กฏแห่งมารตอนที่ 3
บทที่ 3 วิถีแห่งเวทมนตร์
ข่าวลือได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองจักรวรรดิ เด็กปัญญาอ่อนแห่งตระกูลโรแลนด์ได้ทำให้อาจารย์ของตนเองลาออกไป
ผู้คนมากมายต่างก็มีความสุขในความโชคร้ายของคนอื่น โดยเฉพาะความโชคร้ายของคนสำคัญๆแบบนั้น
เอิร์ลเรย์มอนด์ได้ทำพลาดตั้งแต่ที่เขาบอกว่าจะให้รางวัลแก่คนที่ทำให้ลูกของเขาพูดได้แล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้ดู๋เวยมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองและกลายเป็นหัวข้อพูดคุยที่บันเทิงที่สุดเลยทีเดียว
วันนี้ เอิร์ลก็ได้ไปพบบุตรชายของเขาอีกครั้ง และในตอนนี้เขาก็มาพร้อมกับเขาผู้ชายในเสื้อคลุมสีเทา หมวกสีเทา นิ้วมือของคนผู้นี้ผอมบางและดวงตาก็เหมือนกับมีเมฆหมอกอยู่ภายในนั้น ชายคนนี้ได้ปล่อยกลิ่นไม่พึงประสงค์ทั้งเน่าเหม็นและโบราณออกมา
"นักเวทย์คลาร์ก นี่คือบุตรชายของข้า" เอิร์ลกล่าววาจาออกมาอย่างสุภาพ "ท่านพอจะดูว่าเขามีพรสวรรค์ทางด้านเวทย์ได้หรือไหม แม้เพียงนิดเดียวก็เถอะนะ?"
ถ้านักเวทย์เป็นงานแล้ว งั้นงานนี้ก็คงจะเรียกได้ว่าเป็นงานที่มีเกียรติมากที่สุด ในทุกๆพื้นที่ในโลกใบนี้ นักเวทย์เปรียบเสมือนกับสัญลักษณ์ของชนชั้นสูง พวกเขาได้รับสิทธิพิเศษทุกอย่างของขุนนาง เรียกได้ว่าถูกดูแลอย่างดีที่สุดเลย นักเวทย์ที่แข็งแกร่งสามารถจัดการกับกองทัพเล็กๆในสงครามได้ด้วยตัวคนเดียว ทุกๆประเทศต่างก็ต้องการรับนักเวทย์เข้ามา บางทีก็ไม่ใช่เพราะความสามารถของพวกเขา แต่กลัวเกรงว่าอำนาจนั้นจะหวนกลับมาทำร้ายตนต่างหาก นักเวทย์จะใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตของเขาในการวิจัยและการทำสมาธิเพื่อที่จะสะสมมานา พวกเขาแทบทุกคนไม่มีความปรารถนาเหมือนกับคนทั่วไปไปเลยสักนิด เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาคือการเสาะแสวงหาความจริงของเวทย์มนต์
แม้แต่เอิร์ลก็ไม่อยากจะให้ลูกชายของเขาเป็นนักเวทย์เลย เพราะนักเวทย์นั้นทำให้ทุกๆคนต่างก็หวาดกลัว ราวกับเป็นสัตว์ประหลาด พวกเขานั้นบางทีก็ใช้เหตุผลมากเกินไป โดดเดี่ยว แปลกและก็คงจะจมลงไปในกองงานวิจัยของตนเอง ไม่มีผู้หญิงคนใดหรอกนะที่อยากมีความสัมพันธ์กับสัตว์ประหลาดที่อาศัยอยู่ในห้องทดลองสม่ำเสมอ ขุนนางชั้นสูงเองก็มักจะไม่เชิญนักเวทย์แสนเย็นชามางานเลี้ยงฉลองอีกต่างหาก และก็ไม่มีกษัตริย์องค์ใดที่ให้อำนาจทางการเมืองกับพวกนักเวทย์ด้วย
ดู๋เวยเป็นทายาทของตระกูลโรแลนด์ เขาจะต้องแต่งงาน มีลูก มีการพูดคุยเข้าร่วมสังคมกับบรรดาขุนนางคนอื่นๆ แต่เขาจะทำอย่างไรถ้าลูกของเขาไม่สามารถเป็นทั้งนักรบและนักวิชาการได้? คงจะเหลือเพียงแค่เส้นทางของนักเวทย์เท่านั้น
เอิร์ลได้นำคลาร์กและลูกชายของเขาเข้าไปยังห้องลับ
"ฟังนะเจ้าเด็กน้อย" คลาร์กเอาขวดขนาดเล็กออกมาและเทผงสีทองออกมาใส่บนมือของเขาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็วาดวงกลมไปรอบห้องและมองดูดู๋เวย "ข้าได้สร้างเขตผนึกขึ้นมาแล้ว ไม่มีใครจะสามารถที่จะได้ยินบทสนทนาของเราได้ ตอนนี้ก็บอกข้ามาได้แล้วเจ้าเด็กน้อย เจ้าคิดว่าเวทย์มนต์คืออะไรกัน? "
เวทย์มนต์คืออะไรกัน? ดู๋เวยรู้สึกสับสนในคำถามนี้มาก เขารู้สึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเวทย์มนต์ในโลกใบนี้ เพราะว่ามีตำนานที่แสนน่าอัศจรรย์มากมายที่เกี่ยวกับเวทย์มนต์ แต่เวทย์มนต์ที่เขาคิดได้ก็คือ การร่ายคาถาอะไรสักอย่าง จากนั้นมันก็จะมีเรื่องแสนมหัศจรรย์เกิดขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าดู๋เวยยังคงนิ่งเงียบ คลาร์กก็ได้หัวเราะเยาะตัวเองและคิดว่าคำถามนี้อาจจะลึกซึ้งเกินไปสำหรับเด็กน้อย "เวทย์มนต์คือพลังที่มนุษย์ได้มาจากพระเจ้า มันเป็นเส้นทางสำหรับมนุษย์ที่จะเข้าถึงพลังสูงสุด เพื่อที่จะเข้าใจในตัวมัน เข้าใจในโลกใบนี้และเข้าถึงของขวัญอันแสนยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้มอบให้กับมนุษย์”
เสียงของคลาร์กฟังดูน่าเชื่อถือมาก อย่างไรก็ตาม มันไม่มีผลกับดู๋เวยเลย เขายังคงนิ่งเงียบและไร้อารมณ์เหมือนเดิม จากนั้นคลาร์กก็ได้หยิบลูกบอลแก้วออกมาจากใต้เสื้อคลุมของเขา
“พลังวิญญาณใช้เพื่อวัดว่าคนมีพรสวรรค์เรื่องเวทมนตร์หรือไม่ แม้ว่ามันจะใช้วัดมาตรฐานอะไรไม่ได้นัก แต่มันก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ตอนี้ละ มาให้ข้าดูพรสวรรค์มานาของเจ้าเถิด”
"พลังวิญญาณงั้นเหรอ? มานางั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่านักเวทย์จะมีเพียงแค่มานาเท่านั้นเหรอ?" ในที่สุดดู๋เวยก็ได้เปิดปากของเขาขึ้นมา
"ใครเป็นคนบอกว่าสิ่งที่เจ้าพูดมามันไม่ถูกต้องหรือไง? คนในคฤหาสน์เรเวนฮอล์ไม่มีผู้ใดที่มีสามัญสำนักทั่วไปเลยสินะ? พลังวิญญาณก็คือสิ่งที่คนทั่วไปใช้เรียก เราเหล่านักเวทย์ต่างก็เรียกมันว่ามานา นักเวทย์สามารถใช้เทคนิคการทำสมาธิเพื่อเพิ่มมานาของเราเองได้ จากนั้นก็จะใช้มันเพื่อสังเกตโลกใบนี้ สังเกตความลับของธรรมชาติและพลังงานทุกชนิดในธรรมชาติ เฉพาะคนที่มีมานามากพอเท่านั้นที่จะสามารถทำแบบนั้นได้ มีเพียงคนที่มีมานาสูงพอถึงจะสามารถทำทุกอย่างได้เพียงแค่ควบคุมมานาตามธรรมชาติ
"ข้าเข้าใจแล้ว พลังวิญญาณก็คือมานา และมานาก็เหมือนกับคันโยก นักเวทย์ใช้มันเพื่อยืมพลังจากธรรมชาติ"
"ช่างน่าเหลือเชื่อซะจริงที่คำพูดนี้ได้ออกมาจากปากของเด็กอายุห้าขวบ เจ้าช่างชาญฉลาดอะไรเยี่ยงนี้ ทำไมใครต่างก็บอกว่าเจ้าปัญญาอ่อน? "
ดู๋เวยไม่คิดที่จะตอบคำถามนี้และก็เพียงแต่จ้องมองไปที่คลาร์ก คลาร์กไม่คิดที่จะเสียเวลากับคำถามนี้และก็เริ่มพูดต่อในทันที
"ธรรมชาติมีองค์ประกอบหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือแหล่งพลังงาน น้ำ สายฟ้า พายุหิมะ ลม แม้แต่การขยับของพระอาทิตย์และดวงจันทร์ การเติบโตและการตายของพืช นักเวทย์ที่ยิ่งใหญ่จักสามารถมองเห็นทุกองค์ประกอบธาตุได้ทุกสิ่งอย่าง คำอุปมาของเจ้าที่บอกว่ามันเหมือนกับคันโยกก็ดูน่าสนใจมาก หากเป็นอย่างที่เจ้ากล่าว ยามใดเมื่อคันโยกของเจ้ามีขนาดใหญ่พอ เจ้าก็จะสามารถจัดหาปริมาณพลังงานที่สูงขึ้นมาได้"
"งั้นก็เป็นแบบนั้นเองสินะ ข้าคิดว่านักเวทย์ใช้พลังงานจากร่างกายอย่างเดียวเสียอีก"
"ข้ามีคำถาม ใครเป็นคนทำให้เจ้าคิดแบบนั้นกัน แม้แต่นักเรียนเวทย์มนต์ของข้าก็ยังรู้เรื่องสามัญแบบนั้นเลย อำนาจของมนุษย์นั้นมีจำกัด ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด สุดท้ายมันก็มีขีดจำกัดอยู่ แต่นักเวทย์นั้นสามารถทำในสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้ ซึ่งใช่ว่าพลังนั้นจะมาจากของตน มันคือพลังที่ยืมมาจากธรรมชาติต่างหาก และในโลกใบนี้ พระเจ้าก็ได้สร้างเราและโลกขึ้นมา ดังนั้นยามใดที่เราจักใช้มนตรา เราก็เปรียบเสมือนกับกำลังยืมพลังของพระเจ้า จงจำไว้ พระเจ้านั้นสร้างมนุษย์ขึ้นมา มนุษย์ไม่มีทางที่จะมีพลังทัดเทียมกับพระเจ้า นั่นแหละคือข้อห้าม"
"ข้ารู้สึกสงสัยจริงๆ ทำไมตระกูลโรแลนด์ถึงมีคนแบบเจ้าที่ซึ่งไม่มีสามัญสำนึกธรรมดาอะไรแบบนี้เลย ซึ่งข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าพูดว่าเวทย์มนต์นั้นดึงมาจากร่างกายอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นตัวเจ้าคงจะต้องถูกนำไปเผาต่อหน้าอาราม เพราะคำพูดของเจ้าเปรียบเสมือนกับคำถามที่มีต่อพระเจ้า"
ซึ่งดู๋เวยก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่เหมือนเดิม