ตอนที่แล้วWOW : ราชันย์ต่างภพ ตอนที่ 31
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWOW : ราชันย์ต่างภพ ตอนที่  33

WOW : ราชันย์ต่างภพ ตอนที่  32


เซียวอวี๋และกรอมเก็บกวาดฝั่งหนึ่งของกำแพงก่อนที่จะเปลี่ยนเป้าหมายไปยังอีกฝั่งหนึ่ง พวกเขาไม่ได้ใช้เวลานานนักในการจัดการกับหน่วยลาดตระเวนที่เหลืออยู่ เซียวอวี๋ชะโงกหน้าลงไปส่งสัญญาณให้พลเดินเท้าและนักรบออร์คให้รีบเข้ามาใกล้กำแพง

มีคันโยกอยู่สองอันสำหรับการเปิดประตูค่าย ซึ่งโชคดีที่เซียวอวี๋นั้นอยู่ในระดับที่ 5 แล้ว และความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มมาไม่น้อย

เซียวอวี๋ออกแรงดึงคันโยก ประตูค่ายที่หนาหนักค่อยๆเปิดออกอย่างเชื่องช้า

"เกิดอะไรขึ้น? ทำไมคบเพลิงถึงดับหมด?" มีเสียงดังขึ้นภายในค่ายที่เงียบสงัด

ทิรันด้าที่อยู่บนกำแพง ง้างศรไปยังทิศทางของเสียงก่อนส่งลูกธนูทะลุคอหอยของโจรผู้นั้น

หน่วยลาดตระเวนที่อยู่อีกฝากหนึ่งของค่ายได้ยินเสียงดังขึ้น ทว่าพวกมันก็ยังไม่ได้ตระหนักถึงการบุกรุก หนึ่งในพวกมันเอ่ยปากขึ้น "เกิดอะไรขึ้น?" ทว่ายังไม่ทันหันไปถามสหาย คอของมันก็ถูกกรอมบิดจนผิดรูปเสียก่อน

มีหน่วยลาดตระเวนคอยเดินออกมาเปลี่ยนเวรอยู่เรื่อยตลอด ทว่าพวกมันทั้งหมดล้วนทอดกายเป็นศพอยู่บนกำแพง หน่วนลาดตระเวนที่ด้านอื่นๆของค่ายเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ดังนั้นพวกมันจึงเริ่มเคาะระฆังเตือนภัยขึ้นในทันที

เซียวอวี๋สั่งการให้กองกำลังของเขาเข้าประจำตำแหน่งเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว

เขาจัดวางพลธนูและพลปืนประจำอยู่ที่ด้านบนของกำแพง เขาได้แบ่งพลเดินเท้าออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 25 นายให้พวกเขาคอยปกป้องเส้นทางที่สามารถขึ้นสู่กำแพงเอาไว้

พวกเอลฟ์นักล่าได้รับคำสั่งให้แทรกซึมเข้าไปภายในค่าย และหลบซ่อนตัวเอาไว้

เซียวอวี๋ตระหนักดีว่าพวกนักล่าไม่ถนัดในการสู้รบระยะประชิด ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้พวกเขาจุดไฟเผาค่ายในส่วนต่างๆเพื่อสร้างความสับสนให้แก่ศัตรู การลอบเร้นและความคล่องตัวของพวกเขานั้นยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ดังนั้นหน้าที่สร้างความวุ่ยวายนี้จึงเหมาะสมกับพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นแล้วพวกเขายังมีทักษะติดตัวที่สามารถพลางตัวได้ นอกจากนี้เซียวอวี๋ยังกำชับไม่ใช่พวกเขาเข้าปะทะกับพวกโจรโดยตรง ซึ่งหากหนึ่งในพวกเขาถูกพบตัวเข้าล่ะก็ ให้ทั้งหมดหลบหนีออกมาโดยเร็ว

พวกนักล่านั้นอยู่ในระดับที่ 2 และเซียวอวี๋ก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงสูญเสียพวกเขาไปแม้แต่ตนเดียว

"ศัตรูโจมตี! มีศัตรูกำลังโจมตี! เตรียมตัวรับมือ!" เสียงของพวกโจรตะโกนโหวกเหวกขณะที่ระฆังถูกสั่นเตือนไปทั้งค่าย

เซียวอวี๋ยืนไพล่หลังอยู่บนกำแพงขณะที่ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม

เซียวอวี๋นั้นกังวลว่าพวกโจรจะสามารถรวมตัวกันและก่อตั้งรูปขบวนขึ้นมา เขาจึงเลือกยึดชัยภูมิที่ดีที่สุดเอาไว้ ขณะเดียวกันความวุ่ยวายที่เกิดขึ้นได้ทำให้พวกโจรไม่น้อยตกอยู่ในความสับสน โจรบางกลุ่มที่รวมตัวกันออกมายังไม่ทันไรก็ถูกสังหารจากคมธนูและคมขวาน

เซียวอวี๋ไม่กล้าที่จะให้ปะทะซึ่งหน้า แม้ว่านักรบของเขาจะแข็งแกร่งมากก็ตาม แต่จำนวนของพวกโจรที่อยู่ภายในค่ายนั้นประมาทไม่ได้เป็นอันขาด

เซียวอวี๋จะไม่ลังเลใดๆเลยหากว่าฝ่ายของเขามีกองกำลังถึง 2000 นาย ทว่าในจำนวนที่อยู่ในมือของเขาในตอนนี้มีเพียง 650 นายเท่านั้น ในขณะที่อีกฝ่ายมีอยู่ราว 3 - 4000 คน กองทัพของเขาอาจถูกกลืนไปกับฝูงโจรหากเขาเลือกเข้าปะทะ หากเป็นเช่นนั้นแม้แต่พวกออร์คก็คงสูญเสียไม่ใช่น้อย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเหล่าพลธนูเอลฟ์ ความหวังที่พวกเขาจะรอดชีวิตจากการรบในระยะประชิดนั้นแทบจะไม่มี

อย่างไรก็ตาม ในศึกครั้งนี้เขากลายเป็นฝ่ายได้เปรียบเล็กน้อยจากการตรึงกำลังอยู่บนกำแพง พลธนูต่างสำแดงศักยภาพของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ในนามแล้ว กองทัพของเซียวอวี๋นั้นเป็นฝ่ายบุกโจมตี ทว่าตามจริงแล้วเซียวอวี๋วางแผนที่จะยึดครองกำแพงและค่อยๆตัดกำลังอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ

"ออร์ค! พวกมันเป็นออร์ค!" พวกโจรที่เร่งรีบวิ่งมาสมทบกันกลายเป็นตกตะลึง ข่าวลือที่พวกมันได้รับฟังมาดูท่าจะกลายเป็นจริงเสียแล้ว

พวกโจรปลุกปลอบกำลังขวัญตนเองว่าพวกออร์คนั้นมีเพียงน้อยนิด ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าพวกมันทำเพียงตั้งอยู่ที่เชิงกำแพงเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่พวกมันต้องทำก็แค่เพียงกดดันพวกมันออกจากค่ายไปจากนั้นก็ปิดประตูลงให้ได้เท่านั้น

พวกโจรล้วนตกลงสู่กับดักที่เซียวอวี๋เตรียมการเอาไว้

พวกโจรกว่า 200 คนชักอาวุธและโถมเข้าหากำแพง แต่สิ่งที่พวกมันต้องเผชิญกลับไม่ใช่ออร์ค.....หากแต่เป็นห่ากระสุนและฝนเกาทัณฑ์!

ความแม่นยำของเหล่าพลธนูได้ทะยานขึ้นอย่างมากจากชัยภูมิที่อยู่สูงกว่า ในเวลาไม่ถึงนาที พวกโจรทั้ง 200 คนล้วนทอดกลายเป็นศพก่อนที่จะเข้าถึงแนวป้องกันของพวกออร์คเสียอีก

การโจมตีของพวกคนแคระย่อมไม่สามารถหวังผลดังเช่นเหล่าพลธนูได้ ดังนั้นเซียวอวี๋จึงออกคำสั่งให้พวกเขาโจมตีได้อย่างอิสระ

"พวกศัตรูยึดครองกำแพงไว้ได้แล้ว! พวกมันมีมือธนู!" พวกโจรที่อยู่ด้านหลังตะโกนออกมาด้วยความแตกตื่น

ความมืดของรัตติกาลนั้นไม่อาจประเมินได้ ทำให้พวกมันแทบจะไม่สามารถมองเห็นด้านบนของกำแพง ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงไม่ตระหนักถึงการคงอยู่ของพวกเอลฟ์และคนแคระที่ด้านบน พวกเอลฟ์นั้นยากที่จะตรวจพบในยามวิกาลเช่นนี้จากทักษะติดตัวของพวกเขา ซ่อนเงา และคนแคระนั้นมีรูปร่างที่ต่ำเตี้ยอีกทั้งพวกเขายังหมอบซุ่มอยู่บนกำแพงทำให้ยากที่จะสังเกตุเห็น

แม้ว่าพวกโจรจะไม่ตกตายจากฝนธนู หากแต่พวกมันก็ยังไม่อาจหลบรอดจากห่ากระสุนขณะที่พวกมันกำลังโถมเข้าไปอย่างเต็มกำลังได้ อีกทั้งยังมีพวกนักรบออร์คที่จะใช้ขวานสับร่างผู้ใดก็ตามที่เข้าใกล้กำแพงมา

เซียวอวี๋ออกคำสั่งให้พวกออร์คที่หลุดแถวออกไปฆ่าฟันกลับมาตั้งรับอยู่ที่เดิม นี่นับเป็นอีกครั้งที่เขาใช้ออกด้วยกลยุทธ์ของชาวสปาตัน ทว่าในครานี้ไม่ใช่เพื่อกันไม่ให้พวกมันเข้า หากแต่เป็นป้องกันไม่ให้พวกมันเล็ดรอดไปได้!

นี่เป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่าย หากทว่าประสิทธิภาพของมันกลับสูงส่งในสถาการณ์เช่นนี้ เซียวอวี๋ชื่นชอบการใช้กลยุทธ์นี้อย่างยิ่ง

ในยามวิกาลเช่นนี้พวกโจรส่วนใหญ่ล้วนนอนหลับไปแล้ว แต่พวกมันก็ถูกปลุกขึ้นมาจากความวุ่ยวายที่เกิดขึ้น ในเวลาเดียวกันเปลิวเพลิงได้ลุกลามและเผาไหม้กระโจมไปบางส่วน นอกเหนือจากความสับสนแล้วพวกมันต่างไม่ทราบจำนวนของศัตรูที่บุกโจมตีเข้ามา

พวกโจรบางคนพยายามหาทางหลบหนีเมื่อมองเห็นออร์ค พวกมันต้องการที่จะรวมตัวและตีฝ่าออกไป ทว่าพวกมันไม่ทราบเลยว่าเซียวอวี๋ไม่ได้วางแผนจะบุกโจมตีตั้งแต่แรก ในค่ำคืนนี้....เขามาเพียงเพื่อตั้งรับเท่านั้น

ยิ่งพวกโจรเริ่มรวมตัวกันเพื่อโจมตีไปที่ประตูค่ายมากขึ้นเท่าไร นั่นก็ยิ่งเพิ่มค่าประสบการณ์ให้กับกองทัพของเซียวอวี๋ได้มากขึ้นเท่านั้น เซียวอวี๋มองเห็นกรอมเลื่อนระดับขึ้นเป็น 9 แล้ว และไม่นานทิรันด้าก็เลื่อนระดับขึ้น 9 เช่นกัน จากนั้นอีกไม่กี่นาที จ้าวมนตราก็ขึ้นไปถึงระดับ 5 แล้วเช่นกัน เขาได้รับค่าประสบการณ์สะสมจากสงครามครั้งล่าสุดมาจำนวนมาก เมื่อรวมเข้ากับที่ได้รับในคืนนี้ สุดท้ายก็ทำให้เขาเพิ่มระดับขึ้นมา

เซียวอวี๋เลือกเพิ่มแต้มทักษะของกรอมไปที่อมนิแสลชอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้มันเลื่อนขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 4 จากนั้นเขาจึงลงแต้มทักษะของทิรันด้าไปที่จิตวิญญาณแห่งสัตว์ป่า และให้จ้าวมนตราเรียนรู้ทักษะเกราะมนตราเหมันต์ นี่เพื่อเป็นการเสริมการป้องกันที่แสนอ่อนแอขึ้นมาระดับหนึ่ง

มีแสงห่อหุ้มรอบร่างของเซียวอวี๋และทำให้ระดับของเขาเพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 6 เซียวอวี๋จัดสรรค่าความสามารถที่ได้รับอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเลือกใช้แต้มทักษะเรียนรู้เกราะมนตราเหมันต์

"ในตอนนี้ฉันมีเกราะเวทย์คุ้มครองแล้ว! เหอะ แล้วใครหน้าไหนจะมาสร้างบาดแผลให้ฉันได้ ฮ่าฮ่าฮ่า" เซียวอวี๋หัวเราะอย่างหยิ่งผยอง

ระบบได้อนุญาติให้เซียวอวี๋สามารถเรียนรู้ทักษะจากฮีโร่ต่างๆได้อย่างครบถ้วน นั่นเป็นผลให้เขาอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าฮีโร่ในสักวันหนึ่ง ในตอนนี้เขาได้เรียนรู้ทักษะทักษะของกรอมแล้ว เขาจึงวางแผนที่จะเรียนรู้ทักษะอื่นๆจากฮีโร่ที่เหลือ

"ฝ่ายเรามีการเพิ่มระดับอยู่ตลอด และดูเหมือนว่าค่ายโจรแห่งนี้จะไม่ใช่คู่มือของเราอีกต่อไป นี่สมควรไม่มีปัญหาใดๆหลงเหลืออีก"

ขณะเซียวอวี๋กำลังครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ก็มีเสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งค่าย "สวะตัวใดกล้ามาโจมตีค่ายของข้า?"

เซียวอวี๋หันไปมองชายผู้หนึ่งที่แสดงตัวออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว ทั่วร่างของมันล้วนปกคลุมไปด้วยเขม่าควัน เซียวอวี๋หรี่ตาลงก่อนหันไปมองฟ็อกซ์ "เจ้านี่คือผู้นำค่าย?"

ฟ็อกซ์ผงกศีรษะ "ใช่ขอรับ แม้ว่าข้าจะไม่เคยกับพบพานมันมาก่อน หากแต่บุคลิกลักษณะล้วนตรงตามข่าว มันสมควรจะเป็นผู้นำค่ายแห่งนี้ มาร์คัส!"

เซียวอวี๋พยักหน้าก่อนจะโบกมือให้ฟ็อกซ์ล่าถอยกลับไปหลบในที่ปลอดภัย จากนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้นักรบออร์คพุ่งออกไปสังหารมาร์คัส

นักรบออร์คทั้ง 100 ตนที่นำโดยกรอมต่างกระชับขวานวิ่งโถมเข้าหามาร์คัส ผู้ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าสุดของฝ่ายโจร

อ๊ากกกกก!

เสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วทั้งค่าย ทำให้พื้นดินเกิดการสั่นสะเทือนขึ้น เศษทรายและฝุ่นผงถูกกวาดเข้าหามาร์คัส

มาร์คัสำลักจากฝุ่นทรายที่พัดเข้าใส่ปากของเขาอย่างรุนแรง

"มันไม่รู้หรือว่าไม่มีผู้ใดต่อกรกับนักรบออร์คได้ยามเมื่อพวกมันกระหายสงคราม?" เซียวอวี๋กล่ายออกมาขณะที่ดึงผ้าขึ้นปิดจมูก

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------