ตอนที่ 19 หินชิงหลัว
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยออกจากบ้านร้อยรส ทั้งวันที่เสวี่ยอิ่งกล่าวถึงในปัจจุบันเหลือเพียง ‘กลางคืน’ เท่านั้น ในครั้งนี้ไม่มีใครนำทางให้เขา แต่โชคดีที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ใช่คนโง่ เขาได้ถามทางป๋ายเย่ถึงเส้นทางแห่งหนึ่งตอนที่กำลังกินอาหาร ต่อให้เขาไม่เคยเดินไปมาก่อนและถึงแม้มันจะหายากแต่ก็คงไม่ยากไปกว่าการหาห้องเรียนคนเถื่อน...
อีกอย่างป๋ายเสี่ยวเฟยไม่จำเป็นต้องเสียพลังงานแม้แต่น้อยเพราะบริเวณหอพักกำลังยุ่งพลุกพล่านกับการจัดการศิษย์ใหม่
ป๋ายเสี่ยวเฟยพบหอพักของเขาอย่างรวดเร็วจากหมายเลขที่เสวี่ยอิ่งมอบให้ ห้องหมายเลข 807 คือที่ที่เขาจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอีกสี่ปี ก่อนที่เขาจะทันเข้าไป เขาพลันได้ยินเสียงของโม่ข่า
“พวกเจ้าทั้งสองจะกังวลอะไรนัก? ป๋ายเสี่ยวเฟยจะต้องมาที่นี่แน่นอนนอกเสียจากเขาจะนอนข้างนอก! ท่องจำสิ่งที่ข้าพูดไว้ พวกเจ้าแค่ทำตามเท่านั้น!”
ในฐานะคนที่ฉลาดที่สุดในกลุ่ม โม่ข่ากลายเป็นหัวหน้าอย่างรวดเร็ว หากเขาจัดการป๋ายเสี่ยวเฟยได้เขาก็เป็นดั่งปลาได้น้ำในห้องนี้
น่าเสียดายที่ฝ่ายตรงข้ามคือป๋ายเสี่ยวเฟย...
“เสี่ยวเอ้อ ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวพลางกดมือลงบนหัวเสี่ยวเอ้อ แสงสีเหลืองอ่อนเป็นตัวแทนของปราณกำเนิดไหลผ่านเข้าไปในร่างสุนัขฮัสกี้และสร้างประกายแสงสีน้ำเงิน ในชั่วพริบตาเสี่ยวเอ้อหายตัวไปแทนที่โดยป๋ายเย่!
ป๋ายเสี่ยวเฟยบอกคนอื่นอยู่ตลอดว่าเขาเป็นนักเชิดหุ่นสายมายาแต่เขาไม่เคยบอกความสามารถของเสี่ยวเอ้อ เป็นเหตุให้คนส่วนใหญ่คาดเดาว่ามันเป็นเพียงความสามารถภาพลวงตาอย่างง่ายที่หุ่นเชิดปกติธรรมดามี
แต่ในความจริงความสามารถของเสี่ยวเอ้อคือความสามารถที่หายากที่สุดในสายมายา ลอกเลียนแบบ!
เสี่ยวเอ้อสามารถเลียนแบบสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามที่มันเคยเห็น และหากเสี่ยวเอ้อยู่ใกล้คนผู้นั้นเป็นเวลานานเขาจะเลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติ!
ทั้งศิษย์พี่ที่เดินผ่านตอนป๋ายเสี่ยวเฟยดำเนินแผนทำให้ศิษย์พี่ที่นำทางพวกเขาไปยังที่พักอับอายเพราะผายลมและฉินหลิงหยานที่พาเขาผ่านเข้าประตูหลักทั้งคู่ล้วนเป็นผลพวงจากความสามารถของเสี่ยวเอ้อ
แถมฉินหลิงหยานนั้นยังเป็นการลอกเลียนแบบฉบับสมบูรณ์ เป็นเหตุผลที่ทำไมป๋ายเย่ไม่รู้ตัวว่านางเป็นตัวปลอม
แต่ก็ยังมีจุดบกพร่องอันใหญ่หลวงอยู่อย่างหนึ่งเพราะระดับของเสี่ยวเอ้อไม่สูงพอ ก็คือมันไม่สามารถพูดได้ระหว่างการเลียนแบบ
แต่เพียงพอแล้วสำหรับป๋ายเสี่ยวเฟย!
เสี่ยวเอ้อผู้ได้ปลอมแปลงเป็นป๋ายเย่เดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าป๋ายเสี่ยวเฟยก่อนจะผลักประตูห้อง 807 ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็มีเสียงตะโกนดังลั่นห้อง
“ไอ้บัดซบตัวไหน...”
ประโยคที่โม่ข่าเตรียมพร้อมไว้พลันหลุดออกมาจากปากเขา แต่เขารีบกลืนคำที่เหลือลงไปทันทีเมื่อเขาเห็นผู้มาเยือน
“ศะ..ศิษย์พี่”
ผลึ่บ!
ทั้งสามยืนขึ้นมาพร้อมเพรียงกันทันที ใบหน้าโม่ข่าเต็มไปด้วยความอับอายเขาไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
“พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้น!?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเดินเข้ามา ‘ในเวลาที่เหมาะเจาะ’ เขาพลัน ‘เข้าใจ’ ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อเห็นเหยือกนอนอยู่บนพื้น
“ไม่ต้องกังวล พี่ใหญ่ป๋ายเป็นคนกันเองไม่เหมือนศิษย์พี่คนอื่นๆ พวกเจ้าไม่ต้องเกรงกลัวเขานัก”
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวจบทั้งสามราวกับได้จับฟางช่วยชีวิตเอาไว้ โดยเฉพาะโม่ข่าเขาถึงกับส่งสายตาขอความช่วยเหลือมาหาป๋ายเสี่ยวเฟย
ป๋ายเสี่ยวเฟยส่งสายตาให้โม่ข่าว่าเขาเข้าใจเขาพลัน ‘คิดวิธี’ ในการส่ง ‘ป๋ายเย่’ ผู้ซึ่งกำลังจะบันดาลโทสะ ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าว
“พี่ใหญ่ป๋าย พวกเราสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ท่านกลับไปก่อนเถิด ศิษย์พี่หญิงหลิงหยานรอท่านอยู่”
ป๋ายเย่หันมามองป๋ายเสี่ยวเฟยแล้วจึงพยักหน้า เขาหันหลังกลับเดินออกไป แน่นอนว่าป๋ายเย่ไม่ลืมที่จะเขม่นโม่ข่าก่อนจากไป
“พี่ใหญ่เฟย! พี่ใหญ่เฟย! ศิษย์พี่คนนั้น...”
หลังจากป๋ายเย่จากไป โม่ข่าเป็นคนแรกที่เปิดปากพูด ความเกรงกลัวในนัยน์ตาของเขาไม่มีทีท่าว่าจะสลายหายไป
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ได้ถูกศิษย์พี่นำทางเขาจึงไม่รู้ว่าบทเรียนที่น่า ‘จดจำ’ ของศิษย์พี่พวกนั้นเป็นเช่นไร แต่ดูเหมือนว่าพวกโม่ข่ายังคงจดจำมันได้อย่างชัดแจ้ง
สรุปคือศิษย์พี่ไม่ต่างอะไรจากมารร้ายในสายตาของเหล่านักเรียนใหม่!
“อย่ากังวลไป ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ได้แย่ อีกอย่างเจ้าไม่ได้จงใจทำ พี่ใหญ่ป๋ายเย่ไม่มีทางโกรธเจ้าเมื่อมีข้าอยู่”
ป๋ายเสี่ยวเฟยตบบ่าโม่ข่าก่อนจะก้าวเข้าไปในห้อง
เขากวาดตามองไปทั่ว มีเตียงทั้งหมดอยู่สี่เตียง สองที่หน้าต่างและสองที่ประตู มีเพียงเตียงเดียวที่ยังไม่มีผู้จับจองอยู่ที่หลังประตูมันถูกตั้งอยู่ในที่ที่เลวร้ายที่สุด
“ไอ๊ ข้าไม่อาจทำอะไรได้ มีแต่ต้องนอนที่นี่เท่านั้น”
ป๋ายเสี่ยวเฟยถอนหายใจยาวในขณะที่เขากำลังจะนั่งลง มือของโม่ข่าก็ดึงเขาขึ้นมาก่อนที่เขาจะหย่อนก้นลงบนเตียง
“พี่ใหญ่เฟย ท่านจะนอนในที่เช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าได้จัดแจงเตียงให้ท่านตรงโน้นแล้ว ท่านควรไปนอนที่นั่นจะเป็นการดีกว่า”
อาจกล่าวได้ว่าโม่ข่าเป็นคนที่ปรับตัวตามสถานการณ์ได้ดีคนหนึ่ง เขานำป๋ายเสี่ยวเฟยไปยังเตียงใกล้หน้าต่างในขณะเดียวกันก็ได้ส่งสัญญาณลับให้สือขุยเอากับดักที่พวกเขาติดตั้งไว้ในเตียงหลังประตูออก
โม่ข่ารู้ว่าหากป๋ายเสี่ยวเฟยถูกกับดักทำร้ายเข้า โม่ข่าจะต้องตกนรกทั้งเป็น
หลังจากโม่ข่าส่งป๋ายเสี่ยวเฟยไปยังเตียงอย่างระมัดระวัง พายุคลื่นในใจของเขาจึงสงบลงเล็กน้อย
“ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวปฏิเสธทางปากแต่ก้นของเขานั่งลงไปเรียบร้อย
“สถาบันเราช่างใจดีเสียจริง ของมีคุณภาพขนาดนี้ยังให้พวกเราใช้ฟรี!”
ป๋ายเสี่ยวเฟยปัดผ้าปูที่นอน พึงพอใจต่อเตียงที่เขาได้รับโดยไม่ต้องเสียอะไร
“สหาย มันไม่ฟรี สิ่งของเครื่องใช้ภายในห้องราคาหนึ่งหินชิงหลัว...”
สือขุยกล่าวทำป๋ายเสี่ยวเฟยมึนงง
“หินชิงหลัว? คือสิ่งใด?”
เมื่อป๋ายเสี่ยวเฟยถามออกมา ใบหน้าของพวกโม่ข่าเต็มไปด้วยความตะลึง
“เจ้ารู้จักหินกำเนิดใช่หรือไม่?”
สือขุยกล่าวอีกครั้ง ครั้งนี้เป็นชื่อที่ป๋ายเสี่ยวเฟยรู้จัก
หินกำเนิดคือหินวิเศษกลั่นมาจากแร่ที่มีปราณกำเนิดแฝงอยู่ มีวิธีใช้มันสองอย่างในทวีป หนึ่งคือใช้แทนค่าเงินระดับสูง สองคือใช้เพื่อเป็น ‘ยา’ สำหรับนักเชิดหุ่นและผู้ฝึกยุทธ์ เพราะปราณกำเนิดภายในหินกำเนิดไม่มีธาตุทำให้สามารถดูดซับได้โดยไร้ผลข้างเคียง
แต่เหมืองแร่หินกำเนิดทั้งหมดในทวีปล้วนเป็นของจักรพรรดิต่างๆ ดังนั้นปริมาณของหินกำเนิดนอกจักรวรรดิพวกนั้นจึงมีจำนวนที่จำกัด
“แน่นอน”
ป๋ายเสี่ยวเฟยพยักหน้าในเวลาเดียวกันเขาเริ่มคาดเดาได้แล้วว่าหินชิงหลัวคืออะไร
“หินชิงหลัวคือหินกำเนิดที่ผ่านการกลั่น นอกจากสถาบันชิงหลัวแล้วไม่มีที่ใดอีกที่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้”
สือขุยอธิบายอย่างใจเย็น นัยน์ตาเปล่งประกายด้วยความหลงใหล
มีหลายคนที่มายังสถาบันชิงหลัวเพื่อทรัพยากรพิเศษอย่างหินชิงหลัว ในอดีตมีกระทั่งคนที่สะสมหินชิงหลัวเป็นจำนวนมากก่อนจะกลายเป็นเศรษฐีสักแห่งในทวีป
“ข้าจะไปหาได้ที่ไหน? ทำไมข้าไม่มีสักชิ้น?”
ป๋ายเสี่ยวเฟยผู้กระตือรือร้นคาดเดาบางอย่างได้ เขาตื่นเต้นถึงขั้นกระโดดโหยงออกมาจากเตียงมาจับไหล่สือขุยไว้แน่น
สือขุยกล่าวอย่างลังเล
“เมื่อ...เมื่อพวกเราส่งใบรับรองจากท่านรองเจ้าสถาบันให้ศิษย์พี่ มีตราหยกอยู่ด้วยในหมู่ของหลายๆ สิ่ง จำนวนของมันขึ้นอยู่กับผลงานตอนสอบ เจ้าสามารถตรวจสอบได้ด้วยใส่ปราณกำเนิดเข้าไปในตราหยก”
ในวินาทีต่อมาป๋ายเสี่ยวเฟยค้นกระเป๋าของเขา หลังจากเขาเจอตราหยกเขาเทปราณกำเนิดเข้าไปทันที
“บัดซบ! มีแค่สองร้อยก้อนเท่านั้น”
ป๋ายเสี่ยวเฟยเขวี้ยงหรียญหยกทิ้งด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ แตกต่างจากพวกโม่ข่าที่ตอนนี้ตกตะลึงพรึงเพริดปากอ้าค้าง
‘สอง...สองร้อยก้อน!?’