46 สวรรค์ของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์
46 สวรรค์ของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์
ชายสวมชุดม่วงได้หยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้น ดาบบินสีดำสนิทที่ดูธรรมดาสิบกว่าเล่ม ก็ได้ลอยขึ้นมาจากทางด้านหลังของเขา พวกมันหมุนควงและบินไปรอบๆด้านบนศีรษะของเหล่านักเรียนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ในบางครั้ง ดาบบินก็จะหักโค้งอย่างรวดเร็ว ในช่วงสั้นๆ พวกมันบินโฉบ กลับไปกลับมา และดีดตัวออก ในบางครั้ง ทำให้นักเรียนที่เฝ้ามองอยู่ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า
ชายชุดม่วงหัวเราะออกมา และพูดว่า “นักเรียนทั้งหลาย ถ้าหากการสาธิตการทำงานของระบบป้องกันการบุกรุกของสัตว์อสูร ยังไม่สามารถทำให้พวกเธอพอใจได้แล้วละก็ ถ้าอย่างนั้น ก็มาดูผลงานล่าสุด ‘ดาบบินแบบไร้คนขับเคลื่อน’ ที่สร้างโดยมหาวิทยาลัยเชินห่ายของเรา ดาบบินเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นมาสองแบบด้วยกัน แบบอัลฟ่าจะถูกควบคุม โดยการใช้ระบบการควบคุมระยะไกลในคริสตัลโพรเซสเซอร์ ดาบบินสามารถขับเคลื่อนได้ไกลจากตัวผู้ควบคุมถึง 16,000 กิโลเมตร และแบบเบต้าที่พวกเธอได้เห็น คือดาบบินที่สามารถขับเคลื่อนได้เองโดยไร้ผู้ควบคุมโดยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นดาบบินที่ไม่จำเป็นต้องมีผู้ฝึกตนควบคุมมันเลย!”
“ถ้าไม่มีใครควบคุมพวกมัน แล้วพวกมันจะบินเองได้ยังละครับ?” มีนักเรียนอยู่หลายคนที่ไม่สามารถเก็บความสงสัยเอาไว้ได้
“ภายในมาสเตอร์ซีพียูของดาบบินชนิดนี้ เราได้ใส่โครงสร้างของวงแหวนอักขระแบบใหม่เข้าไป เราได้ใส่คำสั่งลงไปหลายพันคำสั่ง ซึ่งเป็นคำสั่งที่รวมเอาโอกาสที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ในสนามรบทั้งหมดใส่ลงไปในนั้น และติดตั้งโปรแกรมการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆแบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีไร้คนขับเคลื่อนที่น่ามหัศจรรย์ของมหาวิทยาลัยเรา! แต่แน่นอนว่า ในการค้นคว้าและพัฒนาเทคโนโลยีนี้ขึ้นมา ไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่ฉันได้อธิบายออกมาหรอกนะ ระบบขับเคลื่อนแบบไร้คนขับ ยังถือเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น และมันยังคงมีปัญหาอยู่อีกมากมาย นักเรียนทั้งหลาย หากพวกเธอรู้สึกสนใจละก็ พวกเธอก็สามารถสมัครเข้ามาที่มหาวิทยาลัยเชินห่ายของเราได้ เรามาร่วมค้นคว้า, พัฒนา, และสร้างอาร์ติเฟ็กซ์ที่สมบูรณ์แบบด้วยกัน!” ชายชุดม่วงพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
หลี่เย้ามองดูดาบบินที่ขับเคลื่อนโดยไร้ผู้ควบคุมที่บินอยู่ในอากาศ เขารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นรัวและนึกถึงเสี่ยวเฮยขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
เสี่ยวเฮยก็บินโดยที่ไม่ต้องรับคำสั่งจากหลี่เย้า มันยังนอนอยู่หน้าจอโฮโลแกรม ฮัมเพลง และทั้งร้องทั้งเต้นไปด้วย มันดูไม่เหมือนกับอาร์ติเฟ็กซ์ด้วยซ้ำ และดูคล้ายกับสิ่งมีชีวิตซะมากกว่า
เมื่อเทียบกับดาบบินระบบไร้คนขับเคลื่อนแล้ว “สติปัญญา” ของเสี่ยวเฮยนั้นสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด
แต่ยังไงก็ตาม ครั้งหนึ่งตาแก่เคยพูดถึงเสี่ยวเฮยว่า มันคือของโบราณที่ถูกค้นพบจากในซากปรักหักพังของโลกเมื่อหลายพันปีก่อน เขาได้ใช้เวลาทั้งชีวิตในการค้นคว้าและศึกษา แต่ก็ยังไม่แม้แต่จะกะเทาะโครงสร้างของเสี่ยวเฮยออกมาได้ และแม้แต่เปลือกนอกของมัน ตาแก่ก็ยังเปิดออกมาได้เลยด้วยซ้ำ
ตาแก่ของเขาคาดเดาเอาไว้ว่า เสี่ยวเฮยน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ในยุคแห่งการบ่มเพาะที่อยู่ในระดับสูงกว่าปัจจุบันมาก
การที่มหาวิทยาลัยเชินห่ายสามารถสร้างดาบบินโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีคนขับเคลื่อนได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มากแล้ว!
ในเวลานั้นเอง ที่ดาบบินแบบไร้คนขับที่บินไปรอบๆนักเรียนที่ยืนอยู่ตรงนั้น และได้โฉบผ่านศีรษะของหลี่เย้า หัวใจของหลี่เย้ารู้สึกคันยุบยับ และเขาก็ได้ยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ ด้วยความอยากที่จะคว้าด้ามของดาบบินเอาไว้
แต่ทันทีที่มือของเขาแตะโดนด้ามดาบของดาบบินเข้า ตัวดาบบินก็ได้สั่นสะท้านและสร้างแสงสีฟ้าออกมา ซึ่งคล้ายกับปลาไหลไฟฟ้า ที่ปลดปล่อยกระแสไฟออกมาและชาร์ตเข้าใส่นิ้วมือของหลี่เย้า
“เจ็บ!”
หลี่เย้าดึงมือของเขากลับ พร้อมกับนิ้วมือของเขาที่กลายเป็นสีดำ เขาเงยหน้ากลับไปมองดูดาบบินที่ยังคงบินวนอยู่รอบหัวของเขาไม่ไปไหน และบางครั้ง มันก็ยังได้ปลดปล่อยกระแสไฟออกมาอย่างดุร้ายด้วย
หลี่เย้ารู้สึกหวาดกลัวและหดคอกลับ เขาไม่กล้าทำอะไรวู่วามอีกแล้ว
ชายในชุดม่วงหัวเราะเบาๆและเดินตรงมาที่หลี่เย้า เขาพูดว่า “นักเรียน ตอนนี้เธอคงจะรู้แล้วสินะ ว่าดาบบินแบบไร้คนขับมันสุดยอดมากแค่ไหน โชคยังดีที่ดาบบินสามารถรับรู้ได้ทันเวลาว่า เธอคือพลเรือน เพราะหากมันคิดว่าเธอคือสัตว์อสูรหรือผู้ฝึกตนปีศาจละก็ เธอก็คงจะถูกมันตัดหัวไปแล้วล่ะ! มาสิ ขอฉันดูมือของเธอหน่อย ว่าได้รับบาดเจ็บอะไรไหม”
ในตอนที่หลี่เย้ายื่นมือออกไป ในจิตใจของเขานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกสนใจ เขาเอาแต่คิดถึงวิธีการที่จะสามารถแกะดาบบินออกมาศึกษา
“หืม?”
ใบหน้าของชายชุดม่วง ได้แสดงออกถึงความประหลาดใจและความสุข เขาฉีกยิ้มกว้างขึ้น “นักเรียน ในเวลาว่าง เธอมักจะซ่อมแซมอาร์ติเฟ็กซ์ใช่ไหม?”
หลี่เย้ามองเขาด้วยความตกใจ และถามว่า “คุณรู้ได้ยังไงครับ?”
“ฉันรู้สึกได้ว่า มือของเธอนั้นต่างไปจากคนทั่วไปมาก ความรู้สึกที่ยืดหยุ่นและแข็งกระด้างนั้น คงจะเกิดจากการที่ผิวหนังที่ด้านขึ้นมาและหลุดลอกออกไป จากนั้นมันก็มีผิวหนังใหม่ผุดขึ้นมา จากนั้นก็หลุดอีก นี่คงจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับมือของเธอมาหลายสิบครั้ง และได้ทำให้กล้ามเนื้อที่ฝ่ามือของเธอบางลงแบบนี้ สำหรับคนทั่วไปคงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีมือแบบนี้ นอกซะจากว่า คนคนนั้นจะเป็นช่างเทคนิคอาร์ติเฟ็กซ์เท่านั้น ถึงจะมีมือแบบนี้ได้ เธอคิดยังไง? เธอสนใจอยากจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยของเราไหม?” ชายในชุดม่วงถามขึ้นมาอย่างเป็นมิตร
หลี่เย้าหันไปมองระบบป้องกันการโจมตีของสัตว์อสูร จากนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองดูดาบบินแบบไร้คนขับเคลื่อนที่บินอยู่เหนือศีรษะของเขา เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่นและพูดว่า “ผมมีความฝันว่าวันหนึ่ง ผมจะกลายเป็นผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์ และสร้างอาร์ติเฟ็กซ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐขึ้นมาให้ได้ครับ!”
“ในท็อป 10 ของมาสเตอร์อาร์ติเฟ็กซ์แห่งสหพันธรัฐ เจ็ดคนในนั้นได้จบมาจากมหาวิทยาลัยเชินห่ายของเรา มหาวิทยาลัยเชินห่ายก็คือสวรรค์ของผู้สร้างอาร์ติเฟ็กซ์! ชื่อของฉันคือ เซี่ยทิงเสียน ฉันเป็นแมวมองของมหาวิทยาลัยเชินห่ายในสนามแข่งที่ 571 แห่งนี้ เธอใช้ได้เลยนะ ตอนที่เธอแข่งอยู่ ฉันจะตั้งใจรอดูผลงานของเธอก็แล้วกันนะ ดังนั้น ทำให้ดีล่ะ!” ชายชุดม่วงตบไปที่ไหล่ของหลี่เย้า เพียงพริบตาเดียว เขาก็ถูกล้อมรอบไปด้วยนักเรียนมากมาย
“ว้าว!”
ที่ด้านนอกของวงล้อม เจิ้งตงหมิงอุทานออกมาด้วนท่าทีที่ดูตื่นเต้นจนเกินจริง “นายได้คุยกับแมวมองของมหาวิทยาลัยเชินห่ายด้วย! เขาดูมีอิทธิพล แล้วก็อาจจะมีอำนาจในการเลือกคนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเลยก็ได้นะ ขอแค่เขาเลือกนาย นายก็ไม่จำเป็นต้องไปสอบอีกต่อไป นายสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเชินห่ายได้เลย! รู้อย่างนี้ ฉันน่าจะให้ดาบบินช๊อตฉันด้วยก็ดี!”
“อย่างนายยังจำเป็นต้องให้คนอื่นมาเลือกเพื่อให้ได้เข้าเรียนอีกเหรอ!”
ถึงแม้ว่าหลี่เย้าจะพูดออกไปเหมือนไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ความจริง ภายในใจของเขากำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง เขาทั้งกังวล, ตื่นเต้น, มีความสุข...ความรู้สึกมากมายพัวพันกันเต็มไปหมด มันทำให้อารมณ์ความรู้สึกของเขาในเวลานี้ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ
มหาวิทยาลัยเชินห่าย คือมหาวิทยาลัยในอุดมคติของเขา เพื่อที่จะให้เซี่ยทิงเสียนสังเกตเห็นเขา เขาจำเป็นต้องทำผลงานในระหว่างการแข่งขันท้าทายขีดจำกัดให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน!
เมื่อได้เจอเป้าหมายอันดับหนึ่งของเขาแล้ว มหาวิทยาลัยอื่นก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขาอีก หลี่เย้าและเจิ้งตงหมิงได้เดินไปรอบๆห้องโถงของเรือธง พวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับบูธของมหาวิทยาลัยอื่นอีก และเตรียมที่จะออกไปจากตรงนี้ ในเวลานั้นเอง พวกเขาก็ได้บังเอิญพบว่า มีห้องโถงเล็กๆห้องหนึ่งที่ตั้งอยู่ลึกเขาไปด้านในของตัวห้องโถงหลัก
มหาวิทยาลัยอื่นพยายามที่จะตกแต่งบูธของตัวเองด้วยข้าวของมากมาย และติดตั้งเทคโนโลยีเอาไว้แสดงโชว์ เมื่อเทียบกับห้องโถงที่เอาไว้จัดนิทรรศการแล้ว ห้องโถงแห่งนี้แทบจะไม่เป็นที่เตะตาคนเลย และไม่มีนักเรียนแม้แต่คนเดียวที่อยู่ภายในนั้น มีทีมงานคนเดียว ซึ่งนั่งอยู่ด้านในสุดของห้องโถงเล็กแห่งนี้
หลี่เย้าเงยหน้าขึ้นมองดู ด้านบนเขียนเอาไว้ว่า “สถาบันการสงครามต้าฮวง”
“สถานบันนี้ก็เป็นหนึ่งในเก้ามหาวิทยาลัยชั้นยอดเหมือนกันเหรอ? ทำไมถึงไม่มีคนสนใจเลยล่ะ? ไม่มีใครอยากจะเข้าเรียนที่นี่เลยงั้นเหรอ?” หลี่เย้าถามออกมาด้วยความสงสัย
เจิ้งตงหมิงเงยหน้าขึ้นมองดูป้ายและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “สถาบันการสงครามต้าฮวงมีทรัพยากรภายในสถาบันที่น้อยที่สุดของทั้งเก้ามหาวิทยาลัย ความแข็งแกร่งโดยรวมของพวกเขาถือว่าอ่อนแอที่สุด และที่ตั้งของสถาบันก็อันตรายมากด้วย ซึ่งก็คือดินแดนสัตว์อสูรรกร้าง...แต่ปัจจัยพวกนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการที่ทำให้ไม่มีใครสนใจพวกเขาเลย แต่สาเหตุหลักก็คือชื่อเสียงของ ‘สาขาการต่อสู้’ ของสถาบันการสงครามที่โด่งดังที่สุดนั่นเอง พวกเขามีความเชี่ยงชาญในการฝึกฝนให้คนที่เรียนอยู่ ได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางของการฝึกร่างกายเป็นหลัก และกลายเป็นผู้บ่มเพาะร่างกาย พูดกันว่า ผู้บ่มเพาะร่างกายที่แข็งแกร่งนั้นก็ไม่ต่างไปจากอาร์ติเฟ็กซ์ประเภทหนึ่ง และพวกเขามีความเชื่อที่ว่า ร่างกายคือสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด และเป็นอาร์ติเฟ็กซ์เพียงอย่างเดียวสำหรับพวกเขา พวกเขาใช้เพียงกำปั้นในการต่อสู้กับสัตว์อสูร พวกเขาถือเป็นกลุ่มคนที่บ้าระห่ำอย่างแท้จริง!”
เมื่อหลี่เย้าได้บินคำพูดของเจิ้งตงหมิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะเห็นด้วย
เขานั้นเกิดอยู่ในสุสานอาร์ติเฟ็กซ์ เขามีความเชี่ยวชาญในการหยิบจับสิ่งของต่างๆ และนำมันมาเป็นอาวุธได้ และการพึ่งพาแต่กำปั้นในการต่อสู้กับสัตว์อสูรเพียงอย่างเดียว ถือเป็นเรื่องที่โง่เขลามาก
เจิ้งตงหมิงพูดต่อ “แต่หลักการในการสอนของสถาบันการสงครามต้าฮวง มันมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังด้วยนะ เพราะว่าสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆสถาบันมีสภาพที่เลวร้ายมาก ทำให้มีทรัพยากรในการฝึกฝนน้อยไปด้วย ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายแบบนั้น การสร้างอาร์ติเฟ็กซ์เพื่อนำไปในการต่อสู้ พอใช้ได้แค่ไม่กี่ครั้ง อาร์ติเฟ็กซ์ที่ก็จะเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็ว พวกเขาก็เลยไม่คิดที่จะเอาอาร์ติเฟ็กซ์มาใช้อีก สภาพแวดล้อมที่สุดขั้วแบบนั้น มันเป็นการบังคับกลายๆให้พวกเขาต้องใช้ร่างกายในการฝึกฝนเป็นหลัก และกลายเป็นผู้บ่มเพาะร่างกายแทน! แต่คนที่อยู่ในแถบตะวันออกเฉียงเหนือต่างก็เป็นผู้ฝึกตนที่เน้นการใช้อาร์ติเฟ็กซ์กันทั้งนั้น การบ่มเพาะที่เน้นไปที่ความแข็งแกร่งของร่างกายเลยไม่ได้เป็นที่นิยมในแถบนี้ และมันก็เป็นความทรมานอย่างหนึ่งด้วย การตัดผ่านเส้นทางการบ่มเพาะร่างกายก็หมายถึง การที่ต้องอดทนทรมานเพื่อโอกาสในการสำเร็จเพียงแค่หนึ่งในแปดส่วนเท่านั้น แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ? ในพวกเราที่อยู่ในแถบตะวันออกเฉียงเหนือ จะมีใครที่สมองฟั่นเฟือน จนเลือกทางเดินนี้กันบ้าง?”
เจิ้งตงหมิงหยุดพูดไปครู่หนึ่ง และเหมือนกับเขาเพิ่งจะคิดอะไรได้ เขาเคาะหัวและพูดออกมาว่า “ฉันเกือบลืมไปซะแล้วสิ โรงเรียนซื่อเซียวที่สองของนายมีผู้ฝึกตนอัจฉริยะอย่าง ดาบปีศาจเผิงห่าย ด้วยนี่นา แล้วเขาก็ยังตัดสินใจเลือกเรียนที่สถาบันการสงครามต้าฮวงด้วยนะ แต่เขาก็ไม่ได้เป็นผู้บ่มเพาะร่างกายหรอกนะ เพราะเขาเป็นผู้ฝึกตนในด้านการใช้ดาบ”
“ที่นี่คือมหาวิทยาลัยที่ดาบปีศาจเผิงห่ายเรียนอย่างนั้นเหรอ?” ดวงตาของหลี่เย้าเป็นประกายขึ้นมา และเขาก็เริ่มรู้สึกสนใจสถาบันการสงครามต้าฮวงขึ้นมาบ้างแล้ว