WOW : ราชันย์ต่างภพ ตอนที่ 20
อ๊ากกกกก!
กรอมคำรามขณะเหวี่ยงดาบในมือออกไป เขาพุ่งตัวออกไปข้างหน้าขณะที่ดาบในมือฟาดฟันไปทั้งซ้ายและขวา ทหารฝ่ายศัตรูยังคงล้มลงไปอย่างต่อเนื่อง
ในเวลาเดียวกันเขาก็มาถึงระดับที่ 7 เซียวอวี๋จัดสรรแต้มทักษะไปที่อมนิแลสชให้เป็นระดับที่ 3 ทันที ทุกครั้งที่กรอมฟาดฟันดาบออกไปก็จะปรากฏคลื่นพลังแผ่พุ่งออกไปกว่าสองเมตร
"ฆ่ามัน! ฆ่าพวกมันให้หมดดด!" ดวงตาของผู้บัญชาการแดงฉานขณะที่มองดูคนของเขาล้มลง ประตูเมืองยังคงเปิดอยู่หากแต่พวกเขากลับไม่สามารถที่จะฝ่าแนวป้องกันของนักรบออร์คเข้าไปได้
เขาเรียกตัวนายกองทั้งสองให้นำทหารชั้นยอดมาช่วยในการตีฝ่า
เป็นโชคร้ายของพวกเขา กรอมได้มาถึงระดับที่ 7 แล้ว ทักษะโจมตีจุดตายของกรอมนั้นมีโอกาศถึง 45% ที่จะโจมตีอย่างรุนแรง นอกจากนี้เขายังมีอมนิแสลชซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในการโจมตีของเขาขึ้นอีกโข นั่นเป็นผลให้ไม่ว่าจะทหารชั้นหนึ่งหรือสองก็ยังไม่ใช่คู่มือของเขา
นักรบออร์คบางตนที่ต่อสู้อยู่เบื้องหลังกรอมก็เพิ่มระดับขึ้นเป็น 3 กล้ามเนื้อของพวกมันขยายตัวขึ้นขณะที่ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน พวกมันคำรามออกมาอย่างดุดันยามเมื่อทักษะคลุ้มคลั่งเริ่มแสดงผล พวกมันสับร่างของทหารชั้นยอดฝ่ายศัตรูจนขาดเป็นสองท่อน
ทหารเหล่าต่างหวาดเกรงพวกนักรบออร์คที่ดูดุดันพวกนี้ ทว่าพวกเขาก็ยังคงต้องบุกไปข้างหน้าตามคำสั่งที่ถ่ายทอดลงมา นอกจากนี้พวกเขายังคิดว่าพวกนักรบออร์คมีเพียง 40 - 50 ตน พวกมันจะสามารถปกป้องประตูเมืองนี้ได้อีกไม่นานนัก
แต่อย่างไรก็ตาม ศพของพวกทหารยังคงกองสุมกันขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มันไม่มีศพของฝั่งออร์คอยู่แม้แต่ศพเดียว
นี่เป็นกลยุทธ์ที่เซียวอวี๋เคยใช้ เขากำลังใช้พละกำลังของพวกนักรบออร์คให้เกิดประโยชน์ เขาจดจำได้ถึงภาพยนตร์ที่เขาเคยดูผ่านตามาในชีวิตที่แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนั้นมีชื่อว่า 300 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหล่านักรบสปาตันที่ใช้ช่องแคบของหุบเขาในการต้านทานศัตรู
แม้ว่าความกว้างของประตูจะไม่เท่าหุบเขา แต่ความสามารถในการต่อสู้ของพวกนักรบออร์คนั้น หาได้ด้อยไปกว่าเหล่านักรบสปาตันแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีพลธนูที่ยิงสนับสนุนจากด้านบนกำแพงอีก นั่นเป็นผลให้เซียวอวี๋เลือกที่จะใช้นักรบออร์คในการอุดอยู่ที่ช่องประตูและเก็บเกี่ยวค่าประสบการณ์อย่างรวดเร็ว
ความกว้างของประตูเมืองนั้นถูกจำกัด นั่นเป็นผลให้พวกศัตรูสามารถผ่านเข้าไปได้ทีละไม่มาก ดังนั้นศัตรูจึงสูญเสียความได้เปรียบด้านจำนวนคนไป
ทันใดนั้น ลูกไฟขนาดยักษ์ก็ลอยผ่านศีรษะของเหล่าทหารและพุ่งเข้าชนกับแนวป้องกันของนักรบออร์ค
บึมมมมมมมม!
มันเข้ากระแทกอย่างรุนแรงและเผาผลาญพวกมัน
ผู้ใช้มนตรา!
ทหารฝ่ายศัตรูโห่ร้องขึ้นมาทันที พวกเขาจะสามารถฝ่าพวกออร์คเข้าไปได้ด้วยความช่วยเหลือของผู้ใช้มนตรา!
พวกออร์คนั้นทรงพลังอย่างมาก หากแต่พวกมันก็มิได้แตกต่างไปจากไพล่พลทหารธรรมดา พวกมันไม่สามารถจะต้านทานการโจมตีด้วยเวทย์มนต์ได้
แววตาของเซียวอวี๋เปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะที่จ้องมองไปยังผู้ใช้มนตรานั้น เขาหันไปกล่าวกับทิรันด้า "ฆ่าจอมเวทย์นั่นซะ! พวกนักรบออร์ค 50 นายและพลธนูอีก 50 นายจงลงไปช่วยเหลือที่ด้านล่าง!"
ทหารมากมายพยายามที่ตีฝ่าผ่านประตูเมืองเข้าไป ดังนั้นจำนวนของผู้ที่พยายามปืนกำแพงจึงลดลงอย่างมาก เซียวอวี๋ส่งเหล่านักรบออร์คและพลธนูลงไปสนับสนุนกองทัพของกรอม นักรบออร์ค 100 นาย พลธนู 150 นายและไลพ่พลทหารทั่วไปอีก 400 นายนั้นเพียงพอที่จะปกป้องกำแพงเมืองแล้ว
บึมมมมมมมม!
ผู้ใช้มนตราร่ายเวทย์โจมตีพวกออร์คด้วยลูกไฟ แนวป้องกันที่ก่อตัวขึ้นถูกทำลายลงชั่วขณะ พวกทหารต่างใช้โอกาศนี้ในการมุ่งโจมตีไปที่ช่องว่างนั้น
ตั้งแต่เริ่มสงครามมา นี่เป็นครั้งแรกที่มีช่องว่างปรากฏขึ้นในแนวป้องกันของประตู
นักรบออร์คนั้นไม่เกรงกลัวความตาย แต่อีกฝ่ายก็ได้เปรียบด้านจำนวน จุดสำคัญที่สุดที่ทำให้แนวรับเกิดรูโหว่ขึ้นก็เนื่องมาจากการเข้าสู่สนามรบของผู้ใช้มนตรา
นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ใช้มนตราจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในสนามรบ
มีประกายสีม่วงฉายผ่านดวงตาของทิรันด้าเมื่อนางได้รับคำสั่งจากเซียวอวี๋ นางน้าวคันศรและใช้ทักษะศรเวทย์ที่มีเวทย์มนต์ห่อหุ้มอยู่ยิงเข้าใส่ผู้ใช้มนตรา
ลูกธนูลอยโค้งอย่างสมบูรณ์แบบและพุ่งลงราวกับอุกกาบาต ลูกธนูที่ห่อหุ้มด้วยมานาไม่ได้มีพลังทำลายล้างเท่ากับเวทย์โจมตีโดยตรง หากแต่มันก็ยังสามารถเจาะทะลวงผ่านโล่ที่เหล่าทหารยกขึ้นเพื่อปกป้องผู้ใช้มนตราได้
ทิรันด้าต้องการจะใช้ลูกศรธรรมดายิงเข้าใส่ผู้ใช้มนตราอีกครั้ง หากแต่ว่ามันกลับไม่มีช่องว่างอีก พวกทหารยกโล่ที่หนาหนักขึ้นบดบังลูกศรของเธอ
ผู้ใช้มนตรากลายเป็นตกตะลึงยามเมื่อมองเห็นว่ามีผู้เชี่ยวชาญด้านธนูยืนอยู่ข้างกายของเซียวอวี๋ ผู้ใช้มนตรากลายเป็นหวาดกลัวศรที่ทรงพลังของมือธนูผู้นั้นที่สามารถยิงฝ่าอากาศมาจากระยะที่ไกลมากได้ ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังสามารถห่อหุ้มลูกศรด้วยมานาและยิงสังหารทหารที่อยู่หลังโล่ที่หนักอึ้งได้อีก ฝีมือยิงธนูอันร้ายกาจ!
ถึงกระนั้นผู้ใช้มนตราก็ไม่ได้หลบหนี เขาเริ่มต้นร่ายเวทย์อีกครั้งและส่งลูกไฟเข้าใส่พวกออร์ค
เขาเชื่อว่าในกองทัพอีกฝ่ายไม่ได้มีผู้เชี่ยวชาญธนูมากนัก นอกจากนี้เขายังมีเกราะมนตราที่คอยปกป้องอยู่รอบกายของเขาอีก ดังนั้นเขาจึงไม่น่าที่จะมีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับเขาได้
แต่ผู้ใช้มนตราได้ประเมินความสามารถของทิรันด้าต่ำเกินไป!
นางไม่ได้มีเพียงทักษะศรเวทย์ หากแต่ยังมีตาเหยี่ยวอยู่ด้วย
ทิรันด้าขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อการลงมือครั้งแรกไม่ประสบผล นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและดึงลูกศรขึ้นพาดสายอีกครั้ง
โล่ที่ปกป้องผู้ใช้มนตราอยู่มีความแข็งแกร่งอย่างมาก ดังนั้นศรทั่วไปย่อมไม่อาจเจาะผ่านมันไปได้ ระยะเวลาคูลดาวน์ของศรเวทย์คือ 10 วินาทีและเธอกำลังนับถอยหลังเพื่อรอที่จะโจมตีอีกครั้ง
ลูกศรกรีดฝ่าอากาศและพรากชีวิตผู้คุ้มกันที่ใช้โล่หนาไป ทิรันด้าไปรอช้าเธอยิงลูกศรออกไปอีกครั้งทันที
ฉึก!
ผู้คุ้มกันอีกคนพยายามจะยกโล่ขึ้นอุดช่องว่างนั้น แต่ลูกศรก็ยังสามารถพุ่งผ่านช่องว่างและปักเข้าที่แขนของผู้ใช้มนตราได้
อ๊ากกกกกก~
ผู้ใช้มนตรากรีดร้องออกมาและหยุดการร่ายเวทย์ทันที เขาถูกปกป้องด้วยเกราะมานาแต่ศรของทิรันด้าก็ยังสามารถทะลวงผ่านมันมาได้อีก
"หนีเร็ว! ถอยก่อน! ถอยก่อน!" ผู้ใช้มนตรายกมือกุมแขนและแหกปากกรีดร้องออกมา เขาสั่งให้ผู้คุ้มกันรอบกายรีบพาเขาออกไปจากที่นี่
ชีวิตของผู้ใช้มนตรานั้นมีค่าอย่างมากและไม่ควรที่จะต้องมาจบลง ณ ที่แห่งนี้ ผู้ใช้มนตราผู้นี้ถูกจ้างมาโดยบิดาของแคร์รี่ ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่ขุนนางผู้จงรักแต่อย่างใด
นอกจากนี้เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามือธนูผู้นั้นจะเป็นถึงจ้าวแห่งธนูที่สามารถโจมตีได้ไกลถึงเพียงนี้
เซียวอวี๋แค่นเสียงขณะมองดูผู้ใช้มนตราลนลานหลบหนี ถ้าหากว่าเขามีเงินและค่าคุณความดีมากพอเขาจะซื้อหาธนูชั้นดีมาให้ทิรันด้า
ผู้ใช้มนตรานั่นจะไม่สามารถหนีรอดไปได้หากว่าธนูที่ทิรันด้าใช้ไม่ใช่ธนูไม้ธรรมดา
ปรากศจากการคุกคามจากผู้ใช้มนตรา พวกออร์คเริ่มกลับมาได้เปรียบอีกครั้ง กองกำลังเสริมที่เซียวอวี๋ส่งไปได้เข้าแทนที่ตำแหน่งเดิมของพวกออร์ค พลธนูทั้ง 50 นาย ตั้งแถวและระดมยิงจากระยะไกล ในขณะที่ระยะใกล้มีนักรบออร์คที่กวัดแกว่งคมขวานอย่างต่อเนื่อง
กระแสของสงครามเปลี่ยนไปอีกครั้ง กองทัพของแคร์รี่เริ่มสูญเสียอย่างหนัก ที่บริเวณประตูเมืองมีซากศพกระจัดกระจายกว่า 1000 ร่าง
ในตอนนี้ กองทัพของแคร์รี่ได้สูญเสียกำลังพลไปกว่า 3000 นายแล้ว........