WOW : ราชันย์ต่างภพ ตอนที่ 51
ไพร่พลกว่า 10,000 นายหลั่งไหลเข้าโจมตีโดยไม่หยุดพัก ส่งผลให้เหล่าผู้ฝึกยุทธ์สามารถยึดพื้นที่เล็กๆบนกำแพงได้ ทว่าเหล่าออ์รคเองก็โหมโจมตีอีกครั้ง และอีกครั้งเพื่อตีชิงพื้นที่ส่วนนั้นกลับมา
การเข่นฆ่ายังคงดำเนินต่อไป รอยเลือดทั้งใหม่และเก่าอาบชโลมไปทั่วร่างของพวกออร์ค ผิวกายสีเขียวของพวกมันย้อมไปด้วยเลือดของศัตรูและตนเอง
เริ่มแรกนั้น ดูเหมือนว่าเหล่าพลเดินเท้าจะไม่ค่อยมีบทบาทมากนักในสงครามครั้งนี้เมื่อเทียบกับพวกออร์ค ทว่าทักษะที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาก็เริ่มปรากฏให้เห็น สิ่งแรกเลย พวกเขาเป็นแนวป้องกันแรกที่ตั้งรับอยู่บนกำแพงเพื่อคอยกำบังลูกดอกจากหน้าไม้ให้กับเหล่าออร์คและพลธนู ประการที่สอง พวกเขาได้ใช้ทั้งโล่และร่างกายของพวกเขาเพื่อปกป้องพลธนูเอลฟ์จากศัตรูที่รุกคืบเข้ามา ประการที่สาม แนวป้องกันของพวกเขายังสามารถต้านทานทหารส่วนใหญ่ของแคร์รี่ได้แม้จะมีพื้นที่บางส่วนที่ถูกชิงไปก็ตาม
นักรบแต่ละเผ่าพันธุ์นั้นมีข้อดีและข้อด้อยแตกต่างกันไป พลเดินเท้านั้นอ่อนแอกว่าพวกออร์คในการโจมตี แต่ในด้านของรูปขบวนป้องกัน พงกเขาย่อมเหนือกว่า
ในจุดนี้ เกราะป้องกันของพวกเขายังคงอยู่ในระดับที่ต่ำ ในอนาคต เมื่อเซียวอวี๋ปรับปรุงและอัพเกรดมันได้แล้ว พวกเขาก็จะสามารถเทียบเท่าได้กับทัพเกราะหนัก พวกเขาจะกลายเป็นทัพเกราะหนักที่เหนือยิ่งกว่าทัพเกราะหนักใดๆในโลกใบนี้
พลธนูคือกำลังหลักในศึกครั้งนี้ นั่นก็เนื่องมาจากรัศมีจ้าวธนูของทิรันด้า ขีดความสามารถของพวกเขาต่างเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยด้วยความช่วยเหลือจากมัน พวกเขาคือกองกำลังที่สามารถเข่นฆ่าศัตรูได้เยอะที่สุด ศักยภาพของพลปืนเองก็ไม่น้อยหน้า แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สังหารศัตรูไปมากมาย ทว่าการคงอยู่ของพวกเขากลับสามารถสะกดข่มและสังหารผู้ใช้มนตราฝ่ายศัตรูได้อย่างหมดจด
ผู้ใช้มนตราของอีกฝ่ายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มากนักภายใต้สายตาของพลปืน มิฉะนั้น ผู้ใช้มนตราจะมีบทบาทอย่างมากในการเข่นฆ่าพวกออร์ค อาจกล่าวได้ว่าผู้ที่คอยป้องปกพวกออร์คที่แท้จริงก็คือพลปืนเหล่านี้เอง พวกนักล่าเองก็ควบเสือดาวไปทั่วแนวกำแพง พวกเขากำจัดศัตรู ช่วยพวกออร์ครักษาแนวป้องกันเอาไว้
นักรบทุกนายต่างทุ่มเททุกสิ่งออกไปอย่างเต็มที่ รวมถึงความสามารถในการบัญชาการรบของเซียวอวี๋ที่ทำให้สามารถต้านยันศัตรูเอาไว้ได้
ฝ่ายของแคร์รี่ไม่หลงเหลือเครื่องยิงหินหรือบาริสต้าอยู่อีก ดังนั้นเซียวอวี๋จึงให้เครื่องยิงทำลายและเครื่องจู่โจมเล็งยิงไปยังกองทัพที่อยู่เบื้องล่าง เครื่องยิงทำลายทั้งสิบยิงออกไปพร้อมกัน กลุ่มหินที่สาดกระจายออกไปได้เปลี่ยนไพร่พลฝั่งศัตรูให้กลายเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือน
...............................
...............................
จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายฝั่งของแคร์รี่ได้พุ่งเกิน 15,000 เข้าไปแล้ว ทว่าพวกเขาก็ยังไม่สามารถเจาะผ่านประตูหรือยึดครองกำแพงเอาไว้ได้ ไพร่พลที่ยังหลงเหลืออยู่ในสนาบรบ 4,000 นายต่างต่อสู้จนอ่อนล้า
เหล่าไพร่พลต่างโกรธแค้นเซียวอวี๋ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่ได้มีความคิดที่จะต่อสู้แบบนี้ไปตลอด คำสัญญาของแคร์รี่ที่ว่าจะมอบความมั่งคั่ง เกียรติยศ และสาวงามได้สลายเป็นอากาศธาตุและทำให้มันไม่มีความหมายอีกต่อไป
เซียวอวี๋สามารถต้านยันการโหมโจมตีซึ่งเป็นส่วนที่ยากที่สุดในการรบครั้งนี้เอาไว้ได้ ฝ่ายศัตรูไม่หลงเหลืออาวุธหนัก ทำให้การโจมตีที่ด้านบนของกำแพงอ่อนกำลังลง พวกมันไม่สามารถคุกคามเข้าไปในเมืองได้ ถึงกระนั้นพวกมันก็ยังคงเดินหน้าบุกต่อไป
..........................
..........................
"แคร์รี่! เจ้าลูกหมา! กองทัพของเจ้าล้วนอยู่ที่นี่! เจ้ากำลังจะหลบหนีไปที่ใดกัน? ยังมีศักดิศรีของชายชาตรีอยู่หรือไม่?" เซียวอวี๋ตะโกนส่งเสียงไปยังนอกเมือง
กองทัพของแคร์รี่ล้วนเหนื่อยล้าทั้งกายใจ ดังนั้นทหารส่วนใหญ่จึงหันไปยังทิศที่มีรถม้าอยู่เพื่อตรวจสอบทันทีที่ได้ยินถ้อยคำของเซียวอวี๋ แคร์รี่ได้หายตัวไปแล้ว!
นับตั้งแต่สงครามเริ่มต้นขึ้น แคร์รี่ได้ยืนอยู่บนรถม้าและจับจ้องสถานการณ์การรบมาโดยตลอด ทว่าตอนนี้เขาได้หายตัวไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาได้กลับเข้าไปในรถเพื่อเตรียมหลบหนี
เหล่าไพร่พลเริ่มตื่นตระหนกเมื่อพบว่าผู้นำของพวกมันได้หายตัวไปแล้ว ปราการสุดท้ายที่ยึดเหนี่ยวจิตใจพวกมันเอาไว้ได้พังทลายลง ไม่ช้าพวกมันก็เริ่มหันหลังกลับและวิ่งหนี
..................................
..................................
ในความเป็นจริงแล้ว แคร์รี่ไม่ได้หลบหนีไปไหน ตรงกันข้าม เขาได้เข้าไปภายในรถม้าเพื่อจัดเตรียมอาวุธและชุดเกราะสำหรับออกศึกด้วยตนเอง ด้วยภาระที่เขาได้แบกรับเอาไว้ทำให้เขาไม่สามารถหลบหนีไปที่ใดได้แม้ว่าเขาจะต้องการก็ตาม ด้วยเหตุนั้นเขาจึงตัดสินใจจะเข้าร่วมสนามรบด้วยตนเองเพื่อปลุกกระตุ้นขวัญกำลังใจของกองทัพ เขาต้องการจะจัดการเซียวอวี๋และนำทัพบุกเข้าไปในเมืองด้วยตนเอง
ทว่าเซียวอวี่นั้นเจ้าเล่ห์ยิ่ง เขาเริ่มตะโกนออกมาทันทีที่เห็นแคร์รี่มุดเข้าไปในรถม้า ถ้อยคำของเขาได้ทำลายขวัญกำลังใจของศัตรูจนย่อยยับในทันที
สถานการณ์กลายเป็นหลุดจากการควบคุมยามเมื่อแคร์รี่ก้าวออกมา เขาไม่สามารถควบคุมเหล่าทหารที่กำลังกระจัดกระจายกันหลบนีได้ ในขณะที่สถานการณ์กำลังล่อแหลม คำกล่าวของเซียวอวี๋ก็เป็นตัวจุดชนวนที่ก่อให้เกิดอำนาจทำลายที่น่ากลัวขึ้น
"ติดตามไป! บุกได้!" เซียวอวี๋ตะโกนออกมาขณะที่ยืนสั่งการอยู่บนกำแพง
การล่าถอยในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ครั้งก่อนแม้จะเป็นการล่าถอย ทว่าพวกมันก็ยังคงรักษารูปขบวนเอาไว้ นั่นจึงทำให้เซียวอวี๋ไม่กล้าส่งนักรบของเขาไล่ติดตาม ทว่าหลังจากสูญเสียไพร่พลไปกว่า 15,000 คน เหล่าทหารที่หลงเหลืออยู่ต่างหันหลังและออกวิ่งโดยไม่คิดชีวิต
พวกออร์ควิ่งลงจากกำแพงและติดตามกองทัพของแคร์รี่ไปในฐานะทัพหน้า เหล่านักล่าแปรเป็นปีกทั้งสองข้างขณะที่พลปืนและพลธนูติดตามเป็นทัพหลัง พวกเขาจะเข่นฆ่าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
พวกออร์คยังคงแบกเครื่องจู่โจมไปด้วยขณะที่ยิงออกไปเป็นระยะ
....................................
....................................
"เป็นไปไม่ได้!! มันเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร!!" แคร์รี่กรีดร้องออกมาราวกับคลุ้มคลั่งขณะมองดูกองทัพของเขาหลลหนีโดยไม่คิดชีวิต
"นายท่าน! พวกเราเองก็ต้องไปแล้ว! ข้าทราบว่าท่านลอร์ดจะต้องลงโทษอย่างหนัก แต่ทว่ามันก็ยังดีกว่าต้องตกตายอยู่ที่นี่!" ที่ปรึกษาทางทหาร โดทุฉุดดึงมือแคร์รี่ขณะกล่าวแนะนำ
แคร์รี่มองดูไพร่พลของเขากำลังหลบหนี และที่ติดตามมาด้านหลังก็คือกองทัพของเซียวอวี๋ น้ำตาไหลอาบแก้มขณะกัดฟันเพื่อสะกดข่มความแค้น
"ไป" แคร์รี่ตัดสินใจในที่สุด
แคร์รี่กำลังหลบหนี แม้ว่าเขาจะไม่อยากกลับไปที่ดินแดนของตนเองก็ตาม
ปกติแล้ว เขาเป็นนายน้อยที่กล้าหาญ อย่างไรก็ตามมือของเขากลับสั่นเทาขณะมองเห็นเหล่าออร์คที่กำลังกวดตามกองทัพของเขามาจนใกล้จะถึงตำแหน่งที่เขาอยู่ เขาเป็นบุตรชายของลอร์ดและได้รับการปกป้องเสมอมา เขาไม่เคยต้องเผชิญกับสถาการณ์เช่นนี้มาก่อน เขาไม่เคยรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความตายได้มากขนาดนี้ วินาทีที่เขาจ้องมองไปยังพวกออร์ค เขาพบว่ามันคือความกลัว ความกลัวที่แท้จริง
รถม้าหันหลังกลับและออกเคลื่อนตัว บนตัวรถมีการขีดวาดอักขระเวทย์เอาไว้โดยผู้ใช้มนตรา ดังนั้นรถม้าจึงเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็วและราบรื่น
เซียวอวี๋ไม่มีทัพม้า ดังนั้นเขาทราบว่ามันยากที่จะจับตัวของแคร์รี่ได้ ทว่าเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะสังหารแคร์รี่ได้ในสนาบรบอยู่แล้ว นอกจากนี้แม้ว่าแคร์รี่จะหลบหนีไปได้ ชีวิตของเขาก็คงจมอยู่กับความพ่ายแพ้ ความเป็นอยู่ของเขานับจากนี้จะเปลี่ยนไปตลอดกาล
เซียวอวี๋ทราบว่าหลังจากนี้บิดาของแคร์รี่คงไม่สามารถจัดส่งคนมาโจมตีเขาได้ไปอีกนาน ดังนั้นเขาจึงมีโอกาศฟื้นตัว เติบโต พัฒนาและขยับขยาย
พวกออร์คไล่ติดตามไปกว่าสิบไมล์และเข่นฆ่าทหารไปได้อีก 1,000 นาย แม้ว่าพวกมันจะหลบหนีไปได้ไกลแล้ว แต่พวกมันกลับไม่มีความคิดที่จะหันกลับมาตอบโต้ใดๆ พวกมันเพียงมุ่งกำลังไปที่การวิ่ง
เซียวอวี๋ออกคำสั่งเรียกกองทัพกลับมา มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาขณะที่มองดูกองทัพศัตรูที่สุดสายตา ชันะในครั้งนี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการยึดครองโลก เมืองไลอ้อนจะไม่ใช่แค่เพียงเมืองเล็กๆอีกต่อไป เขาวางแผนที่จะสถาปนาอาณาจักรและขยับขยายมันไปจนครอบคลุมทั้งโลก
....................................
...................................
ตะวันตกดินขณะที่แสงของมันส่องกระทบลงบนร่างของเซียวอวี๋ พวกออร์ค เอลฟ์ คนแคระ และอื่นๆที่รายล้อมอยู่รอบกายเขาก่อให้เกิดเป็นภาพที่วิเศษออกมา
จิตรกรที่มีชื่อเสียงจะวาดฉากนี้ขึ้นหลังจากเวลาผ่านไปและมันจะถูกขนานนามว่า "ยุครุ่งโรจน์แห่งกษัตริย์"