บทที่ 146 จิ้งจอกวิญญาณสามหาง
เรื่องที่ไข่มุกวิญญาณเพลิงมอบความสามารถในการต้านทานอัคคีธาตุให้กับเจียงอี้ได้ มันเป็นสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่คิดว่ามันจะสามารถดูดซับเปลวเพลิงได้เช่นกัน!
เมื่อสัมผัสได้ถึงลูกไฟที่ลอยอยู่กลางห้วงมิติภายในไข่มุกวิญญาณเพลิง เจียงอี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าหินวิญญาณเพลิงเป็นวัตถุที่น่ากลัวอย่างแท้จริง มันคือสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตเขาได้ในยามคับขัน
ตอนนี้เจียงอี้เหลือหินวิญญาณเพลิงเพียงแค่สี่สิบก้อนเท่านั้น ปริมาณของมันจะลดลงทุกครั้งที่ใช้ แต่ทั้งหมดนี้จะเปลี่ยนไป เมื่อเขารู้ว่าไข่มุกวิญญาณเพลิงสามารถดูดซับเปลวเพลิงได้ เช่นนั้นเขาก็สามารถค้นหาเปลวเพลิงที่ทรงพลังและดูดซับมันเพื่อเก็บไว้เป็นไพ่ตายเวลาเผชิญหน้ากับศัตรูที่ร้ายกาจ!
ตู้ม!
ร่างของเจียงอี้ตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง เนื่องจากเขาเผลอย้ายจิตสำนึกไปไว้ในไข่มุกวิญญาณเพลิงนานเกินไป จิตสังหารของเขาอ่อนแอลงทำให้บรรดาสัตว์อสูรหลุดพ้นจากการถูกสะกด เมื่อตั้งสติได้ เขาก็รีบลุกขึ้นและระเบิดจิตสังหารขึ้นมาอีกครั้ง
ตู้ม!
หลังจากที่วิหคเพลิงฝืนใช้วิชาอสูร ร่างของมันก็อ่อนแอลงมากและตกลงมากระแทกกับพื้น เมื่ออยู่บนพื้นตัวของมันเองก็ได้รับผลกระทบจากเจตจำนงสังหารด้วยเช่นกัน
ฟึ่บ!
ผู้อาวุโสหลิวรีบสืบเท้าเข้ามาและปลดปล่อยพลังหลายสายเจาะทะลวงเข้าไปในร่างของวิหคเพลิง จากนั้นเขาก็หันไปมองเจียงอี้ซึ่งอยู่ไกลออกไปและพึมพำกับตัวเอง
“เด็กคนนี้ช่างผิดมนุษย์มนายิ่งนัก เหตุใดเขาจึงไม่เกรงกลัวต่อเปลวเพลิงของสัตว์อสูร? หรือว่าเขาจะมีสมบัติชั้นสูงอยู่กับตัวจริงๆ?”
วิหคเพลิงตัวนี้อยู่ในจุดสูงสุดของสัตว์อสูรระดับสอง ซึ่งแม้แต่ผู้อาวุโสหลิวก็ยังต้องระมัดระวังเมื่อเผชิญหน้ากับวิชาอสูรของมัน แต่เปลวเพลิงของมันกลับไม่สามารถทำร้ายเจียงอี้ได้เลยแม้แต่ปลายนิ้ว… ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่ามันถูกกลืนหายไปก่อนที่จะทันได้เข้าถึงตัวเขา!
นั่นก็หมายความว่าเด็กหนุ่มคนนี้ครอบครองสมบัติชั้นสูงที่ประเมินค่ามิได้!
หากเจียงอี้ไม่ใช่สหายของเฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวง ผู้คุ้มกันทั้งสองที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวคงจะลงมือช่วงชิงสมบัติชิ้นนั้นมาแล้ว วัตถุที่สามารถต้านทานเปลวเพลิงได้คือหายนะของจอมยุทธอัคคีธาตุอย่างแท้จริง
“นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย! ลูกพี่ สรุปแล้วเจ้าได้สมบัติจากสุสานราชันสวรรค์มามากเท่าไหร่กันแน่?!”
เฉียนว่านก้วนตื่นเต้นอย่างออกหน้าออกตา ยิ่งเจียงอี้มีไพ่ตายมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น สำหรับเขาแล้ว การเติบโตของเจียงอี้คือผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่จากการลงทุนทั้งหมดของเขา
“ว้าว วิหคเพลิงได้รับบาดเจ็บแล้ว เจ้าอ้วนเฉียน ข้าจะไปสยบมันตอนนี้ได้เลยรึเปล่า?”
ดวงตาของหลินเอ๋อร์เปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้กัน นางรู้ว่าวิหคยักษ์ตัวนี้กำลังจะเป็นของนาง แต่นางก็อดรู้สึกปวดใจไม่ได้ที่เห็นว่ามันกำลังบาดเจ็บ
“ฮิฮิ!”
เฉียนว่านก้วนกวาดสายตาสำรวจร่างกายอันยอดเยี่ยมของจ้านหลินเอ๋อร์และกลืนน้ำลายดังเฮือก จากนั้นก็กล่าวอย่างเจ้าเล่ห์
“น้องหลินเอ๋อร์ หากว่าเจ้าสามารถเคลื่อนไหวได้เมื่อลงไปถึงที่นั่น เจ้าก็คงจะจัดการนกน้อยตัวนั้นได้ไม่ยาก”
“เอ่อ..”
จ้านหลินเอ๋อร์กุมมือไว้ที่หน้าอกและจ้องมองไปยังเจียงอี้ผู้ซึ่งกำลังเข่นฆ่าสัตว์อสูรด้วยความหวาดระแวง ยิ่งนางเข้าใกล้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดเนื่องจากเจตจำนงสังหารของเขามากเท่านั้น
แม้แต่ตอนนี้ ขาของนางก็กำลังอ่อนยวบและแทบจะล้มลงไปนั่งกับพื้น
“คุณหนู ให้ข้าพาท่านไปเถอะ! นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการสยบสัตว์อสูร ด้วยความช่วยเหลือจากเจตจำนงสังหารของเด็กคนนี้ มันก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่สัตว์อสูรจะต่อต้าน!”
ผู้คุ้มกันลับของตระกูลจ้าน, ผู้อาวุโสจี กล่าวออกมา จากนั้นเขาก็พาร่างของจ้านหลินเอ๋อร์ร่อนลงและมาอยู่ที่เบื้องหน้าของวิหคเพลิง แต่เมื่อสัมผัสกับจิตสังหารอันเข้มข้นของเจียงอี้ ดวงตาของจ้านหลินเอ๋อร์ก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ร่างกายสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้และไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้แม้แต่ก้าวเดียว
“ฮึ่ม!”
ผู้อาวุโสจีเค้นเสียงเย็นชาในลำคอและปลดปล่อยพลังเข้าต่อต้านเจตจำนงสังหารของเจียงอี้ จากนั้นเขาก็หันไปกล่าวกับจ้านหลินเอ๋อร์ “เข้าไปเถิดคุณหนู!”
“ฟู้วว…”
จ้านหลินเอ๋อร์พ่นลมหายใจออกมา วินาทีต่อมาเครื่องรางสัตว์วิญญาณสีทองก็ปรากฏอยู่ในมือของนาง ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของนางย่อมไม่สามารถครอบครองวัตถุชิ้นนี้ได้ด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่ามีใครบางคนในตระกูลจ้านช่วยให้นางได้ครอบครองมัน
เมื่อจ้านหลินเอ๋อร์ถ่ายเทแก่นแท้พลังเข้าไปข้างในเครื่องรางสัตว์วิญญาณ มันก็ปลดปล่อยแสงสว่างออกมา ตามมาด้วยอักขระสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้าใส่วิหคเพลิง ภายใต้การควบคุมของจ้านหลินเอ๋อร์ อักขระเหล่านั้นก็เจาะทะลวงเข้าไปในหัวของวิหคเพลิงทันที
“แกว๊ก-แกว๊ก!”
มันคร่ำครวญออกมาด้วยความโศกเศร้า แต่ภายใต้การสะกดข่มของเจตจำนงสังหาร วิหคเพลิงก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านและปล่อยให้ตัวเองถูกสยบ
ครื้นน!
เมื่ออักขระตัวสุดท้ายเข้าไปในหัวของวิหคเพลิง ร่างของมันก็เปล่งแสงสีทองออกมา จากนั้นดวงตาของมันก็เปลี่ยนไป มันหันไปมองจ้านหลินเอ๋อร์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคารพและซื่อสัตย์
“สำเร็จ!”
จ้านหลินเอ๋อร์อุทานออกมาด้วยความดีอกดีใจ นางถ่ายเทแก่นแท้พลังเข้าไปในเครื่องรางสัตว์วิญญาณอีกครั้งและตะโกน “เข้ามา!”
พริบตาเดียว ร่างของวิหคยักษ์ก็กลายเป็นลำแสงและหายเข้าไปในเครื่องรางสัตว์วิญญาณ
“ดีมาก!”
จ้านหลินเอ๋อร์จ้องมองมาที่เครื่องรางสัตว์วิญญาณราวกับสมบัติล้ำค่า ทางด้านของผู้อาวุโสจีก็ดูพึงพอใจเช่นเดียวกัน จากนั้นเขาก็นำจ้านหลินเอ๋อร์ทะยานกลับมาที่หน้าถ้ำหิน
“เห้ออ!”
เฉียนว่านก้วนเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างเศร้าสร้อยและตบไปที่ไหลของจ้านหลินเอ๋อร์
“น้องหลินเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าได้ถูกพิจารณาให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญวรยุทธคนหนึ่งแล้ว ด้วยพลังของวิหคเพลิงตอนนี้ คงมีจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรับมือเจ้าได้”
“น้องหลินเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้ากลายเป็นผู้แข็งแกร่งแล้ว หากพี่ว่านก้วนผู้นี้ถูกรังแก เจ้าต้องช่วยข้าด้วยนะ!”
“ฮิฮิ! แน่นอน”
จ้านหลินเอ๋อร์ที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความสุขกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ แต่เมื่อนางตระหนักได้ว่ามือของเฉียนว่านก้วนกำลังวางอยู่บนไหล่ของนาง นางก็หันขวับมามองเข้าด้วยความโกรธ
“ไอ้หมูตอน! เจ้ากำลังวางมือของเจ้าไว้ที่ไหนกัน? เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะให้วิหคเพลิงน้อยเผาเจ้าให้กลายเป็นหมูย่าง?!”
“ฮ่าฮ่า!”
แม้แต่ตอนที่เฉียนว่านก้วนถูกจับได้ว่าเขากำลังฉวยโอกาส เขากลับไม่สลดแต่เปล่งเสียงหัวเราะอันน่าหมั่นไส้ออกมาแทน
“น้องหลินเอ๋อร์ ข้าขอโทษ แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าเข้าใจผิด ยิ่งไปกว่านั้น… นายน้อยผู้นี้ไม่ดีพอสำหรับเจ้าหรือ?”
“เฮ้! เจ้ารู้หรือเปล่าว่ามีหญิงสาวหลายล้านคนในอาณาจักรเสินหวู่แห่งนี้ปรารถนาที่จะแต่งเข้าตระกูลเฉียนและกลายเป็นภรรยาของข้า?”
“ไปให้พ้น! ข้าไม่ต้องการ!”
จ้านหลินเอ๋อร์ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอันเหยียดหยาม “จ้านอู๋ซวงเคยบอกข้าว่าเจ้ามันเป็นพวกรักร่วมเพศ เหอะ! หากข้าจะแต่งงาน ข้าก็ต้องการที่จะแต่งกับวีรบุรุษอย่างพี่ใหญ่เจียงอี้”
“เห้ออ ข้ารู้สึกเบื่อหน่ายยิ่งนักที่ต้องมองดูเจ้าก้อนไขมันเช่นเจ้า…”
“โอ้ สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรม!”
สีหน้าของเฉียนว่านก้วนบิดเบี้ยวอย่างน่าเกียจราวกับบิดาเสียชีวิต จากนั้นเขาก็คร่ำครวญออกมา “ในเมื่อมีเจียงอี้อยู่แล้ว ทำไมสวรรค์ต้องส่งข้า, เฉียนว่านก้วน มาที่นี่ด้วย?! เจียงอี้ ข้าจะตัดขาดกับเจ้า!”
ป๊าบบ!
จ้านอู๋ซวงก้าวออกมาจากถ้ำด้วยความหงุดหงิดและตบไปที่หัวของเจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนอย่างจัง จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอันดุดัน “เฉียนว่านก้วน เจ้าคงไม่ได้คิดไม่ซื่อกับน้องสาวของข้าใช่หรือไม่? เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะตัดขาดกับเจ้าและโยนเจ้าให้พวกสัตว์ป่ากิน!”
ปัง!
ในขณะที่พวกเขากำลังหยอกล้อกันด้วยความสนุกสนาน สัญญาณไฟก็ถูกยิ่งออกมาจากทิศตะวันออก ทันใดนั้นสีหน้าของเฉียนว่านก้วนก็ดูเคร่งเครียดขึ้นและรีบตะโกน
“แย่แล้ว สัตว์อสูรระดับสามกำลังใกล้เข้ามา! พี่อู๋ซวง เจ้ารีบไปเอาลูกพี่กลับมาที่นี่เร็ว”
“ผู้อาวุโสหลิว ผู้อาวุโสจี พวกท่านคอยเฝ้าระวังเอาไว้ หากสถานการณ์ดูไม่ดี พวกท่านจะต้องช่วยกันสังหารสัตว์อสูรตนนั้น!”
“พวกเจ้าทั้งหมด อย่าออกจากที่นี่! ข้าจะไปเอง!” ผู้คุ้มกันลับขอบเขตเสินโหยวจากตระกูลเฉียนกล่าวและพุ่งทะยานออกไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาจากไปได้ไม่ไกล เขาก็รีบกลับมาพร้อมกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความแตกตื่น
“ทุกคนกลับเข้าไปในถ้ำ! เฉียนคุน เจ้ารีบส่งสัญญาณฉุกเฉินไปถึงผู้เชี่ยวชาญของตระกูลที่อยู่ในเมืองจิตอสูรเพื่อขอความช่วยเหลือ สัตว์อสูรที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้คือจิ้งจอกวิญญาณสามหาง!”
ปัง!
หลังจากที่ผู้อาวุโสหลิวกล่าวจบ ผู้อาวุโสจีก็รีบยิงสัญญาณไฟขึ้นฟ้า ดูเหมือนว่าเขาเองก็เข้าใจแล้วว่าสถานการณ์ในตอนนี้รุนแรงขนาดไหน พลุที่เขายิงขึ้นไปเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญของตระกูลจ้านที่อยู่ในเมืองจิตอสูร
จากนั้นเขาก็รีบไปหาจ้านอู๋ซวงและจ้านหลินเอ๋อร์เพื่อพาทั้งสองกลับเข้าไปในถ้ำ
“จิ้งจอกวิญญาณสามหาง? แย่แล้ว! ลูกพี่กำลังตกอยู่ในอันตราย!”
เฉียนว่านก้วนอุทานออกมา แต่ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยต่อนั้น ร่างของเขาก็ถูกผู้อาวุโสหลิวลากเข้ามาในถ้ำแล้ว แม้แต่เฉียนคุนที่ออกไปจุดพลุและคนของตระกูลเฉียนที่เหลือต่างก็กลับเข้ามาในถ้ำแล้วเช่นกัน
ตู้ม!
หลังจากที่ทุกคนเข้ามาหมดแล้ว ผู้อาวุโสหลิวก็กระแทกฝ่ามือใส่เพดานถ้ำและทำให้หินถล่มลงมาจนปิดกันทางเข้าทั้งหมดอย่างสมบูรณ์
ตอนนี้มีเจียงอี้ที่กำลังต่อสู้อยู่ด้านนอกเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่รู้ว่ากำลังอะไรขึ้น…