เล่ม1 : บทที่ 1 – ถือกำเนิด
กำเนิดดาบปีศาจ(BDS) เล่ม1 : บทที่ 1 – ถือกำเนิด
‘ความมืด’
นี่คือความคิดแรกของเขาหลังจากตื่นขึ้นมา
‘ฉันอยู่ที่ไหนกัน?’
เขาพยายามที่จะขยับแขนขาแต่สัมผัสถึงบางสิ่งที่ผิดปกติไปจากเดิม
‘เดี๋ยวนะ ฉันคิดได้หรือ?’
‘จำได้ว่าถูกพวกนักเลงยิงเข้าที่อก นี่ฉันอยู่ในอาการโคม่าหรือ?’
เขาพยายามขยับเขยื้อนหรือลืมตา แต่อย่างเดียวที่เขารู้สึกก็คือความรู้สึกถึงความคับแคบและเพียงอย่างเดียวที่มองเห็นก็คือความมืด
‘ฉันยังไม่ตายสินะ ฉันจะด่วนจากไปเร็วขนาดนั้นไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่นี่ก็อบอุ่นดี’
เกิดความอบอุ่นขึ้นภายในร่างกายของเขา ทำให้รอบตัวมีแต่ความอบอุ่น
‘หลังจากตื่นขึ้น พ่อกับแม่คงแก้มัดให้ฉันเป็นอิสระอย่างน้อยก็สักครู่หนึ่ง บางทีฉันน่าจะใช้โอกาสนี้หนีอกจากบ้านและไปต่างประเทศเสีย น่าจะมีงานบริการทำความสะอาดอยากจ้างฉันนะ’
เขาคิดถึงความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์เฉียดตายมาทำให้เป็นอิสระจากกรงที่เขาเรียกว่าบ้าน เขาคิดถึงว่าพ่อกับแม่จะพูดว่าอย่างไรหากเขาบอกไปว่าจะดรอปเรียนเพื่อมาเป็นคนล้างจาน
‘พ่อคงไม่มีปัญหามากนักหรอก แต่แม่นี่สิ ต้องคลั่งตายแน่ๆ ทุกวันนี้สิ่งเดียวที่ฉันทำตอนอยู่บ้านโดยไม่ต้องมีลงแรงมากก็คืออ่านหนังสือ บางทีฉันก็อาจจะสูญเสียเรื่องนั้นไปเช่นกัน’
เนื่องจากเขาจำได้ว่าเขาชอบเล่นเกม อ่านหนังสือ และเมาแล้ว เขายังพบว่าทุกสิ่งล้วนน่าเบื่อและส่งผลต่อชีวิตวัยเรียนตั้งแต่อยู่มัธยม ดังนั้น สถานการณ์ที่บ้านของเขาจึงแย่ลงเรื่อย ๆ เนื่องจากพ่อแม่ของเขาเลือกที่จะขัดขวางมากกว่าที่จะยอมรับว่ามหาวิทยาลัยไม่เหมาะกับเขา
‘ส่วนหลักของปัญหาที่บ้านคือความผิดของฉัน อย่างไรเสีย ฉันก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ของชีวิตไปกับการเมาหรือไม่ก็อ่านหนังสือ ไม่ได้ทำตัวเป็นลูกชายที่ดีเลย’
เมื่อคิดเช่นนั้น ความรู้สึกผิดก็ประดังมาที่เขา ถ้าในตอนนั้นเขารู้ตัวเร็วกว่านี้ เขาจะไม่ใช้เหล้าเป็นเครื่องมือในการระบาย บางทีสถานการณ์ที่บ้านอาจจะสงบสุขกว่านี้ก็ได้
‘ฉันเปลี่ยนสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วไม่ได้ แล้วก็ไม่มีทางเลือกมากมายนักที่จะต้องแสร้งทำให้ตัวเองเจ๋งอยู่ตลอดเวลา’
ตอนที่เขาอายุสิบสี่ เขาค้นพบว่ามีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องไปเสียทั้งหมด เขาเห็นเพื่อน ๆ หลงตามผู้หญิงหรือไม่ก็เสื้อผ้าสวยๆ ให้ความสำคัญกับความรักและสถานะในสังคมท่ามกลางผู้คนมากเกินไป กระนั้น เขายังรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเรื่องเพศแบบไม่ต้องผูกมัดกับใคร ในฐานะสังคมมนุษย์ เขามองเห็นว่ากฎมากมายถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์เพื่อบังคับให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
‘กฎพวกนั้นถูกเขียนขึ้นโดยคนไม่ใช่หรือ? ในฐานะที่เป็นคนเหมือนกัน ฉันก็มีสิทธิที่จะเพิกเฉยพวกเขาและใช้ชีวิตในแบบที่ฉันต้องการสินะ’
เวลายังคงหมุนวนผ่านไปเรื่อยๆ ขณะที่เขากำลังคิดโดยไม่ทันสังเกตว่าความเร็วในการคิดลดต่ำลงกว่าปกติ
‘ท้ายที่สุด เงินก็คือพระเจ้า ถ้าคุณมีเงิน คุณจะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ หากไม่มีเงิน คุณก็จะเป็นแค่ฝุ่นละอองเล็กๆ ในสังคม ที่ได้แต่เก็บหอมรอมริบไว้จนกระทั่งความตายมาเยือน’
ความคิดเชิงเหตุผลของเขาหยุดลงเป็นครั้งคราวเนื่องจากเขาจะหลับหรือพยายามปลุกร่างกายให้ตื่นอยู่ตลอด
หลายวันผ่านไป
‘บางทีฉันอาจจะอยู่ในอาการโคม่าตลอดไป และต้องรอแค่ความตายจริงๆ เท่านั้นเพื่อหลุดพ้นจากความมืดมิดนี้’
ความมืดรอบกายเริ่มส่งผลต่ออารมณ์ของเขา อย่างเดียวที่ยังไม่ทำให้เขาไม่เตลิดในตอนนี้ก็คือความอบอุ่นที่สัมผัสได้ภายในร่างกาย
มันเหมือนกับแสงที่ปรากฏในโลกแห่งความมืดมิด ซึ่งดูจะสว่างขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
‘ในที่สุดก็ถึงเวลา! ฉันต้องตามแสง...’
ทันใดนั้นการบีบอัดบางอย่างได้ผลักเขาออกจากพื้นที่คับแคบสู่แสงตรงหน้า มันเป็นขั้นตอนที่ช้าและเจ็บจากแรงดันที่เขารู้สึก หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งโลกแห่งความมืดก็กลับกลายเป็นโลกที่สว่างไสวจนสายตาของเขาไม่อาจต้านทานความเจ็บได้ เขาเริ่มได้ยินเสียงพูดจากภาษาที่ไม่รู้จัก
เมื่อสายตาของเขาเริ่มคุ้นเคยกับแสง ในที่สุดเขาก็ได้เห็นสิ่งที่อยู่รอบกาย หญิงอ้วนวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังจ้องเขาด้วยสีหน้ากังวล ขณะแตะอกของเขาเบาๆ แต่เรื่องแปลกก็คือมือของเธอเกือบจะห่อหุ้มเขาไว้ได้ทั้งตัว
‘เกิดอะไรขึ้นเนี่ย...’
เขาหาจุดสิ้นสุดของความคิดที่เตลิดไปแล้วไม่ได้เมื่อหญิงอ้วนคนนี้จับเขาหันไปด้านข้างและตีก้นของเขา
เขารู้สึกเจ็บจากการตีเบาๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง
‘ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย คุณผู้หญิง?!’ เขาว่า กระนั้น เสียงที่ออกมาจากปากของเขามีเพียงแค่ เสียงร้องไห้
หลังจากได้ยินเสียงร้อง ใบหน้าของผู้คนที่อยู่ในห้องต่างผ่อนคลายลงและหญิงอ้วนก็อุ้มทารกใส่อ้อมแขนของหญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าซีดเซียวแต่งดงาม กำลังนอนอยู่บนเตียงเก่าคร่ำครึตัวหนึ่ง
‘ผู้ชายค่ะ นายหญิง ช่างเป็นเด็กที่กระหายความอยากรู้ มองดูทุกอย่างรอบๆ ตัวเลยจริงๆ’
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่หญิงอ้วนพูดเลยก็ตาม แต่หญิงสาวที่อุ้มเขาอยู่ก็ทำให้เขาเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ได้อย่างง่ายดาย
‘นี่ฉันเกิดใหม่งั้นรึ? ไม่ใช่อาการโคม่าหรอกรึ?!’
ผู้หญิงที่กำลังอุ้มทารกเลิกเสื้อขึ้นเพื่อให้นมเขา
‘ดะ เดี๋ยว...!’
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดหรือตะโกนอะไรออกมา ของเหลวก็ไหลเข้าไปในปากของเขาและตกอยู่ในความมึนงงจากอาหารมื้อแรก
“แม่จะตั้งชื่อให้เจ้าว่า โนอาห์ ใช่แล้ว โนอาห์ บัลวัน ช่างเป็นชื่อที่ไพเราะ”
โนอาห์มองหญิงที่กำลังให้นมเขาด้วยสายตากึ่งหลับ เธอมีผมยาวสีดำไม่ได้มัดรวบอยู่ด้านหลังและดวงตาสีฟ้าข้างใต้คิ้วผอม ๆ
‘แม่ฉันสวยจัง โนอาห์คงเป็นชื่อที่แม่ตั้งให้ อย่างน้อยชื่อก็เพราะดี’
ประตูห้องถูกเปิดออกและชายคนหนึ่งอายุราวสี่สิบปีผมสั้นมีใบหน้าแข็งกร้าวเดินตรงเข้ามาหาผู้หญิงบนเตียง
“ลิลลี่ ขอข้าดูเขาหน่อย”
เมื่อเขาพูดเช่นนั้น โนอาห์ก็ถูกอุ้มขึ้นไปยังอ้อมแขนของเขาและชูเขาขึ้นบนอากาศเพื่อที่จะได้มองทารกได้อย่างชัดเจน หญิงอ้วนและคนรับใช้อีกสองคนที่อยู่ข้างเตียงก้มหัวต่ำ
แม้แต่ลิลลี่ก็ข่มน้ำเสียงโกรธเอาไว้เมื่อเห็นโนอาห์ถูกพรากไปจากอก
“อืม ซีดเซียวและผอมไปหน่อย แต่ก็ดูเหมือนจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง บางทีเจ้าอาจจะเป็นผู้พิทักษ์ของตระกูลหลักไม่ได้ แต่อาจจะประสบความสำเร็จในฐานะ ที่ปรึกษา เธอทำได้ดีมากลิลลี่”
เมื่อพูดจบ ชายคนนั้นก็มอบทารกคืนสู่อ้อมอกของแม่และตรงไปยังทางออก เมื่อเห็นเช่นนั้นลิลลี่ก็พูดอย่างนุ่มนวล
“ริส เขาเป็นลูกของท่านนะ และเขาชื่อ โนอาห์ ให้เขาเป็นมากกว่าผู้พิทักษ์ธรรมดาๆ ไม่ได้รึ?” ลิลลี่ว่า
ริสหยุดตรงทางออกและหันกลับมามองลิลลี่จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติที่สุด
“เขามีสายเลือดของข้าจริง แต่มีเลือดเนื้อของเจ้ามากเกินไป ลูกชายที่เกิดจากหญิงงามเมืองเช่นเจ้า ก็โชคดีมากเพียงพอแล้วหากจะได้รับพิจารณาให้ปกป้องทายาทของตระกูลหลัก”
และเขาก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้ลิลลี่ร้องไห้ขณะกอดโนอาห์แน่น เธอไม่เห็นทารกในอ้อมแขนทอดสายตาต่อพ่อของเขาหลังจากที่เดินออกจากห้องไป
‘ดูเหมือนนี่จะไม่ใช่ครอบครัวธรรมดานะ ฉันต้องเรียนรู้ภาษาของโลกนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้’
เมื่อคิดเช่นนั้น เขาก็หลับตาลงและผล็อยหลับไป