เซียนเหนือวิถี บาทที่ 71 (ฟรี ชดเชย บาทที่ 50 ที่ไม่ฟรี)
บาทที่ 71
พวกฉงฮุ้ยจินกำลังมุ่งหน้ากลับโรงเตี๊ยม ถนนหนทางทุกที่ล้วนร้างไร้ผู้คน
โรงเตี๊ยมส่วนใหญ่จะก่อสร้างอย่างแน่นหนาเป็นพิเศษเพื่อความมั่นใจให้กับลูกค้า ทั้งยังมีห้องใต้ดิน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ที่นั่นเป็นฐาน
ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียง “เจ้าสัตว์ร้ายบังอาจ”
พวกเขารู้ว่าการต่อสู้ระหว่างเขตแก่นปราณกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว แม้ว่าระดับเก้าเขตชีพจรปราณ กับระดับหนึ่งเขตแก่นปราณจะต่างกันเพียงระดับเดียว แต่พลังอำนาจของพวกเขากลับแตกต่างกันเท่าตัว ดังนั้นพวกเขารู้ตัวดีว่าไม่ควรเข้าไปอยู่ในรัศมีการต่อสู้ของพวกนั้น
พวกฉงฮุ้ยจินรีบเข้าไปในโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว
“พวกท่าน--” เถ้าแก่โรงเตี๊ยมแปลกใจอยู่บ้าง ที่เห็นพวกเขาที่นี่ แทนที่จะเป็นบนกำแพง ในเมื่อคนที่มีวรยุทธทุกคนควรจะไปช่วยกันที่นั่น
“ชู่ว พวกเราอยู่ที่นั่นไม่ได้ สัตว์อสูรเขตแก่นปราณบุกเข้ามาแล้ว” เหมือนกับฉงฮุ้ยจินจะอ่านความคิดของเถ้าแก่ออก เขาจึงบอกเหตุผลออกไป
เถ้าแก่โรงเตี๊ยมหน้าซีดทันที ไม่กล่าวอะไรต่อ เพราะว่าไม่บ่อยครั้งนักที่สัตว์อสูรระดับสูงจะบุกเข้ามา แต่ทุกครั้งที่เข้ามามักจะมีคนตายจำนวนมาก และส่วนใหญ่จะเกิดจากการโดนลูกหลงจากการต่อสู้
“เถ้าแก่ รบกวนท่านเปิดห้องใต้ดินเถอะ” ฉงฮุ้ยจินกล่าวต่อ
จากมโนภาพที่เขาเห็นจากร่างจิตเทียม การต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรกับคนนั้น ไม่ใช่เป็นการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่กลับเป็นการต่อสู้แบบห้ารุมหนึ่ง โดยฝ่ายที่มีหนึ่งนั้นคือสัตว์อสูรเสือภูเขาหิมะ แต่ถึงกระนั้นมันก็แทบจะไม่ได้ด้อยกว่าคนทั้งห้าร่วมมือกันเลย
เขายังเห็นคนจำนวนมากรีบหนีไปทุกทิศทางเช่นเดียวกับสัตว์อสูรที่บุกไปทุกทิศทางเช่นเดียวกัน
การต่อสู้ของเขตแก่นปราณทั้งหกนั้นกินพื้นที่กว้าง พวกเขาพุ่งตัวเข้าไปหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วข้ามระยะทางหลายสิบเมตรในชั่วพริบตา อำนาจการโจมตีนั้นมากมาย หากพลาดลงไปโดนพื้นหิน พื้นหินนั้นก็จะยุบลงไปและแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
บางครั้งพวกเขาก็จะถอยเป็นระยะหลายร้อยเมตร และพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายใหม่อีกครั้งด้วยแง่มุมใหม่ สร้างความเสียหายไปตามรายทางที่วิ่งผ่าน
จากที่เห็นฉงฮุ้ยจินรู้สึกว่าคนทั้งห้านั้นดูจะด้อยกว่าสัตว์อสูร แต่ด้วยจำนวนที่มากกว่าและการประสานการต่อสู้ที่สอดคล้องกลับสามารถต่อสู้ได้อย่างคู่คี่สูสีและดูจะได้เปรียบเล็กน้อยอีกด้วย
ชายวัยกลางคนผู้ใช้ง้าวเป็นอาวุธกวัดแกว่งง้าวราวกับพายุ กรีดบ้านหินที่อยู่รอบข้างเป็นรอยลึกเศษหินกระเซ็นซ่าน ก่อนจะฟาดง้าวนั้นเข้าใส่ชายโครงของสัตว์อสูร
สัตว์อสูรยกขาหลังทั้งคู่ขึ้นบิดตัวถีบใส่ง้าว
ตึง ใบง้าวเบนออกไป เมื่อเล็บของเสือภูเขาหิมะปะทะเข้ากับคมง้าว หิมะก่อตัวขึ้นและไอน้ำก็พวยพุ่งเข้าใส่ชายวัยกลางคนนั้น จนเขาต้องสะบัดง้าวปัดหิมะนั้นออกไปด้านข้าง
ในเวลานั้นขณะที่เสือยังไม่ได้วางขาหลังทั้งคู่ลงแตะพื้นนั้น ชายชราถือกระบี่ก็ฟันกระบี่ขวางหมายตัดขาคู่หน้าของเสือภูเขาหิมะทิ้ง
ถึงแม้ว่าเสือหิมะจะดูเหมือนมีมีดเล่มหนึ่งปักลงไปครึ่งเล่มบนสะโพกของมัน อีกทั้งมีรอยมีดกรีดใส่ที่ชายโครงเล็กน้อย แต่มันก็ยังคล่องแคล่วและทรงพลังราวกับว่ามีดนั้นไม่ส่งผลให้กับมันแม้แต่น้อย มันใช้แรงส่งจากการปะทะกับง้าวนั้นบิดตัวถีบขาหลังเข้ามาเหยียบบนกระบี่อย่างแรง
แคร๊ง เสียงปะทะดังรุนแรง ชายชราเซถอยออกมา แต่อย่างไรก็ตามคนที่สามก็เข้าจู่โจมในทันทีเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าเสือร้ายทรงพลังยิ่งกว่าทุกคน แต่ว่ามันต้องตกเป็นฝ่ายรับแทบตลอดเวลาโดยเกือบจะไม่มีโอกาสจู่โจมเลยแม้แต่น้อย
พวกฉงฮุ้ยจินพากันหลบเข้าไปในห้องใต้ดินของร้านพร้อมกับเจ้าของร้านและครอบครัว ไม่มีใครกล้าเสี่ยงฝากชีวิตไว้กับโชคชะตาว่าการต่อสู้จะไม่ทำให้ร้านของเขาพังเสียหาย
ทันใดนั้นเองฉงฮุ้ยจินก็ต้องตระหนกเป็นอันมาก เมื่อร่างจิตเทียมพบเห็นเสือภูเขาหิมะอีกตัวหนึ่งกำลังวิ่งมาจากระยะไกลมุ่งสู่เมือง
“แย่แล้ว” ฉงฮุ้ยจินอุทานออกมา ดูเหมือนว่ากระทั่งในหลุมหลบภัยก็จะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว
“เถ้าแก่ข้าขอบอกว่าตอนนี้ข้าได้ใช้อาคมพบว่าเสือหิมะอีกตัวกำลังมุ่งหน้ามา ไม่ว่าท่านจะตัดสินใจว่าอย่างไร ข้าก็คงต้องออกไปจากหลุมหลบภัยนี่และหนีออกจากเมืองนี้” ฉงฮุ้ยจินกล่าว บอกถึงความคืบหน้าของเหตุการณ์
“อย่างนั้นรึ ข้าพอจะขอร้องท่านให้ช่วยพาเซียวฉีหนีไปด้วยได้หรือไม่” เถ้าแก่ไม่มีทางที่จะหลบหนีไปได้ในเมื่อครอบครัวของเขาอยู่ที่นี่ เขารู้ว่าถ้าเขาหลบหนีออกไปพร้อมกับครอบครัว โอกาสรอดชีวิตมีน้อยยิ่งกว่าเดิมมากนัก แต่เมื่อนักผจญภัยเหล่านี้มีความมั่นใจที่จะหลบหนีไปได้หากเขาฝากลูกชายคนเดียวไปด้วย อย่างน้อยตระกูลเขาก็ยังมีทางรอดอยู่บ้าง
“ลูกชายของท่านคนนี้นะรึ” ฉงฮุ้ยจินถาม
เขาเห็นเด็กชายอายุประมาณเจ็ดขวบปี นั่งตัวสั่นกอดแม่ของตนเองอยู่
“ได้สิ” เขากล่าว
“เซียวฉี ลูกไปกับพี่ชายท่านนี้ จำไว้ว่าจงเชื่อฟังพี่ชายให้ดีจนกว่าเราจะได้พบกันอีก” เถ้าแก่ดึงมือลูกชายของเขาออกมาจากอ้อมอกแม่ กอดลูกชายสั่งสอน
“เถ้าแก่ ข้าไม่มีเวลาแล้ว หากช้ากว่านี้อีกเพียงนาทีเดียวข้าเองก็ออกไปไม่ได้แล้ว” ฉงฮุ้ยจินรู้สึกว่าวิกฤตคุกคามมาอย่างรวดเร็ว เขาต้องพยายามยับยั้งไม่ให้ละครเศร้าฉากนี้ยาวนานเกินไป
“ไปเถอะ” เถ้าแก่ส่งลูกชายให้กับฉงฮุ้ยจิน ซึ่งเขาก็พยักหน้าให้กับจินซื่อ
จินซื่อเข้ามาแบกเด็กชายไว้บนหลัง ขณะเดียวกันฉงฮุ้ยจินก็เปิดประตูออกไปแล้วกล่าวอย่างเร่งรีบว่า “ตามข้ามา”
เขาออกไปเป็นคนแรก และคนที่เหลือก็ออกติดตามไปจนสามคนสุดท้าย จินซื่อ หงเซียว และจินหลินก็ออกไปตามลำดับ
ฉงฮุ้ยจินไม่ได้พาทุกคนวิ่งไปยังกำแพงด้านตรงข้ามกับที่มีการสู้รบ เพราะว่าเสือภูเขาหิมะอีกตัวนั้นมาจากทิศทางด้านนั้น แต่เขาพาทุกคนลัดเลาะไปทางหน้าผาที่เป็นที่ตั้งเหมือง เพราะว่าที่นั่นเขาได้นำนกโจโคโบะและไข่ไปเก็บไว้ในป่าใกล้ๆนั้น และปกติในช่วงเวลาแบบนี้ที่นั่นจะไม่มีสัตว์อสูรและไม่มีคนแม้สักคนเดียว
เขาพุ่งตัวออกไป เมื่อถึงทางแยกเขาก็หมุนตัวสะบัดหนามพสุธาออกไปทางด้านซ้ายขวาก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป
ฉึก ฉึก หมาป่าภูเขาสองตัวที่กำลังวิ่งมาตามเส้นทางนั้นพลันผงะล้มลงไป
คนที่เหลือไม่มีการหยุดชะงักต่างพากันบินเลียดพื้นตามฉงฮุ้ยจินไป
อย่างไรก็ตามทุกคนต่างเปิดใช้ขอบเขตการรับรู้ออกไปจนเต็มรูป ซึ่งหงเซียวจะมีระยะไกลสุดที่เก้าสิบเมตร แต่เขาก็ไม่พบสิ่งผิดปกติอะไรอีก
ตูม “โฮก” เสียงบางอย่างที่เหมือนกับหินก้อนใหญ่ยักษ์ร่วงกระทบพื้นดังมาจากกำแพงฝั่งตรงข้ามการสู้รบ พร้อมกับเสียงคำรามดังลั่น
“มันมาถึงแล้ว” ฉงฮุ้ยจินตะโกน พวกเขายังหนีไปได้ไม่ถึงไหน และอยู่ตรงกลางระหว่างเสือทั้งสองตัวพอดี แต่เขาก็รีบเร่งพุ่งตัวไปและสำทับทุกคนว่า “รีบกว่านี้”
เพราะว่าหงเซียวกับซิ่วจูยังค่อนข้างมือใหม่ในการใช้เชือกปราณ ดังนั้นสองคนนี้จีงไม่สามารถเร่งความเร็วได้ดีนัก แต่อย่างไรก็ตามซิ่วจูยังเด็ก เมื่อได้หญิงสาวสองคนช่วยพยุง เธอก็ตามคนอื่นได้ทัน
แต่ว่าหงเซียวนั้นต่างกัน เขาเป็นผู้ชายตัวโต ทั้งมีปราณล้ำลึกกว่าใคร สามารถเร่งความเร็วได้มากกว่าทุกคนทั้งหมด แต่ว่าถ้าเร่งความเร็วจนเกินไปเขาก็จะควบคุมทิศทางไม่ได้
“เป็นอะไรพี่เซียว” จินหลินถามอย่างเป็นกังวลเมื่อเห็นหงเซียวเร่งความเร็วไม่ขึ้น
“เจ้าล่วงหน้าไปก่อน” หงเซียวกัดฟันพูด
“เอาอย่างนั้นก็ได้” จินหลินเข้าใจถึงทิฐิของผู้ชายดี ดังนั้นเธอจึงเร่งความเร็วไปเพื่อขอความเห็นจากพี่ใหญ่
แต่ก่อนที่เธอจะทันไปถึงด้านหน้านั้น ฉงฮุ้ยจินก็ตะโกนบอกว่า “ทุกคนหลบเข้าใต้ชายคา”
ทุกคนต่างพากันหลบเข้าใต้ชายคาทันที แต่ว่าคุณชายหงกลับยังมาไม่ถึงตำแหน่งปลอดภัย เขาอยู่ตรงกลางถนนไม่มีชายคาอยู่ใกล้
“แย่แล้ว” ฉงฮุ้ยจินตะโกนออกมา พร้อมกับยื่นมือออกไปทางคุณชายหง