นักเล่นแร่แปรธาตุปัญญานิ่มตอนที่ 5
บทที่ 5 - โลกนั่นกลม!
ในไม่ช้า ความตื่นเต้นจากสุดยอดการจดจำของเจ้าชายที่สิบสามก็ค่อยๆเลือนหายไป แม้จะมีความแข็งแกร่งด้านการจดจำ แต่มันก็ไม่สามารถแก้ข้อบกพร่องด้านอื่นของเขาได้อยู่ดี
ซึ่งข่าวใหม่ๆนั้นก็ได้เข้ามาบดบังข่าวเก่าๆอยู่เสมอนั้นแหละ
แล้วตอนนี้เจ้าชายที่สิบสามก็ได้มาถึงส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตแล้ว สิ่งที่เขาได้รับการฝึกฝนในตอนนี้ มันจะกลายเป็นตัวกำหนดว่าชีวิตที่เหลือของเขาจะเป็นอย่างไร ด้วย 'งาน' ที่ 'เขา' ต้องทำนั้น มันจะส่งผลให้เขาได้กลายเป็น นักวิชาการหรือพวกรับจ้างอะไรทำนองนั้น
ทำไมถึงเป็น 'งาน' งั้นเหรอ? ก็เป็นเรื่องธรรมดามาก ข้อตกลงที่เห็นชอบกันของหมู่ตระกูลก็คือจะไม่ให้เขาทำงานและจะไม่ปล่อยให้เขาทำงานด้วย ซึ่งแม้จะเป็นอย่างนั้น แต่อย่างน้อยเขาก็ต้องทำอะไรสักอย่างบ้าง โดยทั่วไปแล้ว มันเป็นเรื่องของ 'ใบหน้า' หรือแบบพวกชื่อเสียง
เห็นได้ชัดว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นความคิดของพ่อแม่เขา มันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเย่เฉิงทียนและภรรยาของเขามาก พวกเขาในตอนนี้ทำอะไรกันไม่ถูกแล้ว
แต่ด้วยความสามารถด้านความทรงจำของเขา มันคงไม่ยากเกินไปสำหรับเขาที่จะเป็นนักวิชาการที่มีความรู้มากมาย แม้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถบอกสิ่งที่อยู่ในหัวของเขาให้คนอื่นได้รับรู้ก็ตามทีเถอะ
อีกทั้งพวกเขานั้นไม่ต้องการบอกเรื่องนี้ให้แก่คนอื่นได้รับรู้ด้วย ดังนั้นแล้ว พวกเขาจึงจ้างนักวิชาการที่มีชื่อเสียงมากมาสอนเจ้าชายที่สิบสาม
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสิ่งแปลกประหลาด หลังจากสอนเขามาระยะหนึ่ง นักวิชาการก็ได้ส่งจดหมายลาออกทันที โดยขอให้พวกเขาจ้างผู้เชี่ยวชาญคนอื่นมาแทน เหตุผลก็เพราะว่า เขาไม่สามารถสอนเจ้าชายที่สิบสามได้
ในตอนแรก ทั้งคู่คิดว่าเป็นเพราะเจ้าชายที่สิบสามอาจช้าและโง่เกินไปที่จะเรียนรู้ เพราะเช่นนั้นนักวิชาการผู้นี้จึงไม่สามารถสอนเขไาด้ พวกเขาตัดสินใจจะจ้างอาจารย์อีกคน คราวนี้ก็เป็นนักวิชาการที่มีชื่อเสียงคนอื่น
รายนี้ดันมาแปปเดียวก็จากไป แค่สามวันติดจรวด นักวิชาการผู้นี้ก็ขอร้องแบบเดียวกันว่าให้จ้างนักวิชาการคนอื่นเถอะ
ไม่กี่คนถัดไปก็อยู่ได้ไม่นานเช่นกันและเวลาการขอลาออกของพวกเขาก็เริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆอีก รายล่าสุดก็กินระยะเวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น เขาทั้งดูหวาดกลัวและจิตใจพังทลาย ก่อนจากไปเขายังได้ทิ้งคำพูดไว้อีกว่า:
“ลูกชายของท่านนั้นเป็นยอดอัจฉริยะ ข้าคงไม่สามารถสอนเขาได้ ข้าเกรงว่าคนเดียวที่สามารถสอนเขาได้ในโลกนี้คงจะมีเพียงพระเจ้าเท่านั้น”
เย่เฉิงเทียนและภรรยาของเขาก็เริ่มสงสัยบางอย่าง ไม่สำคัญแล้วว่าลูกชายของพวกเขาจะโง่ขนาดไหน สิ่งที่พวกเขาต้องการคือนักวิชาการผู้มีความรู้มหาศาล พวกเขาเลยเตรียมการบางอย่างที่จำเป็น เพื่อจ้างนักวิชาการที่จะไม่ลาออกภายในครึ่งวันให้จงได้!
จากนั้นก็เป็นแบบเดิม ตามจริงแล้ว นักวิชาการที่พวกเขาจ้างมานั้นต้องมีความรู้มหาศาลและสามารถอดทนกับเขาได้เป็นเวลานานสิ แล้วทำไมมันถึงตรงข้ามกันล่ะเห้ย?
นี้ยิ่งทำให้เย่เฉิงเทียนและภรรยาของเขาสับสน จนพวกเขาต้องไปเกลี้ยกล่อมเจ้าชายที่สิบสามกัน พวกเขาต้องการที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับอาจารย์ผู้สอนทุกคนที่มาสอนกันแน่
จากนั้นพวกเขาก็ต้องตกตะลึงงัน เมื่อพวกเขาได้รับคำตอบ พวกเขาก็หยุดพิจารณาที่จะไปจ้างนักวิชาการทันทีและในขณะเดียวกัน พวกเขาก็หยุดคิดเรื่องที่จะให้เจ้าชายที่สิบสามไปเป็นนักวิชาการปลอมๆด้วย
…
“นายน้อยที่สิบสาม วันนี้เราจะพูดถึงเรื่องของแผ่นดินใหญ่นี้กัน ก่อนที่จะมีพระเจ้า โลกใบนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตเลย เมื่อพระเจ้ามาถึงโลกนี้ พระองค์ได้ทรงประทานชีวิตบนโลกและทำให้เรา มนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ มนุษย์สัตว์และชีวิตที่ชาญฉลาดอื่นๆเกิดขึ้น”
“และในบรรดาเผ่าพันธุ์เหล่านี้ มนุษย์เรานั้นใกล้ชิดกับพระเจ้ามากที่สุด เพราะเขาจำลองเราให้มีรูปลักษณ์แบบเดียวกับเขา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมในทุกเผ่าพันธุ์เราจึงฉลาดที่สุด ...”
ในขณะที่นักวิชาการกำลังอธิบายถึงความเหนือกว่าของเผ่าพันธุ์ของเขาอย่างภาคภูมิ เจ้าชายที่สิบสามก็ได้พูดอะไรบางอย่างออกมา ซึ่งนี้ก็เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของเขาเท่านั้น...
“มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า นั่นเป็นเพียงตำนาน มนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง นี่เป็นพื้นฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการนี้”
ทฤษฎีวิวัฒนาการคืออะไรฟ่ะ? นักวิชาการผู้นี้ไม่อยากที่จะรู้เลยสักนิด เขาได้แต่ตะลึงงัน เจ้าชายที่สิบสามกลับกล้าโต้แย้งถึงการปรากฏของพระเจ้าผู้ทรงเกียรติ! เขานั้นได้โต้แย้งเจ้าชายที่สิบสามทันที
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาพูดแบบนั้นออกไป เขาก็ไม่สามารถอธิบายถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าได้อยู่ ทันใดนั้นเจ้าชายที่สิบสามก็เริ่มตั้งคำถามอีกครั้ง ทำไมจะไม่ล่ะ? เจ้าเคยเห็นพระเจ้าหรือไง? เจ้าสามารถยืนยันการมีอยู่ของพระเจ้าได้เหรอ?
นักวิชาการรีบเก็บกระเป๋าของเขาทันทีและจากไปในบันดล เขากลัวว่าถ้าเขายังคงดันทุรงต่อไป เขาคงจะถูกลากไปหาปัญหาแน่นอน
นักวิชาการสองสามคนถัดไปก็ได้พบกับสถานการณ์ที่คล้ายกัน ครั้งหนึ่ง เจ้าชายที่สิบสามพูดว่าโลกไม่ได้แบน แต่มันเป็นทรงกลม เพราะรูปร่างกลมของมันมีขนาดใหญ่ เจ้าเลยไม่รู้สึกถึงมัน
นอกจากนี้ เขายังบอกว่าดวงอาทิตย์เป็นดาวยักษ์ลูกไฟและโลกของเราหมุนรอบดวงอาทิตย์อยู่ ดวงอาทิตย์นั้นไม่ได้โคจรรอบตัวเรา
เขาพูดหลายสิ่งที่แย้งกับการดำรงอยู่ของพระเจ้าแทบทุกอยา่ง หากคริสตจักรรู้เรื่องนี้ เขาคงจะถูกสอบปากคำโดยเหล่าบาทหลวง ซึ่งหลังจากนั้นก็คงจะเหลือเพียงเสียงครวญครางของเด็กน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น
ดังนั้นแล้ว เพียงแค่ฟังสิ่งที่เขาพูดออกมา นักวิชาการก็ต้องการที่จะจากไปในทันที พวกเขาไม่ต้องการวิ่งเข้าใส่ปัญหาหรอกนะ
หลังจากเย่เฉิงเทียนและภรรยาของเขารู้เรื่องนี้แล้ว พวกเขาก็เริ่มหาหนทางอื่น พวกเขาตัดสินใจที่จะไม่จ้างนักวิชาการอีก หากเจ้าชายที่สิบสามยังคงพ่นทฤษฎีที่น่าตกใจพวกนี้ออกมา มันจะมีปัญหาแน่นอน!
สิ่งนี้ยิ่งทำให้ทุกคนงงงัน “เฉิงเทียน เจ้าคิดว่าเขาเรียนรู้สิ่งพวกนี้จากใด... ทฤษฎีที่ชั่วร้ายนี้มาจากไหนกัน? เขาไม่เคยก้าวออกจากบ้านสักครึ่งก้าวเลยนะ!” หลงแองคีงุนงงเป็นไก่ตาแตก เนื่องจากลูกชายของเธอเป็นคนพิเศษ เธอจึงไม่เคยปล่อยให้เขาออกจากเขตตระกูลเย่เลย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้สัมผัสกับเรื่องพิสดารพวกนี้
"เจ้าพูดถูกแล้ว มีคนรับใช้เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คอยดูแลเขาตั้งแต่ยังเยาว์ และ…” เย่เฉิงเทียนก็งงเช่นเดียวกัน ในขณะที่เขาพูด เขาก็พบคนที่ดูจะใกล้ชิดกับเขาที่สุด
“เย่หลานหยู่!!”
"อะไรนะ?" หลานหยู่ตัวน้อยมองไปที่พ่อแม่ของเธออย่างสับสน เมื่อรู้ว่าพ่อแม่ของเธอรู้สึกโกรธเล็กน้อย เธอจึงพยายามนึกว่าเธอทำอะไรผิดไปหรือเปล่า
“เจ้าตัวแสบน้อยนี้! ถ้าเจ้ายังสร้างปัญหาเล็กน้อยนั่นทีนี้ทีคงจะไม่เป็นไรหรอก แต่ทำไมเจ้าถึงต้องทำให้น้องชายของเจ้าเป็นพวกมีความคิดเหลวไหลด้วย? เจ้ารู้ว่าเขาไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างเรื่องถูกและผิดได้นะ! เขาเชื่อในสิ่งที่เจ้าพูดถูกอย่างเลยนะ”
"อะไรนะคะ?" หลานหยู่ตัวน้อยยังคงไม่เข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอสับสนเกี่ยวกับเรื่องที่ว่า: พวกเขากำลังพูดเรื่องบ้าบออะไรกันเนี้ย?
ซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่านี้คงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอไปเป่าหูน้องชายของเธอ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอรู้เรื่องทั้งหมด เธอก็ได้กล่าวยืนยัน ...
"พ่อ! แม่! ไม่ใช่หนูจริงๆนะ!!”
หลังจากนั้น ทั้งคู่ก็เลิกแผนที่จะให้เขาไปเรียนชั่วคราว ดูเหมือนว่าพวกเขาต้องปล่อยให้เจ้าชายที่สิบสามอ่านหนังสือของเขาคนเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงความคิดอันแสนแปลกประหลาดของเขา
ตั้งแต่นั้น พวกเขาก็ได้ออกไปเพื่อรวบรวมหนังสือหลายเล่มให้แก่เขา เรียกได้ว่าแทบทุกชนิด แต่แน่นอนว่าไม่มีหนังสือ "บ้าๆบอๆ"
เนื่องจากการเป็นนักวิชาการดูจะทำไม่ได้แล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะต้องลองอย่างอื่น อาจให้เขาลองเป็นผู้ดูแลดินแดนก็ได้นี้ นี่คือสิ่งที่ยังไงเขาก็ต้องเป็นไม่ช้าก็เร็ว แม้ว่ายังไงเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำงานก็เถอะ เพราะสุดท้ายตระกูลเย่ย่อมหาคนมาช่วยเหลือเขาอยู่แล้วนั้นแหละ