาให้ท่านเห็นหน้าอีก!”
“ได้โปรดเมตตาข้าด้วย!”
“เสี่ยวเฟยเจ็บจังเลย… ท่านแม่ ท่านรีบมาช่วยเสี่ยวเฟยเร็วเข้า!”
“ฮือๆ เสี่ยวเฟยเจ็บมากเลย! ได้โปรดหยุดเถิด เสี่ยวเฟยจะตายอยู่แล้ว…”
“ใต้เท้า ละเว้นเสี่ยวเฟยได้ไหม? เสี่ยวเฟยสาบานว่าจะกลับมาตอบแทนพระคุณของท่านอย่างแน่นอน”
เสียงอ้อนวอนของจิ้งจอกน้อยผุดขึ้นมาในใจของเจียงอี้อย่างต่อเนื่อง เขามันใจว่ามันเป็นเสียงของเด็กสาวผู้หนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมาน เจียงอี้ก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อน จากนั้นไม่นานรัศมีสีทองบนเครื่องรางสัตว์อสูรก็จางหายไป
สภาพของจิ้งจอกน้อยในตอนนี้เตือนให้เขานึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาที่เขาถูกเจียงหยูหู่และลูกสมุนของมันรังแก ในตอนนั้นเจียงเสี่ยวนู๋มักจะใช้ตัวเองปกป้องเขาไม่ว่าจะถูกถีบหรือถูกต่อย
ใบหน้าอันน่าสงสารของเจียงเสี่ยวนู๋ที่กำลังร้องขอความเมตตาจากเจียงหยูหู่ช่างคล้ายคลึงกับจิ้งจอกน้อยในตอนนี้ยิ่งนัก
เจียงอี้ไม่ใช่คนใจอ่อน แต่เขากับเจียงเสี่ยวนู๋เติบโตมาพร้อมกัน พวกเขาพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ในสายตาของเจียงอี้ นางเปรียบเสมือนน้องสาวแท้ๆ แล้วกับจิ้งจอกน้อยที่คล้ายคลึงกับเจียงเสี่ยวนู๋มากขนาดนี้ เขาจะกล้าทำร้ายมันได้ลงคอเชียวหรือ?
ร่องรอยความปิติยินตีปรากฏอยู่ในดวงตาของจิ้งจอกน้อย เมื่อเห็นว่าจู่ๆเจียงอี้หยุดทำร้ายมัน มันก็รู้สึกแปลกใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาที่ชายหนุ่มใช้มองมัน ดวงตาคู่นั้นสามารถสัมผัสได้ถึงความรักและอ่อนโยน มันช่าง… น่าประหลาดเสียจริง
สมองน้อยๆของมันไม่สามารถประมวลผลได้ทัน ทำไมมนุษย์ผู้นี้ถึงได้ดูเป็นมิตรและใจดีขึ้นมากะทันหัน? แล้วสายตาอันน่าขนลุกเมื่อครู่หายไปไหนเสียแล้วล่ะ? ใบหน้าของเขาที่มองมาในตอนนี้ช่างเหมือนกับใบหน้าอันอ่อนโยนของท่านแม่ยิ่งนัก
“ไปได้แล้ว!”
เจียงอี้ตะโกน เขาพ่นลมหายใจออกมาและเบือนหน้าหนี แม้สมองของเขาจะบอกเขาว่ามันเป็นเรื่องผิดพลาดร้ายแรงที่ปล่อยจิ้งจอกวิญญาณสามหางจากไป แต่เขาก็ยังคงเลือกที่จะทำตามหัวใจของตัวเอง
“จี๊ จี๊”
จิ้งจอกน้อยจ้องเขม็งไปที่เจียงอี้ด้วยความไม่อยากจะเชื่อและส่งเสียงเล็กแหลมออกมาสองสามครั้ง จากนั้นไม่นานเสียงของเด็กสาวก็ปรากฏขึ้นในใจของเจียงอี้อีกครั้ง
“ขอบคุณใต้เท้า เสี่ยวเฟยสัญญาว่าจะตอบแทนความเมตตาของท่านในวันหนึ่ง! เสี่ยวเฟยไปก่อนนะ!”
จิ้งจอกน้อยลุกขึ้นและรีบวิ่งตรงเข้าไปในป่า อย่างไรก็ตามมันก็หันกลับมามองเจียงอี้อยู่หลายครั้งพร้อมกับความรู้สึกที่แสนประหลาด
“เฮ้ออ…”
หลังจากที่จิ้งจอกวิญญาณสามหางจากไป เจียงอี้ก็ถอยหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความรู้สึกเสียดาย แต่เขาก็ส่ายหัวและพยายามขจัดความคิดนั้นออกไป หากคนผู้หนึ่งโชคดี เขาจะพบเจอกับโชคลาภและโอกาสอีกมากมายในชีวิต
แม้ว่าบางคนจะเสียดายที่ปล่อยให้บางสิ่งหลุดมือไป แต่มันก็เท่านั้น แต่ถ้าหากสูญเสียตัวตนที่แท้จริงไป เขาจะต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
……
ฟึ่บ!
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้เล็กน้อย ในขณะที่เจียงอี้กำลังใช้เครื่องรางสัตว์วิญญาณเพื่อปราบจิ้งจอกน้อยนั้น ร่างเงาสีขาวได้พุ่งออกมาจากส่วนลึกของหุบเขาสามหมื่นลี้ ความเร็วของมันเทียบเท่ากับสายฟ้าซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะระบุว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดใด สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงแค่เศษเสี้ยวของแสงสีขาวเท่านั้น
สัตว์อสูรที่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของหุบเขากำลังหมอบกราบลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัวขณะที่ร่างเงาสีขาวกำลังพุ่งผ่านพวกมันไป แม้แต่สัตว์อสูรระดับสามก็ยังต้องคุกเข่าเพราะความกลัวและไม่กล้าหายใจแรง
ฟึ่บ!
ในที่สุดร่างเงาสีขาวนั้นก็ได้มาถึงหุบเขาเมฆาทมิฬ เมื่อมันปรากฏตัว สัตว์อสูรที่อยู่บริเวณนั้นก็รีบหลบซ่อนเพราะกลิ่นอายที่ทรงพลังของมัน อย่างไรก็ตาม จิ้งจอกน้อยที่เพิ่งจะหนีรอดกลับมาได้ก็ส่งเสีย ‘จี๊ จี๊’ และรีบกระโจนเข้าหาร่างเงาสีขาวในทันที
“หืม?”
ในขณะที่เจียงอี้กำลังจะเตรียมตัวกลับไปยังถ้ำ จู่ๆเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามและกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่นซึ่งตรึงร่างของเขาไว้ มันเป็นพลังอันดุดันซึ่งเขาไม่เคยพบไม่เคยเจอมาก่อนในชีวิต
เขาสั่นสะท้านไปถึงดวงวิญญาณราวกับฟ้าดินกำลังจะพังพินาศ จู่ๆภาพตรงหน้าของเขาก็ตัดไปและหมดสติ
ตู้มมม!
กลิ่นอายอันทรงพลังกระจายไปถึงกลุ่มคนที่ซ่อนตัวอยู่ในถ้ำ พวกเขาทุกคนรวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งสองต่างก็ล้มลงกับพื้นและหมดสติภายใต้แรงกดดันอันมหาศาล