WOW : ราชันย์ต่างภพ ตอนที่ 34
ขณะที่การสู้รบยังคงดำเนินต่อไป มาร์คัสพบว่าเขาไม่ได้ประเมินความแข็งแกร่งของพวกออร์คผิดไป หากแต่เป็นเอลฟ์และพลปืน
ในความจริงแล้ว นักรบออร์ค 300 นายไม่สามารถจะทำอะไรได้มากนักหากปราศจากพลธนูเอลฟ์และพลปืน พวกมันอาจจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก
ทางด้านของมาร์คัสกำลังเกิดการสูญเสียอย่างหนัก ซึ่งมันไม่ใช่เกิดจากพวกออร์ค หากแต่เป็นคมศรและห่ากระสุน
แม้ว่าพวกออร์คจะแข็งแกร่งไม่น้อย ทว่าพวกมันก็สามารถรับมือผู้คนได้อย่างจำกัด มาร์คัสต้องการให้ผู้ใช้มนตราทำลายรูปขบวนของพวกออร์ค จากนั้นพวกเขาก็บุกทะลวงไปด้านหน้าและกวาดล้างพวกออร์คทั้งหมด ทว่าทิรันด้าและพลปืนได้ยิงสังหารผู้ใช้มนตราก่อนที่มันจะมีโอกาศทันได้ใช้เวทย์เสียอีก
นอกจากนี้แล้ว พวกพลธนูเอลฟ์ยังใช้ทักษะซ่อนเงาที่ทำให้พวกเขายากต่อการถูกพบอีก ด้วยเหตุนี้มาร์คัสจึงไม่ทราบจำนวนที่แท้จริงของพลธนูฝ่ายเซียวอวี๋ นอกจากนี้การคงอยู่ของ "ศาสตราเวท" ที่ใช้โดยพลปืนยังทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายเขาเสียเปรียบอย่างมาก
นอกจากนี้เซียวอวี๋ยังใช้ประโยชน์จากที่สูงได้อย่างสมบูรณ์แบบ มือธนูชั้นยอดเหล่านี้เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อกองโจรของมาร์คัส เขาตระหนักอย่างชัดเจนแล้วว่า เขาจะต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอนหากรูปการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป
โลกนี้ยังคงอยู่ในยุคของอาวุธเย็น ดังนั้นมาร์คัสจึงไม่คุ้นเคยกับอำนาจทำลายล้างที่มาจากอาวุธระยะไกล ซึ่งในฐานะคนจากยุคปัจจุบันแล้ว เซียวอวี๋รู้วิธีใช้มันให้เกิดประโยชน์เป็นอย่างดี
นโปเลียนยังเคยเป็นผู้สนับสนุนให้มีการใช้อาวุธหนักแบบรวมศูนย์ในการโจมตีระยะไกลเพื่อปราบปรามศัตรูของเขา ตราบใดที่ฝ่ายหนึ่งสามารถปราบปรามฝ่ายอื่นได้แล้วชัยชนะก็อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว
ซึ่งนั่นเป็นผลให้ เหล่านักรบออร์คและพลเดินเท้าไม่ได้มีส่วนร่วมกับการรบในครั้งนี้สักเท่าใด กองกำลังที่เป็นกุญแจสำคัญย่อมต้องเป็นพลธนูและพลปืน
พลปืนนั้นไม่มีความแม่นยำและความว่องไวเฉกเช่นพลธนู ในเวลาที่เท่ากันพลปืนสามารถยิงกระสุนออกไปได้หนึ่งนัด ในขณะที่พลธนูสามารถยิงศรออกไปได้ถึง 5 ดอก ทว่ามีเพียงกระสุนปืนเท่านั้นที่สามารถเป็นภัยคุกคามและพรากชีวิตเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ได้ ดังนั้นทั้งสองกองกำลังจึงต่างมีบทบาทสำคัญ
เซียวอวี๋คิดว่าตราบเท่าที่เขามีผู้ใช้มนตรา พลเดินเท้า ทัพม้า และผู้ฝึกยุทธ์แล้ว เขาก็จะสามารถเผชิญหน้ากับกองกำลังนับแสนคนได้ หรือว่าอาจจะกระทั่งหนึ่งล้านคน!
น่าเสียดายที่กองทัพของเขาสามารถครอบครองได้อย่างจำกัด ในตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาที่ทำให้เขาสามารถยืนหยัดอยู่ได้ก็เพราะ กองกำลังที่หลากหลายของเขา มิฉะนั้นเขาคงจะได้รับความพ่ายแพ้ไปเนิ่นนานแล้ว
"ถอยทัพ! ถอยทัพ!" มาร์คัสฉลาดพอที่จะเข้าใจได้ว่าไม่อาจปล่อยให้สงครามดำเนินต่อไปเช่นนี้ได้อีก ค่ายโจรของเขาจะล่มสลายหากยังดื้อดึงบุกต่อไป
เขารีบออกคำสั่งให้พวกโจรถอยทัพทันที มือธนูชั้นยอกของอีกฝ่ายนั้นเป็นภัยคุกคามเกินไป
ในใจของมาร์คัสผสมปนเปไปด้วยโทสะและความหดหู่ ที่แห่งนี้คือค่ายของเขา และฝ่ายศัตรูก็กำลังใช้กำแพงของเขาเพื่อจัดการฝ่ายเขา ถ้าหากว่ากำแพงไม่ได้ตกไปอยู่ในมือของฝ่ายศัตรูตั้งแต่แรกเริ่ม เช่นนั้นผลลัพธ์ก็คงไม่ออกมารูปแบบนี้
เซียวอวี๋นั้นสามารถกุมจุดยุทธศาสตร์ของสงครามในครั้งนี้ไว้ได้
เซียวอวี๋ตระหนักดีว่าอีกฝ่ายนั้นมีกองทหารม้าที่จะสามารถตีฝ่านักรบออร์คทั้ง 300 นายของเขาได้อยู่ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เซียวอวี๋เลือกที่จะยึดครองกำแพงก่อน จากนั้นจึงค่อยเปิดฉากสงครามขึ้น
หากว่ากองทัพของเขาเข้าปะทะกับพวกโจรโดยตรง และล้อมค่ายเอาไว้ ชะตากรรมของฝ่ายเขาก็คงไม่ต่างไปจากพวกโจรในตอนนี้ พลธนูและคนแคระไม่สามารถจัดการกับพลลาดตระเวนทั้งหมดได้ในทันที และโอกาศที่เขาจะปืนขึ้นไปด้านบนกำแพงได้ก็มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
เซียวอวี๋ศึกษาข้อดีข้อด้อยของกองทัพฝ่ายเขามาแล้ว จะอย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงผู้ชนะเลิศในการแข่งขัน Warcraft งานที่ซึ่งมีแต่ผู้เล่นระดับพระกาฬเข้าร่วม กลยุทธ์ที่เขาใช้ออกนี้เขายังเคยใช้มันในการแข่งขันอีกด้วย แม้ว่าจะมีความแตกต่างกันมากระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงกับเกมก็ตาม ความสามารถในการเข้าใจสถาการณ์ของเขาก็ไม่ได้ด้อยลงเลย อีกทั้งในโลกนี้ยังคงใช้เพียงอาวุธเย็นเสียเป็นส่วนใหญ่
เซียวอวี๋ไม่ได้ไล่ตามไปเมื่อมาร์คัสสั่งถอนกำลังพล เซียวอวี๋เข้าใจเป็นอย่างดีว่าหากเขาละทิ้งกำแพงและไล่ตามผลลัพธ์จะลงเอยเช่นไร
อย่างไรก็ตามกองกำลังของเซียวอวี๋สามารถสังหารพวกโจรไปได้ประมาณ 600 คนในช่วงเริ่มต้นขณะที่ความโกลาหลโหมกระหน่ำ หลังจากนั้นมาร์คัสยังสูญเสียกองโจรอีกกว่า 1,000 นายโดยรวมแล้วมาร์คัสได้สูญเสียพวกโจรกว่า 2,000 คนเข้าไปแล้ว ซึ่งนั่นรวมถึงผู้ใช้มนตราและผู้ฝึกยุทธ์อีก 5 คนด้วยเช่นกัน
ผู้ฝึกยุทธ์ล้วนถูกกระทำอยู่เพียงฝ่ายเดียวจากการร่วมมือกันของทิรันด้าและพลปืน
แม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์จะสามารถจะสามารถใช้พลังปราณต้านทานลูกธนูทั่วไปได้ หากแต่เมื่อต้องเผชิญกับศรเวทย์และห่ากระสุนและร่างกายของพวกมันก็อ่อนแอราวกับราวฟองน้ำ
"เซียวอวี๋! ข้าจะจดจำนามของเจ้าไปตลอดกาล! ข้าจะสังหารผู้คนในเมืองไลอ้อนให้สิ้น หลังจากตัดหัวเจ้าที่นี่!" มาร์คัสคำรามขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว ตั้งแต่เริ่มเป็นโจรมา เขาไม่เคยพบความเพลี่ยงพลั้งถึงขั้นนี้มาก่อน ในช่วงเวลาไม่ถึงชั่วโมงนี้ เขากลับต้องสูญเสียบริวารไปเกือบ 2,000 คน ซึ่งโจรภายในค่ายแห่งนี้ยังมีไม่ถึง 5,000 เสียด้วยซ้ำ ด้วยตัวเลขนี้แล้วนั่นหมายความว่าเขาได้สูญเสียกำลังไปถึงครึ่งหนึ่งในการปะทะครั้งนี้
เซียวอวี๋ตะโกนขึ้นมาเมื่อเห็นว่าพวกโจรต่างหลบหนีออกนอกระยะที่พลธนูของเขาจะสามารถยิงไปถึงได้แล้ว "เฮ้! เจ้าครึ่งคนครึ่งอสูร! เจ้าคิดว่าจะสามารถสังหารข้าและผู้คนภายในเมืองไลอ้อนได้หรือ? ผายลมอันใดกัน! ข้าคือผู้ถูกเลือกจากเทพแห่งเอลฟ์ เทพแห่งออร์ค และเทพแห่งคนแคระในฐานะราชันย์เหนือราชันย์! ข้าจะปกครองโลกใบนี้ ดังนั้นจงเลือกคุกเข่าหรือตกตาย! เจ้ายังคงต้องการจะต่อสู้กับข้าอีกหรือ?"
ไม่แปลกที่เซียวอวี๋จะชอบใช้การยั่วยุ จะอย่างไรเขาก็เป็นผู้เล่นระดับโปร เขาย่อมต้องเคยใช้ถ้อยคำขยะเหล่านี้ในการปลุกปั่นและทำลายสมาธิของผู้เล่นคนอื่นๆมาก่อน อีกทั้งเขายังเคยเผชิญกับนักเลงคีย์บอร์ดมาก็มาก อีกทั้งในตอนนี้เขายังเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างยิ่ง แล้วมีเหตุผลใดที่เขาจะไม่กล่าวยั่วยุมาร์คัส?
"ราชันย์เหนือราชันย์? เพียงถ้อยวาจาของสุนัข! วันนี้ข้าจะเลาะหนังของเจ้าออกมา! จัดเตรียมทัพม้าเกราะหนัก!" การแสดงออกของมาร์คัสเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขณะออกคำสั่งต่อบริวาร
ยุทธภัณฑ์ที่ทัพม้าเกราะหนักสวมใส่และม้านั้นต้องใช้เวลาจักเตรียมอยู่บ้าง การโจมตีในคืนนี้เป็นการซุ่มโจมตี ดังนั้นทัพม้าจึงไม่สามารถจัดเตรียมได้ทันเวลา ทว่าในตอนนี้พวกมันพร้อมแล้ว เพียงรอคอยคำสั่งจากผู้นำของพวกมัน
ในยุคของอาวุธเย็นนี้ ทหารม้าเกราะหนักเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของกองทัพ กองทัพนี้สามารถเจาะทะลวงและบดขยี้กองทัพได้แทบทุกรูปแบบ จากนั้นทหารราบจะติดตามหลังและเข่นฆ่าผู้คนที่หลงเหลือจากทัพม้า ด้วยวิธีมันก็ไม่ยากที่จะคว้าชัยชนะไว้ในกำมือ
ในสงครามขนาดใหญ่ ทั้งสองฝ่ายต่างใช้ทัพม้าเกราะหนักเข้าห้ำหั่นกัน ทัพม้าฝ่ายใดมีอำนาจมากกว่าฝ่ายนั้นย่อมสามารถบดขยี้ฝ่ายตรงข้ามได้ไม่ยาก
กลุ่มโจรโดยทั่วไปย่อมไม่มีเงินมากพอที่จะจัดตั้งทัพม้าเกราะหนัก แม้ว่ามันจะทรงพลังอย่างมาก หากแต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายมหาศาล อีกทั้งทัพม้านี้ยังต้องฝึกปรือขึ้นมา โดยเฉพาะการคัดสรรม้า อุปกรณ์สวมใส่ และอื่นๆอีก
โดยเฉลี่ยแล้วทหารม้าเกราะหนักหนึ่งนายจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ราว 1,000 เหรียญทอง มาร์คัสซึ่งสะสมทรัพย์สินมามากกว่าทศวรรษก็ยังมีทหารม้าเกราะหนักเพียง 300 นาย ทว่าในเวลานี้ความหวังเดียวในการเอาชนะสงครามนี้ล้วนต้องฝากไว้กับพวกมันทั้ง 300 แล้ว
ทัพม้าเริ่มออกวิ่งไปข้างหน้า การคงอยู่ของทัพม้าเกราะหนักเป็นสัญลักษณ์ของแสดงความเข้มแข็งของโจรกลุ่มนี้
ในเวลาเดียวกันที่ด้านหลังของค่ายก็ยังคงมีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ตลอด แม้ว่ามาร์คัสจะจัดส่งคนไปช่วยทางด้านนั้นเพิ่มแล้วก็ตาม การรับมือกลับมิใช่เรื่องง่ายเลย มาร์คัสต้องการจบสงครามครั้งนี้และสังหารเซียวอวี๋โดยเร็วที่สุดจกานั้นเขาก็จะสามารถแบ่งคนไปดับเพลิงได้มากขึ้น มิฉะนั้นค่ายที่เขาใช้เวลาก่อสร้างนานนับสิบปีจะหลงเหลือเพียงเถ้าถ่าน
ฮี้~~
กรุบ~ กรุบ~ กรุบ~ กรุบ~
ทัพม้าเกราะหนักที่ประกอบไปด้วยผู้คนกว่า 300 คนควบม้าไปข้างหน้าก่อให้เกิดฝุ่นผงคละคลุ้งและพื้นดินสั่นสะเทือน
กองทัพม้าทั่วไปย่อมไร้ความหมายสำหรับทัพม้าเกราะหนัก มาร์คัสจำต้องเดินทางนับพันลี้เพื่ออกค้นหาม้าชั้นยอด ใช้เวลานับเดือนเพียงเพื่อจัดสร้างชุดเกราะหนักขึ้น
นี่เป็นผลให้มาร์คัสตั้งความหวังเอาไว้กับพวกมันอย่างมาก
ผู้บัญชาการทหารม้าเกราะหนักนำกองกำลังของเขาไปหยุดนิ่งอยู่ห่างจากกำแพงราว 300 ก้าว พวกเขาหยุดและจัดตั้งรูปขบวน
"บุกทะลวงและเหยียบพวกออร์คให้พินาศ!" ใบหน้าของมาร์คัสกลายเป็นโหดเหี้ยมขณะออกคำสั่งโจมตี เขาต้องการใช้ความตายของเซียวอวี๋เพื่อบรรเทาความรู้สึกสูยเสียในครั้งนี้ ในมุมมองของมาร์คัส เซียวอวี๋เป็นตัวน่ารังเกียจที่เกือบจะทำให้ค่ายของเขาต้องย่อยยับ
......................................
......................................
เซียวอวี๋หรี่ตาลงขณะจ้องมองทัพม้าเกราะหนักที่พุ่งเข้ามา แววตาที่ดูชั่วร้ายปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง
"ดีที่ฉันเอารถจู่โจมและพลปืนมาด้วย มิฉะนั้นคงยากเกินไปที่จะใช้เพียงนักรบออร์คและพลธนูในการเอาชนะพวกมัน"
เซียวอวี๋โบกมือ ทันใดนั้นออร์คสี่ตนก็แบกเอารถจู่โจมออกมาตั้ง
"โจมตี!" มาร์คัสออกคำสั่งอย่างดุดัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------