เซียนเหนือวิถี บาทที่ 70 (ฟรี)
บาทที่ 70
จากนั้นเขาก็ทดลองเขียนวงเวทบนก้อนหินแทนการเขียนบนพื้น ใช้ร่างจิตเทียมรายล้อมก้อนหินและสร้างกลุ่มก้อนเพลิงเผาผลาญหินก้อนนั้น และเมื่อใช้เชือกปราณยกหินก้อนนั้นขึ้นจากพื้น ก็จะสามารถหิ้วมันไปไหนมาไหนก็ได้
แต่ไอร้อนที่พุ่งขึ้นจากเพลิงนั้นกำลังจะเผามือเขา ฉงฮุ้ยจินจึงสั่งให้ร่างจิตเทียมที่รายล้อมหินก้อนนั้นแยกตัว พร้อมกับโยนหินทิ้งไปก่อนที่มือจะไหม้
ในที่สุดก็ถึงตาของไข่ เขาใช้เลือดของตนเองเขียนวงเวทไปบนไข่ที่เพิ่งนำออกมาจากกองหินร้อนอย่างรวดเร็ว มันแห้งติดอย่างรวดเร็ว
ร่างจิตเทียมที่ยังมีอักขระอยู่จากครั้งเมื่อตอนเขาเขียนไปก่อนหน้านั้นถูกสั่งให้เข้าไปเกาะที่ไข่ และเขาก็เริ่มบริกรรมคาถา
ไข่ที่ความร้อนเริ่มลดลงนั้นก็พลันมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นอย่างทันใดเมื่อกลุ่มก้อนเพลิงพลันลุกไหม้ขึ้นมารายล้อมมันไว้อีกครั้ง
ส่วนร่างจิตเทียมที่ทำหน้าที่ถ่ายเทปราณให้นั้นไม่มีอะไรที่จะต้องเปลี่ยนแปลง
ฉงฮุ้ยจินสั่งให้ร่างจิตอื่นนอกจากกลุ่มนั้นทำการยกไข่ขึ้น ซึ่งพวกมันก็มีวิธีการยกตัวขึ้นสองวิธีตอนนี้ ก็คือหนึ่งใช้เชือกปราณ สองก็คือการควบคุมลม ซึ่งเขาบอกมันให้ใช้วิธีที่ใช้พลังปราณน้อยที่สุดเป็นอันดับแรกนั่นก็คือการใช้เชือกปราณ ยกเว้นว่าจะอยู่ในพื้นที่ที่ใช้เชือกปราณยาก
ตอนนี้ห่างจากตัวของเขาไปพอสมควรก็จะเห็นว่ามีมวลก้อนเพลิงทรงกลมลุกไหม้ลอยอยู่กลางอากาศ และภายในใจกลางกลุ่มก้อนเพลิงนั้นก็จะมีไข่ขนาดเท่ากำปั้นอยู่หนึ่งฟอง
เขาไม่กล้าให้มันเข้าใกล้เพราะว่ามันร้อน
เมื่อยามเย็นมาถึงทุกคนที่กลับมาจากการล่าสัตว์หรือฝึกซ้อมต่างก็ได้รับข้อมูลและให้เดินทางเข้าเมืองภายในคืนนี้
แต่เพราะว่าพวกเขามีเวลาเหลือเฟือไม่เหมือนครั้งที่แล้วที่ไม่มีแม้เวลาจะเก็บเต็นท์ ครั้งนี้พวกเขาเก็บทุกสิ่งได้อย่างเกลี้ยงเกลา ของที่ใส่เข้าไปในแหวนมิติไม่ได้เพราะว่าไม่มีพื้นที่เหลือนั้น ถูกใส่เข้าไปในเกวียนที่จัดสร้างจากไม้และยึดแต่ละท่อนเข้าด้วยกันด้วยพลังปราณเช่นเดียวกับการต่อกระดูกด้วยพลังปราณของพวกเขา และให้โจโคโบะตัวที่ใหญ่ที่สุดลากให้ ส่วนตัวที่เหลือเนื่องจากว่ายังตัวเล็กสูงเพียงแค่ต้นขา พวกมันจึงได้แต่เดินตามพวกเขาไป
ระหว่างทางพวกเขาก็แจ้งให้กับคนอื่นๆที่พักแรมอยู่ด้านนอกถึงภัยพิบัติที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ เพื่อให้พวกเขามีเวลาเตรียมตัว ส่วนจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นก็แล้วแต่อีกฝ่าย
และก็เช่นเดิม สัตว์อสูรบุกมาเหมือนกับครั้งที่แล้ว แต่ครั้งนี้ไม่มีนกลูกดอก แต่ส่วนใหญ่กลับเป็นกองกำลังของสัตว์อสูรหมาป่าภูเขา
หมาป่าภูเขาพวกนี้มีความสามารถในการปีนกำแพง ถึงแม้ว่าจะปีนได้ช้ากว่าปกติ แต่มันก็ปีนได้
และคราครั้งนี้ทุกคนได้ออกโรงต่อสู้
ด้วยประสบการณ์การต่อสู้กับสัตว์อสูรมานานหลายเดือน พวกของฉงฮุ้ยจินไม่มีใครต้องเป็นห่วงอีกต่อไป กระทั่งซิ่วจูเองก็ยังดูเก่งกาจจนน่าทึ่งเข้าขากับจินหลินราวกับเป็นคนรู้ใจกันมานานอย่างดี
ด้วยระดับที่สูงสุดระดับเก้าเขตชีพจรปราณ คุณชายหงเซียวใช้เชือกปราณดึงศัตรูจากด้านหลังสุดพุ่งเข้ามาหาตัวชนศัตรูที่อยู่ตามรายทางอย่างรุนแรงและเมื่อมันมาถึงตรงหน้าเขา ศัตรูตัวนั้นก็ตายแล้ว หากศัตรูตัวไหนจะโจมตีเขาก็จะถูกเพื่อนที่อยู่ด้านหลังพุ่งชน หรือไม่ก็เพื่อนที่อยู่ด้านหลังศัตรูพุ่งชน สร้างความสับสนให้กับพวกมันเป็นอย่างมาก และคุณชายหงก็จะหัวเราะเมื่อเห็นสัตว์อสูรเหล่านี้พุ่งชนกันเอง
จินซื่อกลับชอบใช้มีดสั้นหนักทั้งคู่แกว่งไปรอบตัวดุจกังหันฟาดฟันศัตรูด้วยความรุนแรง มีดสั้นของเขาบางครั้งก็หมุนออกไปห่างตัวมากบางครั้งก็หมุนเข้ามาใกล้ตัวตามใจนึกด้วยเชือกปราณที่เขาใช้
จินหลินกลับนิยมใช้กรงเล็บเขี้ยวอสรพิษแนวทางการฉก โยกร่างซ้ายขวาหลบเลี่ยงประดุจเงามายาแล้วฉกไปบนคอของสัตว์อสูรหมาป่าภูเขาอย่างแม่นยำส่งพิษร้ายไปยังก้านคอแช่ระบบประสาทของสัตว์พวกนี้ให้หยุดทำงานกลายเป็นอัมพาตอยู่ตรงนั้น ทั้งใช้ร่างของพวกมันเองกีดขวางพวกเดียวกันอีกด้วย ทั้งยังใช้เชือกปราณดึงขาดึงหัวสร้างความสับสนปั่นป่วนให้กับกระบวนของหมาป่าอย่างมาก
ซิ่วจูมีแนวทางการต่อสู้คล้ายกับจินหลินเนื่องมาจากเธอเรียนรู้มาจากจินหลิน แต่ว่ายังไม่ลึกล้ำเท่ากับจินหลิน แต่เธอก็ได้พยายามผสมผสานการซัดหนามพสุธาออกไปในระหว่างการใช้กรงเล็บเขี้ยวอสรพิษและเชือกปราณด้วย
ฉงฮุ้ยจินนั้นด้วยเป็นผู้คิดค้นวิชาจึงเชี่ยวชาญในทุกวิชาถึงที่สุด ใช้ทั้งระบบอาวุธลับหนามพสุธา กรงเล็บเขี้ยวอสรพิษ การใช้พลังลมพัดพิษที่ถูกขับออกมาจากตัวเขาไปยังสัตว์อสูรเหล่านี้ จนกระทั่งพวกมันล้มระเนระนาดครั้งละหลายตัว แต่การประยุกต์ใช้กลับด้อยกว่าคนอื่นๆที่นิยมใช้เฉพาะบางวิชาที่ตนเองชื่นชอบอยู่บ้าง
“ระวังสัตว์อสูรเขตแก่นปราณกำลังมา” ฉงฮุ้ยจินพลันตะโกนเตือนทุกคน เขาเห็นผ่านร่างจิตเทียมถึงสัตว์ที่มีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนักพอๆกับผู้ใหญ่ร่างบึกบึนคนหนึ่ง แต่กลับแคล่วคล่องว่องไวเกินสัตว์อื่นๆมาก ทั้งดูมีพละกำลังมหาศาล การกระโดดแต่ละครั้งของมันไกลหลายสิบเมตรและรวดเร็วเป็นอย่างมาก
“เสือภูเขาหิมะ งูกินหาง” ฉงฮุ้ยจินกล่าวต่อ
เสือภูเขาหิมะนั้น แม้ว่ามันจะชื่อเช่นนั้นแต่มันกลับไม่ได้อาศัยอยู่ในเขตที่มีหิมะแม้แต่น้อย มันชอบอาศัยอยู่ในเขตภูเขาและหน้าผา แต่เพราะว่ามันมีปราณน้ำแข็งเมื่อมันเคลื่อนที่จึงทำให้เกิดละอองหมอกและหิมะฟุ้งไปตามเส้นทางที่มันเดินผ่าน
เพราะว่ามันไม่ได้อาศัยอยู่ในแดนหิมะ สัตว์ต่างๆล้วนแทบไม่มีภูมิคุ้มกันความเย็นมากพอที่จะต่อต้านมันได้ ดังนั้นมันจึงเป็นหนึ่งในจ้าวป่าที่น่ากลัวของดินแดนแถบนี้
งูกินหางเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่เขาคิดค้นมาสำหรับต่อกรกับศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด ด้วยการยืนต่อแถวกันเป็นหางงูแล้วทุกคนที่อยู่ด้านหน้าจะช่วยกันดึงอาวุธจากท้ายแถวพุ่งตรงออกไปด้านหน้าในระยะไกลสุดของคนสุดท้าย ซึ่งแรงดึงจากคนจำนวนมากนี้ทำให้อาวุธที่ยิงออกไปมีความรุนแรงมากเป็นพิเศษหลายเท่าตัว และเมื่ออาวุธพุ่งไปจนถึงระยะไกลสุดแล้วพวกเขาจะช่วยกันดึงอาวุธนั้นกลับไปที่ด้านหลังคนสุดท้ายอีก และด้วยการดึงอย่างรุนแรงและใช้อาวุธจำนวนมาก ทำให้เหมือนกับการยิงปืนกลหนัก ซึ่งมีอำนาจการทำลายที่รุนแรงสูงสุด
ฉงฮุ้ยจินชี้มือไปยังทิศทางหนึ่ง ทุกคนต่างพากันเข้าไปต่อท้ายแถวตามแนวที่ฉงฮุ้ยจินชี้มือไป มีดสั้นหนักทุกเล่มถูกดึงเหวี่ยงไปด้านท้ายไกลเกือบห้าสิบเมตรก่อนจะถูกดึงอย่างแรงมาด้านหน้าสุด
วี๊ด วี๊ด วี๊ด มีดสั้นเล่มแล้วเล่มเล่าถูกดึงไปด้วยความเร็วสูง กระทั่งมีดที่หนักหน่วงราวกับขวาน กลับถูกเร่งจนเกิดเสียงปะทะลมเสียงแหลมเล็ก แสดงถึงความเร็วและพลังทำลายอันน่ากลัวของอาวุธนี้
กึง กึง กึง ตูม หวืด เสียงโลหะหนักปะทะเข้ากับโลหะ และอะไรสักอย่างดังมาจากที่ไกล และเริ่มดังใกล้เข้ามา
“ใช้ยอดกลยุทธ์” ฉงฮุ้ยจินกล่าวเมื่อยิงมีดทั้งหมดไปแล้ว แต่ไม่มีมีดสั้นเล่มไหนที่กลับมา
ยอดกลยุทธ์ที่ฉงฮุ้ยจินอ้างถึงก็คือ การหนี
ฉงฮุ้ยจินไม่แน่ใจว่าบนกำแพงนี้มีคนที่เข้าสู่เขตแก่นปราณบ้างหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามการต่อสู้ระดับนั้นทางที่ดีพวกเขาไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วย ในเมื่อจากมโนภาพที่เขาได้รับจากร่างจิตเทียมพบว่า มีดสั้นส่วนใหญ่จะถูกเสือภูเขาหิมะใช้เท้าตบจนปลิวหายหลุดจากระยะบังคับของเขาที่เก้าสิบเมตรไป มีเพียงเล่มเดียวที่ปักเข้าสู่ร่างของมันไปครึ่งหนึ่ง และอีกเล่มที่เฉือนหนังของมันออกไปส่วนหนึ่ง
อย่างไรก็ตามมีดเหล่านั้น ร่างจิตเทียมของเขาได้ติดตามไปเก็บให้แล้ว ส่วนพวกเขาตอนนี้ไม่มีท่าใหญ่พอที่จะเอาไปสู้กับระดับที่สูงกว่าพวกเขาได้ ดังนั้นการหนีไปก่อนที่สัตว์ร้ายจะทันเห็นตัวจะดีที่สุด
พวกเขาถอยหลังและกระโดดลงจากกำแพงเมืองทีละคนสองคน อย่างรวดเร็ว สร้างความแปลกใจให้กับคนที่เหลือบนกำแพงเป็นอย่างยิ่ง แต่คำว่าเสือภูเขาหิมะก็สั่นสะท้านใจคนหลายคนเช่นกัน พวกเขาต่างก็พากันสู้กันสัตว์อสูรพลางหาทางปลีกตัวออกไปจากกำแพง
“ตามข้ามา” จินหลินกล่าว เธอเป็นคนที่อยู่ด้านท้ายสุด เธอใช้เชือกปราณดึงทุกคนเบาๆรวมถึงฉงฮุ้ยจินด้วย พอให้รู้ว่าทิศทางไปทางไหน
พวกเขาทิ้งร่างลงจากกำแพง พอเกือบจะสัมผัสพื้น จินหลินก็แฉลบไปตามแนวนอนด้วยการบินพร้อมกับดึงเชือกปราณให้คนอื่นรู้ถึงทิศทางว่าไปทางไหน ทุกคนต่างก็ทำเลียนแบบจินหลิน
เธอแฉลบไปใต้ชายคาแล้วใช้ชายคากับกำแพงเป็นที่ยึดดึงร่างไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ใช้เทคนิคตามที่ตนเองตีความเข้าใจติดตามเธอไปอย่างรวดเร็ว
ตูม เสียงดังมาจากบนกำแพง แผ่นดินส่ายไหว เศษหินบนกำแพงส่วนหนึ่งกระเซ็นซ่านไปทั่ว แสดงให้เห็นว่าสัตว์ร้ายมาถึงบนกำแพงเมืองแล้ว
“อ๊าก” “โอย” “ช่วยด้วย” เสียงสับสนดังขึ้นจากบนกำแพงจากผู้ที่หลบหนีไม่ทัน
“เจ้าสัตว์ร้ายบังอาจ” เสียงดังกึกก้องมาจากสถานที่หนึ่ง