บทที่ 142 จักรพรรดิสัตว์อสูร
หุบเขาเมฆาทมิฬเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงโด่งดังซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองจิตอสูรมากนัก สำนักจิตอสูรเองก็ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหุบเขาเมฆาทมิฬด้วยเช่นกัน
หน่วยลาดตระเวนที่รับผิดชอบแถวนั้นก็ไม่ค่อยกล้าที่จะเหยียบย่างเข้าไป เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าหุบเขาเมฆาทมิฬคือจุดล่าสัตว์อสูรอันเลื่องชื่อและยังมีสัตว์อสูรที่แสนอันตรายอาศัยอยู่ในนั้น
ทางทิศใต้ของหุบเขาเมฆาทมิฬถูกพิจารณาว่าเป็นพื้นที่ด้านในของหุบเขาสามหมื่นลี้ ที่แห่งนั้นประกอบไปด้วยสัตว์อสูรระดับสองและระดับสามมากมายนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะบังเอิญเผชิญหน้ากับราชันสัตว์อสูรระดับสี่
มีข่าวลือว่าในส่วนลึกสุดของหุบเขาสามหมื่นลี้ มีจักรพรรดิสัตว์อสูรซึ่งสามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้อาศัยอยู่ มันครอบครองพลังซึ่งมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจินตนาการได้
ตามตำนานกล่าวว่า แค่จักรพรรดิสัตว์อสูรสะบัดมือเพียงครั้งเดียว นครใหญ่ก็พินาศสิ้นมลายสูญ แม้แต่ยอดฝีมือผู้มีพลังแกร่งกล้าก็ไม่อาจที่จะประมาทเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน
“มีจักรพรรดิสัตว์อสูรที่สามารถจำแลงกายเป็นมนุษย์อาศัยอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาสามหมื่นลี้จริงๆรึ? แล้วมันเป็นไปได้ยังไงที่สัตว์อสูรสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์? นี่คงไม่ใช่แค่เรื่องเล่าจากตำนานหรอกนะ?”
เจียงอี้หวนรำลึกถึงเรื่องเล่าที่เคยได้ยินในอดีต จากนั้นเขาก็เอ่ยถามเฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวง เพราะอย่างไรเสีย ทั้งสองคนต่างก็เป็นนายน้อยจากตระกูลใหญ่ พวกเขาย่อมต้องมีความรู้มากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว ไม่แน่ พวกเขาอาจจะล่วงรู้ความลับบางอย่างก็ได้
“ข้าไม่มั่นใจ!”
เฉียนว่านก้วนไม่ได้กล่าวอะไรออกมาในขณะเดียวกันจ้านอู๋ซวงก็ส่ายศีรษะ “คงไม่มีจักรพรรดิสัตว์อสูรอยู่ในหุบเขานี้ ข้าคิดว่าคงมีเพียงยอดฝีมือสิบอันดับแรกของทวีปเท่านั้นที่รู้ความจริง”
“ถึงอย่างนั้น ตัวตนของจักรพรรดิสัตว์อสูรก็มีอยู่จริงอย่างแน่นอนและมันก็สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ตามที่ตำนานว่าไว้ ในตระกูลของข้ามีบันทึกเกี่ยวกับการปรากฏตัวของจักรพรรดิสัตว์อสูรเมื่อห้าพันปีก่อน”
“มันปรากฏตัวที่ทางตอนใต้ของก้นบึ้งทะเลแห่งความฝันและยังเป็นถึงมังกรสมุทร”
“ในตอนนั้น อาณาจักรเทียนเซวี่ยนมียอดฝีมือระดับจินกังผู้ฝึกฝนทักษะวิชาอันน่าเกรงขาม ยอดฝีมือผู้นั้นเกรงว่าจะทำให้ปุถุชนคนธรรมดาได้รับบาดเจ็บหรือล้มตายจากทักษะที่เขาฝึก เขาจึงตัดสินใจที่จะมุ่งหน้าไปยังก้นบึ้งทะเลแห่งความฝัน”
“แต่โชคร้ายนักที่เขาทำให้เจ้าถิ่นอย่างจักรพรรดิสัตว์อสูรพิโรธ ซึ่งต่อมายอดฝีมือผู้นั้นสิ้นชีพจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว เรื่องนั้นได้สร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้น ข้าคิดว่าตระกูลของเฉียนว่านก้วนก็สมควรมีบันทึกเกี่ยวกับมันเช่นกัน”
เฉียนว่านก้วนพยักหน้าและมองไปรอบๆ สมาชิกตระกูลเฉียนเองหยุดฝีเท้าและเว้นระยะห่างจากพวกเขาทั้งสาม จากนั้นเจ้าอ้วนก็กล่าว
“พี่อู๋ซวงกล่าวได้ถูกแล้ว ตระกูลของข้ามีบันทึกเล่มนั้น นอกจากนี้ยังมีบันทึกที่เกี่ยวกับจักรพรรดิสัตว์อสูรอีกตนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ราบน้ำแข็งเวิ้งว้าง แต่… ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่เพราะไม่มีหลักฐานรับรอง”
“ที่ราบน้ำแข็งเวิ้งว้าง?”
ม่านตาของจ้านอู๋ซวงหดแคบลงอย่างน่าประหลาด เมื่อเห็นเช่นนั้น เจียงอี้ก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ที่ราบน้ำแข็งเวิ้งว้างนั่นอยู่ที่ใด? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมันมาก่อน?”
“อยู่ทางเหนือ!”
จ้านอู๋ซวงชี้ไปทางทิศเหนือและกล่าวตอบ “มันอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักรเป่ยเหลียงและอาณาจักรเป่ยหมาง มันคือพื้นที่ต้องห้ามและยังเป็นสถานที่อันเหน็บหนาว! มีสัตว์อสูรดุร้ายอาศัยอยู่ภายใต้พื้นน้ำแข็งและจะคอยสังหารเหยื่อที่หลงเข้ามา ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตเสินโหยวจะตายหากว่าเข้าไปที่นั่น”
“เฮ้ออ..”
เจียงอี้ถอนหายใจ ดูเหมือนว่าทวีปแห่งนี้จะใหญ่โตและอันตรายกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก!
เขาไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับทวีปมากนักและรู้เพียงแค่ว่ามันถูกควบคุมโดยจักรวรรดิมังกรเวหากับอาณาจักรบริวารทั้งหก ทางทิศเหนือเป็นที่ตั้งของอาณาจักรเป่ยเหลียงและอาณาจักรเป่ยหมาง ทางทิศใต้จะเป็นของอาณาจักรต้าเซี่ยและอาณาจักรเทียนเซวี่ยน ส่วนอาณาจักรเสินหวู่จะอยู่ทางทิศตะวันออกและอาณาจักรเซิ่งหลิงอยู่ทางทิศตะวันตก
อาณาจักรบริวารแต่ละแห่งต่างก็ครอบครองกองทัพที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีและมีผู้เชี่ยวชาญยุทธมากมาย แต่พวกเขายังต้องส่งเครื่องบรรณาการให้กับจักรวรรดิมังกรเวหา
หากไม่ใช่เพราะว่ายังมีตัวตนอันเก่าแก่ของจักรวรรดิที่คอยเฝ้าปกป้องราชวงศ์อยู่ในเงามืดและอนุญาตให้อาณาจักรบริวารปกครองตนเอง เกรงว่าป่านนี้จักรวรรดิมังกรเวหาคงจะถูกโค่นล้มไปนานแล้ว
ในขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงบริเวณตีนเขาของหุบเขาเมฆาทมิฬ แม้ว่าจะแปลกใจเล็กน้อยที่ไม่เห็นหน่วยลาดตระเวน แต่พวกเขาก็ไม่กังวลมากนัก เพราะอย่างไรเสีย ที่นี่ก็เป็นแหล่งที่มีสัตว์อสูรชุกชุมและมีบางครั้งที่สัตว์อสูรระดับสามปรากฏตัวออกมา
“จงออกมา!”
เจียงอี้หยิบไข่มุกสีแดงขึ้นมา หลังจากที่มันเปล่งแสง กริชสีแดงก็โผล่ออกมา
เมื่อเห็นเช่นนั้น เฉียนว่านก้วนก็รีบเดินเข้าหาเจียงอี้และกระซิบที่ข้างหู “ลูกพี่ เจ้าจะนำสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ! มันมีค่ามากเกินไป หากว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวพบเห็นเข้า พวกมันจะต้องปล้นชิงจากเจ้าแน่นอน!”
จ้านอู๋ซวงพยักหน้าเห็นด้วย “ใช่แล้วเจียงอี้ จะเป็นการดีกว่าหากว่าเจ้าระวังตัว ในทวีปแห่งนี้มีสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับช่องว่างมิติน้อยกว่าหนึ่งร้อยชิ้น ความจริงแล้วหากไม่ใช่ว่าข้ารู้จักเจ้า ข้าเองก็คงจะลงมือเพื่อช่วงชิงมันเช่นกัน”
“อืม!”
เจียงอี้พยักหน้า ก่อนหน้านี้เขาค้นพบเรื่องน่าประหลาดเกี่ยวกับหินวิญญาณเพลิง เป็นที่รู้กันดีว่ามันสามารถปลดปล่อยความร้อนอันน่ากลัวออกมาได้ แต่น่าแปลกที่มันไม่แผดเผาวัตถุที่เจียงอี้เก็บไว้ในไข่มุกวิญญาณเพลิง
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องที่มันสามารถถ่ายโอนความสามารถในการป้องกันความร้อนจากหินวิญญาณเพลิง เจียงอี้ก็ไม่สงสัยอีกต่อไปเพราะมั่นใจว่าจะต้องเป็นเพราะคุณสมบัติพิเศษของไข่มุกวิญญาณเพลิงแน่นอน
“บรู๊วววว!”
ไม่นานนักหลังจากที่กำลังเดินขึ้นเขา เสียงหมาหอนก็ดังขึ้นซึ่งทำให้ดวงตาของเจียงอี้ส่องสว่างเพราะต้องการที่จะไล่ตามมัน แต่เขากลับถูกเฉียนว่านก้วนรั้งตัวไว้ก่อน
“ลูกพี่อย่าได้รีบร้อน มันจะมีอะไรดีกับอีแค่สัตว์อสูรตัวเดียว?”
“จะไม่ล่าหรือ?”
เจียงอี้หันกลับไปมองเฉียนว่านก้วนด้วยความสงสัยและเอ่ยถาม “ปกติสัตว์อสูรมักจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใช่หรือไม่? ทำไมพวกเราถึงไม่ควรออกล่ามันทีละตัว?”
“ฮิฮิ ลูกพี่ เจ้าเพียงแค่ตามข้ามาก็พอ ข้าจะหาสถานที่ดีๆและจัดหากลุ่มสัตว์อสูรมาให้เจ้าจัดการ!”
เฉียนว่านก้วนหัวเราะอย่างมีเลศนัย จากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณให้กับบรรดาลูกสมุน “ออกค้นหาได้!”
สมาชิกตระกูลเฉียนที่มาในครั้งนี้ต่างก็เป็นจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ แต่พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ผู้ที่ทรงพลังที่สุดก็อยู่เพียงแค่ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่หกเท่านั้น ส่วนที่เหลือต่างก็อยู่ในขั้นที่สามและสี่
พวกเขากระจายตัวออกค้นหาอย่างรวดเร็วภายใต้คำสั่งของเฉียนว่านก้วน ทางด้านของเจียงอี้ที่กำลังงงงวยก็ทำได้เพียงแค่ติดตามเจ้าอ้วนและจ้านอู๋ซวงอย่างเงียบๆ
“บรู๊ว-บรู๊ว!”
“จิ๊-จิ๊!”
ตลอดทาง พวกเขาจะได้พบสัตว์อสูรครั้งละหนึ่งถึงสองตัว แต่เฉียนว่านก้วนก็ไม่ได้หยุดเพื่อให้เจียงอี้สังหารพวกมัน หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดหนึ่งในสมาชิกตระกูลเฉียนก็รีบกลับมารายงาน
“ประมุขน้อย พวกเราเจอสถานที่อันยอดเยี่ยมที่จะช่วยให้นายน้อยอี้ได้ลงมือแล้วขอรับ!”
“ดีมาก! นำไปเลย”
เฉียนว่านก้วนตื่นเต้นและรีบติดตามชายผู้นั้นไปก่อน ทิ้งให้เจียงอี้ยืนมองอย่างสับสน จากนั้นเขาก็หันไปเอ่ยกับจ้านอู๋ซวง “ไปกันเถอะ เจ้าอ้วนมันจะมีความคิดแปลกๆ คงไม่แย่นักหากจะฟังเขา”
พวกเขาทั้งสองคนวิ่งตามเฉียนว่านก้วนไป แม้ว่าเจ้าอ้วนจะมีระดับการบ่มเพาะที่อ่อนด้อยไปบ้าง แต่เขากลับมีทักษะเคลื่อนที่ที่ลึกซึ้งมาก ความเร็วของเขาเทียบได้กับจอมยุทธขอบเขตฉูติ่งขั้นที่แปดหรือเก้าเลยทีเดียว
พวกเขาวิ่งผ่านผืนป่าและมาโผล่ยังที่ราบกว้างใหญ่ รอบด้านปรากฏภูเขาหินอันสูงชัน
ณ บริเวณหนึ่งของกลุ่มภูเขาหิน คนจากตระกูลเฉียนหลายสิบคนกำลังกำลังรวมตัวกันอยู่ด้านล่าง จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดไต่ขึ้นไปบนภูเขาหิน เมื่อมาถึงตรงกลางของภูเขาหิน เขาก็หย่อนเชือกลงไปและให้สมาชิกตระกูลเฉียนปีนขึ้นมา
“เฉียนว่านก้วน คนพวกนี้กำลังทำอะไรอยู่?”
เจียงอี้เฝ้าดูกลุ่มคนตระกูลเฉียนไต่เชือกขึ้นไปและนำเครื่องมือออกมาเพื่อทำการขุดถ้ำ แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยตาของตัวเองอยู่แล้ว แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
“ฮิฮิ ลูกพี่! อย่าเพิ่งใจร้อน เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถิด ด้วยจำนวนคนขนาดนี้ มันคงจะเสร็จในไม่ช้า! ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั้นแหละ ถ้ำแห่งนี้จะกลายเป็นฐานทัพของพวกเรา!”
ทางด้านของจ้านอู๋ซวง เขากวาดสายตาไปรอบๆเพื่อตรวจสอบภูมิประเทศ ไม่นานนักก็ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่างและพยักหน้า
“เจียงอี้ เจ้ารอสักครู่เถอะ ข้าคิดว่าความคิดของเฉียนว่านก้วนค่อนข้างดี ถ้ำแห่งนี้จะทำให้พวกเราปลอดภัยและลดปัญหา”
“หากว่าไม่สามารถจัดการกับสัตว์อสูรเหล่านั้นได้ พวกเราก็แค่หนีกลับมาและปล่อยให้ผู้คุ้มกันลับเป็นคนรับมือกับพวกมัน! ว่าแต่ว่านก้วน… เจ้ามีเครื่องหอมเพียงพอหรือ?”
“ฮิฮิ!” เฉียนว่านก้วนหัวเราะและกล่าวด้วยความมั่นใจ “ตราบเท่าที่เป็นเรื่องของลูกพี่ ข้าย่อมต้องลงมืออย่างรัดกุมอยู่แล้ว เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเลย”
ส่วนทางด้านของเจียงอี้นั้น เขายังคงยืนกระพริบตาปริบๆด้วยความสับสนเล็กน้อยและไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอดทนรอเท่านั้น