กฏแห่งมารตอนที่ 2
บทที่ 2 ไม่พูด ไม่สู้
จากนั้น วันแห่งการเฉลิมฉลองก็ได้มาถึง
ในเมืองหลวงจักรวรรดิก็กำลังเฉลิมฉลองกันอยู่ อย่างไรก็ตาม คฤหาสน์ของเอิร์ลนั้นกลับตรงกันข้ามไปเสียหมด มันเงียบสนิท ไม่มีงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ไม่มีพิธีต้อนรับ ไม่มีแม้กระทั่งอาหารเย็นที่แสนจะเรียบง่าย
เอิร์ลรีบกลับไปที่คฤหาสน์ของเขาและปฏิเสธที่จะเจอหน้ากับแขกบางคนด้วยเหตุผลบางอย่าง หลังจากผ่านสงครามมาสามปี เขาก็คงต้องการเวลาที่ใช้กับครอบครัวเป็นพิเศษ
แม้ว่าแขกผู้นั้นจะรู้สึกผิดหวัง แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ภายในคฤหาสน์ของเอิร์ล ผู้กล้าของอาณาจักรและลูกชายของเขากำลังจ้องมองหน้ากันอยู่
เขาจ้องไปภายในดวงตานั้นลึกๆ สายตานี้มันสื่อถึงความผิดหวังและสับสน ถ้าหากจะบอกว่าเขานั้นเชื่อว่าภรรยาไม่นอกใจเขาก็คงจะไม่ใช่เรื่องจริงเท่าไหร่นัก ในตอนที่เอิร์ลผู้นี้เห็นเด็ก เขาก็ได้ถามขึ้นมาเลยว่าไหนลูกของเขาจริงๆ
ใบหน้าและโครงหน้าของเขาแตกต่างจากเอิร์ลผู้นี้โดยสิ้นเชิง ผู้ชายทุกคนในตระกูลโรแลนต่างก็มีเค้าโครงหน้าที่สมชายชาตรีกันทั้งนั้น ผู้ชายในตระกูลโรแลนโดยทั่วไปจะมีร่างกายใหญ่ หน้าอกกว้าง แขนมีเนื้อมีหนัง หน้าเหลี่ยมๆ พร้อมกับดูคล้ายกับผู้กล้าด้วย ซึ่งเอิร์ลผู้นี้ก็ดูคล้ายกระนั้นแล
แต่เจ้าตัวน้อยนี้.....
ถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุเพียงสามปี แต่เขาก็ขาวเกินไปและยังผอมแห้งอีก เขาได้ยินว่าเด็กคนนี้เพิ่งจะได้รับบาดเจ็บมาเมื่อเดือนก่อน ซึ่งนั้นก็อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เด็กน้อยคนนี้มีรูปลักษณ์แบบนี้
ทายาทของเอิร์ล ดู๋เวย โรแลน ได้จ้องมองไปที่บิดาของตนโดยสายตาที่ไม่สนใจสิ่งใดเลย เขาไม่ร้องไห้เหมือนเด็กที่อายุเท่ากัน นี้ทำให้เอิร์ลผู้นี้ผิดหวังมาก ตามธรรมเนียมที่เล่าต่อกันมา ยิ่งเด็กร้องไห้ดังมากเท่าไหร่เด็กก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
แต่เด็กชายคนนี้เงียบมาก เขาเพียงแค่นั่งบนเตียงของเขาพร้อมกับวางมือของเขาไว้บนหัวเข่า และจ้องมองมาที่ข้าด้วยความสนอกสนใจ
เอิร์ลคิดกับตัวเองว่า หรือว่าตัวเขาจะคิดผิด ดวงตาของเด็กนี้ทำไมมีความรู้สึกซับซ้อนเช่นนี้?
ในขณะที่ท่านเอิร์ลกำลังเศร้าโศกเล็กน้อย ความรู้สึกของดู๋เวยนั้นก็ซับซ้อนยิ่งกว่ามาก
ภรรยาของเอิร์ลนั้นทำให้ดู๋เวยรู้สึกปลอดภัยมากในสถานการณ์ตอนนี้ แต่พอ "บิดา" ผู้นี้ปรากฏตัวขึ้นมาทันใดนั้น....
“เขา ... พูดไม่ได้จริงงั้นเหรอ?” เอิร์ลถามภรรยาของเขาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด น้ำตาเริ่มไหลอาบดวงตาของเธอ เมื่อเห็นเธอแสดงออกมาแบบนี้ ร่างของเอิร์ลก็ดูอ่อนแอลงขึ้นทันตาเห็น เขาได้แต่คิดกับตัวเอง เขาออกมาในช่วงระยะเวลาสามปี ทิ้งภรรยาอยู่คนเดียว ผู้หญิงนั้นต้องการสามีของเธอมากที่สุดยามที่เธอกำลังจะคลอดลูก แต่เขากลับไม่สามารถที่จะอยู่เคียงข้างกายเธอได้ และลูกชายของพวกเขาก็ได้กลายมาเป็นแบบนี้ ซึ่งการไปตำหนิหญิงสาวผู้น่าสงสารนี้ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาหรอก
จากนั้นเอิร์ลก็ได้พูดขึ้นมาว่า “ที่รัก เราจะจ้างอาจารย์ที่ฉลาดที่สุดในราชอาณาจักรมา เขาจะต้องพูดขึ้นมาได้สักวันหนึ่ง แต่ร่างกายของเขานั้นอ่อนแอเกินไป ตระกูลโรแลนได้สร้างชื่อเสียงผ่านทั้งการต่อสู้และจากการได้รับชัยชนะมา และลูกชายของข้าจักต้องเดินตามเส้นทางของข้าเพื่อเป็นนายพล เขาไม่สามารถอ่อนแอแบบนี้ได้ เขาสามขวบแล้ว ข้าคิดว่ามันคงถึงเวลาที่เราจะหาผู้ฝึกสอนมาให้เขา หลังจากนี้ไม่กี่ปี ร่างกายของเขาคงจะเติบใหญ่ขึ้น เจ้าคิดว่ายังไงอัลฟ่าดูเป็นไง? เขาเป็นราชองครักษ์ที่เก่งที่สุดของข้า ทักษะการต่อสู้ของเขาอยู่ในระดับสูงและเขาก็อยู่ในตระกูลของราชวงศ์ด้วย ข้าคิดว่าจะเริ่มให้เขาเรียนในเดือนหน้า เราจะให้อัลฟ่าคอยสอนเทคนิคพื้นฐานต่างๆให้กับดู๋เวย”
เมื่อได้ยินว่าลูกชายที่น่าสงสารของเธอจะต้องฝึกฝนตั้งแต่อายุยังน้อย น้ำตาของแม่ก็ได้ไหลรินออกมาจากนัยน์ตา “แต่ .. เขายังเด็กอยู่นะ”
“ก็เพราะร่างกายของเขาอ่อนแอมากกว่าคนทั่วไป เขาก็ควรที่จะฝึกตั้งแต่อายุยังน้อยนี้แหละ ไม่อย่างนั้นแล้ว เขาจะสืบทอดตระกูลโรแลนด์ได้ยังไงกัน!” เอิร์ลผู้นี้ยึดมั่นในคำพูดของตนและก็ได้เลือกแล้ว
วันที่สอง หลังจากที่ได้ไปพบกับกษัตริย์และได้รับเหรียญอันที่สามของเขาแล้ว กษัตริย์ก็ได้เลื่อนยศของเอิร์ลเรย์มอนด์ โรแลนด์ให้อยู่ในฐานะรองนายพลของอาณาจักร
เรื่องของลูกชายของเรย์มอนด์ โรแลนด์ที่เป็นคนปัญญาอ่อนไม่ใช่ความลับภายในอาณาจักรเลยสักนิดเดียว ทุกๆคนสามารถมองเห็นความโศกเศร้าผ่านใบหน้าของเอิร์ลในงามเฉลิมฉลองได้อย่างชัดเจน
ในคฤหาสน์ เอิร์ลและลูกชายของเขากำลังจ้องมองหน้ากันเป็นครั้งที่สอง อย่างไรก็ตาม ภรรยาของเอิร์ลไม่ได้อยู่ด้วยในตอนนี้ คนนอกที่มีอยู่คนเดียวก็คือ อัลฟ่า
เอิร์ลเรย์มอนด์ไม่สามารถอธิบายได้ว่าตัวเองไม่ชอบลูกชายของตนหรือเปล่า เขารู้สึกว่าสายตาที่จ้องมองของเด็กนั้นไม่ได้ว่างเปล่าซะทีเดียว จากนั้นเขาก็คิดกับตัวเองว่า เด็กสามขวบนี้รู้อะไรบ้างกัน? เขานั้นได้ออกไปทำสงครามตั้งแต่เด็กผู้นี้เกิดขึ้นมา เขาไม่เคยแม้แต่จะอุ้มเด็กผู้นี้เลยสักครั้งเดียว มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กน้อยจะมองคนแบบเขาว่าเป็นคนแปลกหน้า
อัลฟ่าเองก็ยืนอยู่หน้าเตียงของดู๋เวยและอุ้มเขาขึ้นมา เขาถอดเสื้อผ้าของเด็กชายออกมาและจับเขาจากด้านบนของร่างกาย ดู๋เวยนั้นพยายามต่อต้าน แต่ความพยายามของเขาไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง ความแข็งแกร่งของนักดาบอันดับหนึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสามารถต้านทานได้เลยสักนิด
อัลฟ่าถอนหายใจและวางตัวดู๋เวยลง จากนั้นเขาก็พูดกับเอิร์ลว่า “ท่านเอิร์ล ข้า…”
“อัลฟ่า เจ้าเป็นคนที่ข้าเชื่อใจมากที่สุด อย่าลังเลเลย เจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”
“ร่างกายของท่านดูเว๋ยอ่อนแอมากและดูเหมือนว่าเขาเกิดมา .. บกพร่อง ร่างกายนี้แย่กว่าคนธรรมดาเสียอีก หากเขาเดินบนเส้นทางของนักรบ ข้าก็เกรงว่าเขาอาจจะไม่สำเร็จได้สมบูรณ์นัก”
"แล้วเจ้าคิดว่ายังไง?"
“ทำไมเราถึงไม่มองหาความสามารถอื่นของเขาละ”
พอได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของเอิร์ลก็ได้มืดลง
ท่านเอิร์ลรู้สึกผิดหวังมากในสองสามวันนี้ แต่ภายใต้คำปลอบประโลมของภรรยาของเขา เขาก็ได้กำลังใจมาเล็กน้อย เพราะยังไง นี้ก็คือลูกชายของเขา
ตระกูลโรแลนด์มีชื่อเสียงของนักรบ อย่างไรก็ตาม ในประวัติศาสตร์นั้น ในตระกูลนี้ก็มีคนหนึ่งถึงสองคนที่เชี่ยวชาญด้านสติปัญญามากกว่า บรรพบุรุษพวกนั้นแม้จะมีฝีมือต่อสู้ไม่ดีนัก แต่พวกเขาก็สามารถควบคุมกองทัพและควบคุมทั้งสนามรบได้
ถ้าเขาไม่สามารถเรียนรู้ที่จะต่อสู้ได้ งั้นก็ให้เขาเรียนรู้ด้านวรรณกรรม
แต่เด็กที่ไม่รู้วิธีพูดจะเรียนรู้วรรณกรรมได้อย่างไร? แม้ว่าเขาจะจ้างนักปราชญ์ที่ฉลาดที่สุดในราชอาณาจักร อย่างน้อยเขาก็ต้องทำให้เด็กพูดออกมาได้ก่อน
ซึ่งแตกต่างไปจากตัวภรรยาของเอิร์ล เอิร์ลเรมอนด์นั้นรู้ว่าลูกชายของตนรู้วิธีการพูด เพียงแต่เขาไม่ต้องการจะพูดต่างหาก ยิ่งเขาเห็นลูกชายของเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กชายผู้นี้ไม่ได้ปัญญาอ่อน แต่เขาเป็นคนที่ปฏิเสธมันเองต่างหาก
เอิร์ลได้วางรางวัลไปทั่วเมืองในเขตอาณาจักร ใครก็ตามที่ทำให้ลูกของเขาพูดได้จะได้รับรางวัลเป็น 1,000 ทองคำ
ผู้คนมากมายต่างก็มาลองดู แม้แต่นักกวีจากแดนไกลก็เช่นกัน คนพวกนี้ลองทุกอย่าง ตั้งแต่เล่นฟลุตต่อหน้าดู๋เวยตลอดบ่าย ไปจนถึงการสร้างเสียงข้างหูและทำให้เขาตกใจในตอนที่เขาไม่ได้ระมัดระวัง มีแม้กระทั่งคนที่ขอให้โยนเขาลงไปในแม่น้ำ แน่นอนว่าคนๆนั้นก็โดนโยนออกจากคฤหาสน์ไป
เหตุการณ์ทั้งหมดกลายเป็นประเด็นอันร้อนแรงในเมืองแห่งจักรวรรดิ แต่คำถามที่ยากนี้ก็ได้ถูกแก้ปัญหาโดยคนรับใช้ แล้วชื่อของเขาชื่อว่าอะไรกัน? มัด
มัดเป็นชายชราธรรมดา วิธีที่เขาใช้คือการพาดู๋เวยมายังคอกม้า เด็กปกติจะสนใจในตัวสัตว์อยู่แล้ว วิธีนี้ง่ายมาก ซึ่งลองดูก็ไม่เห็นจะเสี่ยงอะไรนัก ดังนั้นแล้ว เอิร์ลจึงได้ตอบตกลง
เมื่อไปถึงคอก ...
มัดมีหน้าที่ทำความสะอาดคอกและในหลายวันมานี้ เขาก็ยังไม่ได้ทำความสะอาดมันเลย ดังนั้นแล้ว เมื่อมัดและดู๋เวยเข้ามา กลิ่นอันน่าสะพรึงก็ได้ปะทะเข้ากับจมูกของเขา พวกเขาวิ่งออกมาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้
ดู๋เวยเองก็ได้พึมพำขึ้นมาด้วย “โคตรจะเหม็น”
และทั้งอย่างนั้นเอง มัดก็ได้รับรางวัลเป็น 1,000 ทอง โดยถูกหักไป 20 ทอง ซึ่งสาเหตุก็เพราะเขาไม่ได้ทำความสะอาดมัน
“เขาจะเป็นครูของเจ้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” เอิร์ลพูดกับลูกชายของเขาในขณะที่ชี้ไปที่ชายชราในชุดขาว “นี่คือ ท่านโรเซีย เขามีชื่อเสียงในด้านการอ่านดวงดาว (คนที่สามารถบอกอนาคตด้วยการอ่านดวงดาว) เขามีความเชี่ยวชาญในด้านประวัติศาสตร์ด้วย”
ตั้งแต่เริ่มต้น โรเซียก็ได้ทำหน้าที่ของเขาได้สมบูรณ์อย่างน่าทึ่ง หลังจากที่สอนมาหนึ่งปี ดู๋เวยก็สามารถเขียนได้แล้ว แม้ว่าเด็กๆจะไม่ได้ถูกสอนให้เขียนตอนอายุสี่ขวบก็ตาม แต่นี้มันก็ไม่ใช่ปกติแล้ว
ชั่วขณะหนึ่ง เอิร์ลก็คิดว่าลูกของเขาอาจจะเป็นอัจฉริยะหรือเปล่า?
อย่างไรก็ตาม เมื่อดู๋เวยอายุถึงห้าขวบ ก็ดูเหมือนโรเซียจะประสบปัญหาอะไรบางอย่าง คืนนั้นเขาได้คุยกับเอิร์ลด้วย
“ท่านเอิร์ล ได้โปรดจ้างคนอื่นเถิด” โรเซียกล่าวออกมาพร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกมาถึงความพ่ายแพ้ “ลูกชายของท่านเป็นอัจฉริยะ ชายชราอย่างข้าไม่มีกำลังพอที่จะสอนลูกศิษย์เช่นนี้”
เมื่อเห็นใบหน้าของนักวิชาการผู้นี้ หัวใจของเอิร์ลก็เต้นแรงยิ่งขึ้นไปอีก เขาสามารถเดาได้เลยว่าอัจฉริยะที่นักวิชาการผู้นี้กล่าวหมายความว่ายังไง แม้แต่นักปราชญ์ที่ชาญฉลาดที่สุดก็ไม่สามารถสอนลูกชายของเขาได้ งั้นก็...
“แต่ท่านโรเซีย ...”
"ไม่ ไม่ ท่านเอิร์ล ได้โปรดอย่าขอให้ข้าอยู่ต่อเถอะ ข้าไม่มีกำลังพอที่จะทำงานยากเช่นนี้" นักวิชาการพูดผู้นี้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
เอิร์ลได้แต่ถอนหายใจออกมา แค่การสอนลูกชายข้ามันยากขนาดนี้เลยงั้นเหรอ? ถ้าท่านโรเซียไม่สามารถทำได้ ข้าก็คงจะไม่สามารถให้ใครทำได้แล้ว
นักวิชาการผู้นี้เองก็รู้สึกไม่สบายใจ คำพูดแบบ "พระอาทิตย์และพระจันทร์ใหญ่เท่ากันเลย" มันก็คงจะเป็นความคิดแบบเด็กทั่วไปเขาคิดกัน แต่เมื่อเด็กคนนี้อายุห้าขวบก็ได้พูดขึ้นมาว่า "การรวมอำนาจทางการเมืองเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการคอรัปชั่น" ซึ่งนี้ทำให้นักวิชาการผู้นี้กลัวอย่างมาก หัวใจของเขาแทบจะหยุดเต้นไปเสียด้วยซ้ำ
ในความเป็นจริง หลังจากสอนดู๋เวยเป็นเวลาหนึ่งปีแล้ว นักวิชาการก็รู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ปัญหาอ่อนเหมือนกับที่ข่าวลือกัน เขาฉลาดมากๆ มากกว่าเด็กวัยเดียวกันเสียด้วยซ้ำ แต่ความคิดเกี่ยวกับด้านการเมืองไม่ควรที่จะมาจากเด็กได้ไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม ดังนั้นแล้ว นักวิชาการผู้นี้จึงคิดว่ามันคงเป็นคำพูดของเอิร์ลและเด็กน้อยผู้นี้คงจะจดจำมันไว้ในหัว เอิร์ลคนนี้มีอำนาจทางทหารอันมหาศาลและเป็นบุคคลที่สองที่มีอำนาจในการบังคับบัญชากองทหารทั้งหมด หากบุคคลผู้นี้ไม่พอใจในราชวงศ์แล้วละก็..
โรเซียเป็นเพียงแค่นักวิชาการเท่านั้น เขาไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสงครามการเมืองเลยสักนิดเดียว
ในท้ายที่สุด เอิร์ลก็ได้ยอมปล่อยให้นักวิชาการผู้นี้ออกไป เอิร์ลได้แต่คิดกับตัวเอง ลูกชายของเขานั้นสิ้นหวังมากขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?
ดูเว๋ยนั้นยืนอยู่ข้างหน้าต่างในห้องของเขาพร้อมกับมองไปที่นักวิชาการที่กำลังออกไป
“คุณชายครับ”
“มัด เจ้าคิดว่าความไม่รู้คือพรหรือไม่?”
มัดเองก็ไม่รู้จะตอบยังไง เขาไม่ได้เรียนอะไรมาเลยแม้แต่นิดเดียว พอคุณชายถามขึ้นมา ก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะตอบอะไรดีๆกลับไปได้ ความไม่รู้งั้นเหรอ? คุณชายกำลังหนักใจเกี่ยวกับเรื่องตัวเองงั้นเหรอ?
"เอาเถอะ" ดู๋เวยพูดพร้อมกับหันศรีษะไปรอบๆ ใบหน้าเล็กๆของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
การข้องเกี่ยวกับโลกใบนี้ทำให้เขานั้นรู้อะไรมากจนเกินไป เขารู้ว่าทำไมพระอาทิตย์และพระจันทร์ถึงตก ทำไมถึงมีกลางวันและกลางคืน ทำไมถึงมีอยู่สี่ฤดู บางทีในโลกใบนี้ การไม่รู้ก็คงจะเป็นพรจริงๆก็ได้