43 สถาบันเทียนฮ้วน
43 สถาบันเทียนฮ้วน
“ตูม”
ยานบินต้านแรงโน้มถ่วงทั้งแปดลำได้ร่อนลงจอดบนเรือธงเหลียวหยวนฮ่าว คล้ายกับภาพของเห็บหมัดตัวเล็กๆที่กระโดดลงไปบนหลังของเต๋าทะเลยักษ์ ขนาดของยานทั้งสองแบบนี้มีความต่างที่มากจนเกินไป
ในตอนที่หลี่เย้าเหยียบย่ำลงไปบนเรือธงเหลียวหยวนฮ่าว จิตใจของเขายังคงเต็มไปด้วยความเคารพบูชาอยู่
เรือธงเหลียวหยวนฮ่าวในปัจจุบัน ได้ถูกปรับปรุงให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์สงคราม ทันทีที่เขาเดินไปถึงดาดฟ้าเรือ หลี่เย้าก็ได้เห็นรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ มันคือรูปปั้นของนายทหารยานรบที่มีสีหน้ามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว มือหนึ่งของเขาจับอยู่ที่ดาบ ส่วนอีกมือหนึ่งได้ชี้ออกไปยังที่ไกลๆ คล้ายกับว่า เขากำลังอยู่ท่ามกลางสงครามที่บ้าคลั่งอยู่
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่รูปปั้นเท่านั้น แต่มันกลับแผ่พลังของความฮึกเหิมที่ได้รับจากสงครามครั้งนั้นออกมาด้วย หลี่เย้ารู้สึกว่า เขาสามารถได้ยินเสียงสายฟ้าฟาดและเสียงฟ้าร้องคำรามดังออกมาจากรูปปั้นเบาๆด้วย
“เรือธงเทียนเย่ฮ่าวจมลงไปแล้ว!”
นี่คือกัปตันของเรือธงเหลียวหยวนฮ่าวคนแรกและคนสุดท้าย รูปปั้นของผู้ฝึกตนระดับเขตแดนวิญญาณ—ผิงหยวนเทา
ที่ด้านล่างของรูปปั้น ยังได้มีการแกะสลักคำเก้าคำเอาไว้ด้วย ซึ่งมันเป็นคำพูดที่มีชื่อเสียง ที่ผิงหยวนเทาเป็นคนกล่าวออกมา
ตำนานได้เล่าเอาไว้ว่า ผิงหยวนเทาได้เข้าสู่โลกของผู้ฝึกตนตั้งแต่ที่เขายังเป็นเด็ก ในช่วงเวลานั้น ดาวเทียนหยวนยังคงเป็นสรวงสวรรค์ของเหล่าอสูรอยู่ เหล่ามนุษยชาติทำได้เพียงใช้ชีวิตดิ้นรนต่อสู่อย่างขมขื่น อยู่ภายในเมืองที่ปกครองโดยนิกายของผู้ฝึกตน สหพันธรัฐเพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน และไม่มีใครนับสหพันธรัฐว่าเป็นประเทศ ซึ่งมันเป็นสิ่งที่เหล่าเก้านิกายได้ก่อตั้งขึ้นมา เพื่อใช้สำหรับความสะดวกในการติดต่อสื่อสารกันเพียงเท่านั้น
ในเวลานั้น ผิงหยวนเทาและเด็กหนุ่มอีกกลุ่มหนึ่ง ได้เข้าร่วมกับนิกายหนึ่ง ผู้อาวุโสของนิกายได้ถามพวกเขาเพื่อเป็นการสัมภาษณ์ว่า “ทำไมพวกเธอถึงอยากบ่มเพาะ?”
เหล่าเด็กหนุ่มต่างส่งเสียงตอบคำถามกันอย่างครื้นเครง พวกเขาพูดออกมาด้วยความหึกเหิม บางคนพูดว่าอยากจะมีชื่อเสียง, ร่ำรวยเงินทอง, และมีสาวงามอยู่รอบกาย บางคนพูดว่าไม่อยากจะกลายเป็นคนแก่ อยากจะมีอิสระและไร้ขีดจำกัด บางคนพูดว่าอยากจะเรียนรู้ร้อยพันทักษะและรูปแบบของเวทมนต์ เพื่อที่จะได้ทำในสิ่งที่อยากทำ เดินทางท่องไปบนชั้นฟ้าและโลก มีบางคนที่อยากจะสังหารและฆ่าฟันเหล่าอสูรและปีศาจ เพื่อปกป้องเพื่อนพ้องและครอบครับของพวกเขา
และก็มาถึงตาของผิงหยวนเทา เขาพูดออกมาเก้าคำว่า:
“ผมอยากบ่มเพาะเพื่อให้สหพันธรัฐเฟื่องฟู!”
หนึ่งร้อยปีต่อมา ผิงหยวนเทาก็ได้สละชีวิตของเขาเพื่อเก้าคำนี้ เป็นผลให้สหพันธรัฐจบลงด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ และคำพูดเก้าคำนี้ ก็ได้กลายคติประจำใจของเหล่าผู้ฝึกตนแห่งสหพันธรัฐ เป็นแรงกระตุ้นให้พวกเขาไล่ตามและไขว้คว้าโชคชะตา, สังหารสัตว์อสูร, และทำให้สหพันธรัฐแห่งดวงดาวเป็นชนชาติที่แข็งแกร่งที่สุดในดาวเทียนหยวน!
“สุดยอดไปเลย!”
ถึงแม้ว่าเขาจะเคยได้ศึกษาประวัติของผิงหยวนเทาจากในหนังสือเรียนมาแล้วกว่าหนึ่งครั้ง และได้ยินคำพูดของเขามาก่อนแล้ว แต่เมื่อเขาได้มาเห็นคำพูดนี้บนเรือธงเหลียวหยวนฮ่าว เขาก็ยังอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ พูดกันว่า คำพูดนี้ได้ถูกแกะสลักเอาไว้ด้วยตัวของผิงหยวนเทาเอง ดังนั้น มันจึงให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป นักเรียกหลายๆคนต่างร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น พวกเขาต่างพากันเดินเข้าไปถ่ายรูปคู่กับรูปปั้น เพื่อเป็นที่ระลึก แล้วโพสต์รูปลงในอินเตอร์เนตเพื่ออวดเพื่อนๆของพวกเขา
หลี่เย้าต้องการที่จะถ่ายรูปกับรูปปั้นเช่นกัน แต่กลับถูกเจิ้งตงหมิงลากออกไปก่อน เขาได้พาหลี่เย้าเข้าไปด้านในตัวยานบิน และบอกกับหลี่เย้าว่า เขาอยากจะไปดูอะไรบางอย่าง
“รูปปั้นมันไม่วิ่งหนีไปไหนหรอกน่า เราต้องรีบคว้าโอกาสใหญ่เอาไว้ก่อน ถ้าเราช้า เราจะต้องไปแย่งกับคนอื่นนะ!”
“โอกาสใหญ่อะไรกัน?”
“ในทุกครั้งก่อนการแข่งขันท้าทายขีดจำกัดจะเริ่มขึ้น เก้ามหาวิทยาลัยชั้นนำจะมีการจัดงานสัมมนาขึ้น เรียกกันว่า ‘การประชุมสัมมนาแลกเปลี่ยน’ เพื่อเป็นการแสดงศักยภาพของทั้งเก้ามหาวิทยาลัยชั้นนำ และมีไว้สำหรับดึงดูดพวกเด็กอัจฉริยะยังไงล่ะ ในงานจะมีการจักบูธทั้งหมดเก้าบูธ เพื่อให้พวกเราได้เข้าไปดูข้อมูลของมหาวิทยาลัยทั้งเก้าได้อย่างใกล้ชิด แล้วโอกาสนี้มันก็มีแต่คนสนใน ดังนั้น เราต้องรีบแล้ว!” เจิ้งตงหมิงพูดออกมาอย่างรู้ดี
“พวกผู้ฝึกตนจากเก้ามหาวิทยาลัยชั้นนำเหรอ?” ดวงตาของหลี่เย้าเป็นประกาย เขาไม่จำเป็นต้องให้เจิ้งตงหมิงลากอีกต่อไป และเร่งความเร็วในการเดินขึ้นไปอีก
พวกเขาได้เดินเข้าไปถึงส่วนแรกของตัวยาน ภายในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้จุนักเรียนเอาไว้นับพันคน เกิดเป็นเสียงดังจอแจและบรรยากาศที่คึกครื้น
ภายในห้องโถงได้แยกออกเป็นเก้าโซน และด้านบนของแต่ละโซนก็ได้มีป้ายชื่อของแต่ละมหาวิทยาลัยเอาไว้ลอยอยู่บนอากาศ
เจิ้งตงหมิงมองดูซ้ายและขวา ก่อนที่จะลากหลี่เย้าเดินตรงไปยังโซนของสถาบันเทียนฮ้วน
“ทำไมนายถึงมาที่บูธของสถาบันเทียนฮ้วนเป็นที่แรกล่ะ? หรือพวกเขาจะเป็นสถาบันที่แข็งแกร่งที่สุดกัน?” หลี่เย้าไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเจิ้งตงหมิงนัก ดูเหมือนว่า สถาบันเทียนฮ้วนจะเป็นบูธที่มีนักเรียนเข้ามาดูมากที่สุด
“ใครจะไปสนใจ ว่าพวกเขาแข็งแกร่งหรือไม่กัน! สถาบันเทียนฮ้วนเป็นเพียงสถาบันเดียวของทั้งเก้ามหาวิทยาลัย ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการเรียนการสอนผู้ฝึกตนประเภทพลังจิตต่างหากล่ะ พวกเขาได้ผลิตสาวๆสวยๆออกมาเยอะแยะเลยล่ะ! ผู้หญิงของที่นี่แต่ละคนก็งานดีทั้งนั้น แล้วพวกหล่อนก็ยังสุดยอดมากเลยด้วย!” เจิ้งตงหมิงกลืนน้ำลายลงคอ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเปล่งประกายระยิบระยับ
พวกเขาทั้งสองได้พยายามตะเกียกตะกายเข้าไปด้านในบูธของสถาบันเทียนฮ้วน และได้พบกับบูธของสถาบันเทียนฮ้วนที่เรียบง่ายสุดๆ ซึ่งมีเพียงงานเขียนแขวนเอาไว้ที่กำแพงทุกด้าน ที่มุมหนึ่งของกำแพง มีนักศึกษาสองสามคนของสถาบันกำลังโยกหัวไปมา และสุนกไปกับโลกของเสียงดนตรี อีกด้านหนึ่ง มีนักศึกษาที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงและหนวดเคราที่ไม่ได้โกน กำลังท่องบทประพันธ์อยู่
และที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขา ก็คือนักศึกษาสาวที่สวมผ้าคลุมสีขาว เธอมีผมยาวไปจนถึงเอว ทำให้เห็นภาพของสาวงามประจำห้องเรียน เธอกำลังในระหว่างการระบายสีลงไปในรูปภาพที่เธอวาดเอาไว้
หลี่เย้ามองตามนิ้วมือที่เรียวยาวและขาวราวกับหยกของเธอ เขาพบว่า รูปแบบการลงสีของเธอนั้นต่างไปจากภาพของสาวงามในแบบที่ควรจะเป็นอย่างมาก การลงสีของเธอในแต่ละครั้ง เต็มไปด้วยความรุนแรงและเฉียบคม สิ่งที่เธอกำลังวาดอยู่นั้น เป็นภาพของท้องทะเลที่เต็มไปด้วยคลื่นลมรุนแรง มีเรือหาปลาลำเล็กที่กำลังดิ้นรนต่อสู้กับสัตว์อสูรร้ายที่มีหนวดแปดอันอยู่กลางทะเล
“ภาพวาดไปเลวเลย...”
ถึงแม้ว่าหลี่เย้าจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของการดูภาพวาดนัก แต่เขาก็สามารถรู้สึกได้ถึงพลังที่ทำให้ขนหัวลุกแผ่ออกมาจากภาพวาด เขาพยักหน้าเล็กน้อย แล้วเขาก็ได้ยินเสียงของคลื่นลมดังขึ้น
เสียงของคลื่นลมเหรอ?
หลี่เย้ารู้สึกตกตะลึง อยู่ๆ เขาก็พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ที่ดาดฟ้าเรือหาปลาลำเล็กที่กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรงลำนั้น
สิ่งที่อยู่รอบตัวเขาก็คือภาพของทะเลที่มีคลื่นลมแรง ที่กว้างใหญ่จนสุดลูกหูลูกตา หลี่เย้าเงยหน้าขึ้น แล้วเขาก็พบเข้ากับศีรษะที่ใหญ่พอๆกับภูเขาลูกหนึ่ง ของสัตว์อสูรแปดหนวดแห่งท้องทะเลยืนตระหง่านอยู่ด้านหน้าตัวเรือ ดวงตาสีแดงเลือดจ้องมองมาที่ตัวเขา มันเป้นดวงตาที่ราวกับมีพลังที่สามารถดูดกลืนดวงวิญญาณของเขาเข้าแปได้!
“อ้ากกก!”
ขนหัวของหลี่เย้าลุกขึ้น และเขาอดที่จะกรีดร้องออกมาไม่ได้
เสียงกรีดร้องนี้ คล้ายกับว่าจะทำให้ภาพลวงตาสั่นสะเทือนขึ้นมา จิตใจของเขากลับเข้าไปในร่างที่เต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเป้ง และเขาก็ตื่นขึ้นมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง
เขาหันหน้าไปมองอีกด้านหนึ่ง เจิ้งตงหมิงก็มีใบหน้าที่ซีดเผือดและขาทั้งสองข้างที่สั่นสะท้านอยู่ด้วยเช่นกัน
“ตอนนี้นายรู้แล้วใช่ไหม ว่าผู้ฝึกตนประเภทพลังจิตน่ากลัวแค่ไหน? สาวสวยคนนี้ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำร้ายใคร และภาพวาดก็ยังวาดได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น แต่มันกลับสามารถดึงเราเข้าไปในภาพลวงตาที่หน้ากลัวได้ แล้วถ้าเธอตั้งใจที่จะโจมตีเรา และใช้ภาพวาดที่เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะก็ นายคิดว่า นายจะสามารถหนีออกมาได้ไหมล่ะ?” เจิ้งตงหมิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
หลี่เยาพ่นลมหายใจยาวและคิดกลับไปถึงตอนที่เขาเข้าไปอยู่ในภาพลวงตา ภาพของสัตว์อสูรแปดหนวดที่จ้องมองมาที่เขา ยังคงติดตาเขาอยู่
แม้แต่ตอนนี้ เขาก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่า ภาพลวงตาที่น่าหวาดกลัวจะเป็นแค่เพียงภาพวาดที่ยังไม่เสร็จภาพหนึ่งได้
ผู้ฝึกตนประเภทพลังจิตนั้นน่าหวาดกลัวที่สุดอย่างแท้จริง
“เฮ้อ...ถึงจะมีสาวๆสวยๆเยอะแค่ไหน แต่ทั้งหมดก็เป็นผู้ฝึกตนประเภทพลังจิตที่จิตไม่ปกติสักคน เราไปหาเรื่องพวกเขาสุ่มสี่ส่มห้าไม่ได้หรอกนะ เราทำเพียงแค่เฝ้ามองดูอยู่ไกลๆ และห้ามไม่เคารพหรือล้อเล่นกับพวกเขาเด็ดขาด! น่ากลัวจริงๆ ลองดูไอ้บ้าที่ท่องบทประพันธ์ตรงนั้นสิ หน้าของเขาแดงเพราะความตื่นเต้น เขาท่องจนลืมทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวเขาไปจนหมด เมื่อไหร่ที่พลังจิตของเขาระเบิดออกมา ใครจะรู้ว่าเขาจะสร้างภาพลวงตาที่น่ากลัวได้ขนาดไหน รีบออกไปจากที่ตรงนี้กันเถอะ มันคงจะเลวร้ายมาก ถ้าเราถึงดึงเข้าไปอยู่ในภาพลวงตาของเขาเข้า ฉันไม่อยากจะเข้าไปอยู่ในภาพลวงตาที่น่าเกลียดน่ากลัวของไอ้หมอนี่หรอกนะ” เจิ้งตงหมิงลากหลี่เย้าออกมาจากฝูงชน และพวกเขาก็ได้เดินมาถึงบูธของอีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง