ตอนที่ 14 รวมพลนักเรียนห้องคนเถื่อน! (2)
“สวัสดีสหายนักเรียน ข้าสือเฉิน ฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”
สือเฉินสวมอาภรณ์ผู้ชายนางก้าวขายาวมาข้างหน้าเสวี่ยอิ่งและทักทายอย่างกระตือรือร้น ข้างหลังสือเฉินมีนักเรียนสี่คนตามหลัง พวกเขาเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดที่มาถึง
เสวี่ยอิ่งยิ้มพลางกล่าว
“ถึงข้าจะชอบการเรียกเช่นนั้น แต่ข้าคืออาจารย์ของห้องเรียนนี้”
สือเฉินตะลึงครู่หนึ่งนางรีบกล่าว
“ข้าผิดไปแล้วอาจารย์! ข้าไม่ได้ตั้งใจ เพียงแต่ท่านงดงามแถมยังดูสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้า...”
ถึงแม้นนางจะประหม่าเป็นอย่างมาก สือเฉินไม่ได้กล่าวคำใดผิด ทุกสิ่งที่นางพูดทำเสวี่ยอิ่งปลื้มปิติอยู่ในใจ
“ไม่ต้องขอโทษหรอก ข้าเข้าใจ”
เสวี่ยอิ่งเผยให้เห็นสีหน้าราวกับกำลังจะบอกว่า ‘เจ้ามีอนาคต’ ให้แก่สือเฉินขณะตบบ่านาง เสวี่ยอิ่งไม่ลืมที่จะเขม่นป๋ายเสี่ยวเฟยครู่หนึ่ง
“แล้วพวกเจ้าเล่า? ชื่ออะไรกันบ้าง?”
เสวี่ยอิ่งหันไปหานักเรียนคนอื่นที่ตามหลังสือเฉินพลางปลดปล่อยอำนาจรังสีของอาจารย์
“ข้าจูนั่ว นักเชิดหุ่นสายฟื้นฟูระดับฝึกหัด ข้ามาจากจักรวรรดิหลิงหลง”
ดรุณีน้อยท่าทางสุภาพเปราะบางเป็นคนกล่าว มีฝุ่นเกาะไปทั่วกระโปรงสีน้ำตาลอ่อนของนาง ไม่ยากเลยที่จะบอกว่านางต้องใช้พลังไปมากแค่ไหนกับการสอบ
“ข้าต้วนอีอี”
เสียงบางเบาราวกับยุงดังขึ้นข้างๆ จูนั่ว ใบหน้านางแดงด้วยขณะพูดจากความเขินอายร่างกายเล็กกะทัดรัดและนิสัยขี้อายเข้ากันได้ดีไม่น้อย
“ต้าหมิง!”
“เสี่ยวหมิง!”
หลังจากต้วนอีอีกล่าวจบชายหนุ่มสองคนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันราวแพะกับแกะก็แนะนำตัวตาม
“พวกเรามาจากจักรวรรดิหยุนมู่!”
“นักเชิดหุ่นสายป้องกันระดับฝึกหัด”
ทั้งคู่พูดติดต่อด้วยเวลาที่เหมาะเจาะราวกับกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝด
“เอาล่ะ เข้าไปทำความรู้จักข้างในดีกว่า ข้าจำชื่อพวกเจ้าได้หมดแล้ว”
เสวี่ยอิ่งสั่งทั้งห้าอย่างง่ายๆ นางหันกลับไปมองยังทิศทางที่นักเรียนต้องมา ใบหน้าปรากฏความพึงพอใจระคนคาดหวัง
การคงอยู่ของเสวี่ยอิ่งเป็นสิ่งที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ต้องการ แต่เขาไม่มีความคิดที่จะกลับเข้าไปในห้อง ความคาดหวังของเขาไม่น้อยไปกว่าของเสวี่ยอิ่งแม้แต่น้อย
ต้องรู้ว่าที่หุบเขาวีรบุรุษไม่มีคนรุ่นเดียวกันมากขนาดนี้!
นักเรียนในห้องที่เหลือไม่อาจเข้าใจพวกเขาได้ แต่พวกเขาเก่งนักในเรื่องคาดเดา..
“ภรรยา เจ้าคิดว่าหัวหน้าห้องของเราสนใจในตัวอาจารย์หรือไม่? เพราะหากไม่ใช่แล้วเหตุใดเขาถึงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ปริบากบ่นแม้แต่น้อย...?”
ฉิงหนานถาม
จู๋ซือซือตบป้าบเข้าที่กระหม่อมเขา
“ไม่ไม่ เจ้าไม่เห็นเมื่อครู่หรือไร? เป็นนางต่างหากที่หยอกล้อหัวหน้าห้อง”
“ความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์กับอาจารย์ได้รับการยอมรับในสถาบันชิงหลัวด้วยหรือ?”
หวู่จื๋อมองพวกเขาเป็นคู่รักไปแล้ว
“ข้าไม่รู้ พวกเราไม่ใช่คนจากที่นี่ ใครจะไปรู้ว่าขนบธรรมเนียมเป็นแบบไหน แต่อาจารย์ของพวกเรางดงามมาก ไอ้หนุ่มนั่นโชคดีเหลือเกิน”
โม่ข่ากล่าวใบหน้ามีความต่ำช้าปรากฏให้เห็น
แม้แต่กลุ่มทั้งห้าของสือเฉินที่เพิ่งมาถึงก็ก็ไม่ได้อยู่นิ่ง พวกเขาเริ่มจับกลุ่มคุยกันในขณะที่รับฟังบทสนทนาของโม่ข่าและคนอื่นๆ
การสอบเข้าสถาบันชิงหลัวถือได้ว่าได้ช่วยให้นักเรียนจากทั่วทั้งทวีปรู้จักกันอย่างรวดเร็ว
นักเรียนที่มาถึงหลังกลุ่มของสือเฉินไม่ได้มาเป็นกลุ่มอีกต่อไป เสวี่ยอิ่งและป๋ายเสี่ยวเฟยต้อนรับนักเรียนทั้งสี่
เฉินฮุยผู้มีรูปร่างหน้าตาธรรมดาท่าทางจริงจัง ชีเว่ยหญิงสาวผู้พูดปากไหลไฟดับ จากนั้นยังมีฟางเย่ชายหนุ่มบ้านรวยที่มาพร้อมกับคนรับใช้หวังหาง
หลังจากทั้งสี่มาถึง ป๋ายเสี่ยวเฟยและเสวี่ยอิ่งรออยู่นานนม เห็นเพียงทั่วทั้งพื้นที่สามัญได้เข้าสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้ว่าจะไม่มีนักเรียนใหม่มาอีก
“สิบห้าคน ไม่เลว”
เสวี่ยอิ่งยืดตัวอย่างพอใจ เผยรูปร่างสมส่วนต่อหน้าป๋ายเสี่ยวเฟย
“เด็กน้อยลามก เจ้ามองอะไร?”
เสวี่ยอิ่งถือโอกาสที่ป๋ายเสี่ยวเฟยขาดความระมัดระวังมายืนข้างหน้าเขาพลางยื่นมือไปยกคางของป๋ายเสี่ยวเฟยขึ้น
เพราะเหตุผลอันใดไม่ทราบ เสวี่ยอิ่งรู้สึกว่านางได้ชื่นชอบการหยอกล้อป๋ายเสี่ยวเฟยเสียแล้ว
“ข้าจะมองอะไรได้นอกจากท่าน พี่หญิงเสวี่ยผู้งามเลิศชั่วนิรันดร์ของข้า”
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่คิดจะหลบนางแม้แต่น้อยเพราะเมื่อตอนเขารอนักเรียนคนอื่นเขาได้รับรู้ถึงเรื่องหนึ่ง หากเขาไม่อยากพ่ายแพ่ให้แก่นางเขามีแต่ต้องทำตามที่พ่อสามสอนเท่านั้น
‘หากเจ้าเจอหญิงสาวสายรุก เจ้าเพียงต้องรุกให้หนักกว่านางแล้วเจ้าก็จะชนะ’
“โอ.. ครั้งนี้เจ้าพูดได้ดี ไปเถอะเรายังมีเวลาอีกมาก”
เสวี่ยอิ่งกล่าวพลางเดินเข้าห้องเรียนที่ป๋ายเสี่ยวเฟยได้ทำความสะอาดด้วยสีหน้าพึงพอใจ นางกวาดตามองนักเรียนทั้งหมดที่กำลังนั่งบนเก้าอี้
“จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าคืออาจารย์ประจำห้องของพวกเจ้า แต่ข้าชอบให้เรียกว่าพี่หญิงเสวี่ย เพราะข้าอาวุโสกว่าพวกเจ้าไม่กี่ปี”
เสวี่ยอิ่งใช้มือทุบโต๊ะปลดปล่อยรัศมีอาจารย์
“สวัสดีพี่หญิงเสวี่ย!”
สือเฉินเป็นคนแรกที่พูด นักเรียนคนที่เหลือรีบกล่าวตามทันที
“ข้ารู้ว่ามีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับพวกเรา พวกเขาเรียกเราว่าห้องเรียนคนเถื่อนที่รับแต่ของเหลือที่ห้องอื่นไม่ต้องการ แต่..”
คำพูดของเสวี่ยอิ่งทำนักเรียนทุกคนตกใจ
“ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ดูถูกตนเองเกินไป ที่นี่เป็นเพียงห้องเรียนเตรียมเท่านั้น การที่พวกเจ้าอ่อนแอในตอนนี้ไม่ได้หมายความว่าจะอ่อนแอตลอดไป”
“ข้าเชื่อว่าภายใต้การสั่งสอนของข้า นักเรียนห้องเราจะต้องสามารถฝ่าคลื่นอันยากลำบากไปด้วยกัน! พวกเราจะทำให้ทุกคนมองเราใหม่! พวกเราจะทำให้ทุกคนเทิดทูนบูชา! บอกข้าทีว่าพวกเจ้ามีความมั่นใจหรือไม่!?”
เสวี่ยอิ่งตุบโต๊ะอีกครั้งทำเหล่านักเรียนสะดุ้งโหยง พวกเขาตกใจจนลืมสิ่งที่เสวี่ยอิ่งพูดไปจนหมด
ทั้งห้องตกอยู่ใจความเงียบน่าอึดอัดเป็นจังหวะนี้เองที่ป๋ายเสี่ยวเฟยเริ่มที่นั่งอยู่ริมห้องส่งเสียงหัวเราะ
“ป๋ายเสี่ยวเฟย!”
เสวี่ยอิ่งผู้ใจเสียจากปฏิกิริยาจากนักเรียนะลีนโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที ก่อนที่นางจะได้ทำอะไรก็ได้ยินเสียงประตูไม้ถูกผลักกระแทกลงกับพื้นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“สวัสดี...ทุกคน”
เสียงขาดๆ หายๆ ดังขึ้นทุกคนในห้องเรียนหันไปมองต้นกำเนิดเสียงอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อพวกเขามองเห็นร่างนั้นพวกเขาทุกคนล้วนเค้นสมองแต่ก็มิอาจหาคำมาอธิบายความงดงามของหญิงสาวผู้ยืนอยู่ตรงประตูได้ แม้แต่เสวี่ยอิ่งที่มีความมั่นใจในเสน่ห์ตัวเองสูงยังอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่
ดรุณีน้อยผู้นี้มีใบหน้าราวกับสวรรค์เป็นผู้ยื่นมือมาสลักทีละนิ้วทีละนิ้วด้วยตนเอง ไม่มีพื้นที่ใดจะสามารถปรับแต่งให้ดีขึ้นไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ร่างกายผอมบางยิ่งไร้ตำหนิกว่าเสวี่ยอิ่ง ขาเรียวยาวใต้กระโปรงสั้นตราตรึงสายตาจากนักเรียนชายทุกคน เอวคอดกิ่วไร้สิ่งบดบังยิ่งส่งเสริมเสน่ห์อันมากล้นไปอีกระดับ
“สวัสดี...ทุกคน”
หญิงสาวกล่าวอีกทีดึงสติของทุกคนกลับมา
“อา...สวัสดี..เจ้าคือ?”
อย่างไรเสียเสวี่ยอิ่งก็แก่กว่าพวกเขาหลายปีนางจึงเป็นคนแรกที่รู้ว่าควรพูดอะไร
“หลินหลี...ข้ามาเรียน”
หญิงสาวยังคงพูดๆ หยุดๆ ให้ความรู้สึกว่านางเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใย
“ยินดีต้อนรับ เจ้าไปนั่ง...”
เสวี่ยอิ่งกวาดตาทั่วทั้งห้องขณะที่พูด ท้ายที่สุดนางสังเกตเห็นเพียงเก้าอี้เดียวที่ยังว่างและนั่นก็คือ...เก้าอี้ข้างป๋ายเสี่ยวเฟย
“ไปนั่งข้างป๋ายเสี่ยวเฟย”
เสวี่ยอิ่งกล่าวพลางกัดฟันแน่นในขณะเดียวกับสายตาแหลมคมแกมข่มขู่จ้องเขม็งไปที่ป๋ายเสี่ยวเฟยอย่างดุดัน
น่าเสียดายที่ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่สนใจนางแม้แต่น้อย
ยิ่งหลินหลีเดินเข้ามาใกล้ป๋ายเสี่ยวเฟยเท่าไหร่ หางของเสี่ยวเอ้อก็ส่ายเร็วขึ้นเท่านั้น มันนอนอยู่บนโต๊ะตั้งแต่เมื่อครู่
“โฮ่ง! โฮ่ง!”
ความรู้สึกของหุ่นเชิดมีชีวิตกับเจ้าของเชื่อมโยงกัน เสียงเห่าอย่างตื่นเต้น้นของเสี่ยวเอ้อถ่ายทอดความรู้สึกในตอนนี้ของป๋ายเสี่ยวเฟยได้เป็นอย่างดี...