บทที่ 140 เพลงดาบพิรุณสารท
“อาหนี! ให้นายน้อยผู้นี้ได้เห็นหน่อยเถิดว่าการป้องกันของเจ้ามันทรงพลังสมคำร่ำลือหรือไม่?”
เจียงอี้ทะยานไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว เขาโคจรแก่นแท้พลังสีดำห้าสิบเส้นและกระแทกฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ใส่ร่างของอาหนี
ฟิ้วว!
เมื่อสัมผัสได้ถึงความน่าเกรงขามจากฝ่ามือของเจียงอี้ สีหน้านายน้อยเสินอิงก็เปลี่ยนไป เขาพลิกตัวกลางอากาศและม้วนตัวหลบการโจมตีของเจียงอี้ได้อย่างฉิวเฉียด แต่น่าเสียดายที่อาหนีไม่ได้โชคดีเช่นนั้น
ปังงง!
แก่นแท้พลังสีดำที่ไหลเวียนอยู่ในฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ ทำให้ตอนนี้มันมีพลังทำลายเทียบเท่ากับการโจมตีสุดกำลังของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่เจ็ดหรือขั้นที่แปดเลยทีเดียว
ความรุนแรงของมันคล้ายกับสายฟ้าที่ฟาดใส่ร่างของอาหนีและยังหลงเหลือคลื่นพลังที่เล็ดลอดไปถึงตัวอาจารย์ทั้งสองคนที่กำลังกระโจนเข้ามา
อย่างไรก็ตาม กลับเป็นตัวของเจียงอี้เองที่บังเกิดความตกตะลึง เขาไม่ได้แปลกใจที่อาจารย์ทั้งสองกระอักเลือดออกมาแม้ว่าจะได้รับเพียงคลื่นกระแทกจากการโจมตี
แต่เขาตื่นตกใจกับร่างที่เปรียบเสมือนภูเขาขนาดย่อมของอาหนี ที่แม้ว่าเสื้อผ้าจะฉีกขาด แต่กล้ามเนื้ออันใหญ่โตของเขากลับได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย… ทำไมพลังป้องกันของเขาถึงน่าได้กลัวขนาดนี้!
“โฮกกกก!”
อาหนีคำรามราวกับสัตว์อสูร เขาทุบกำปั้นเหล็กไปที่หน้าอกของตัวเองจากนั้นก็พุ่งเข้าหาเจียงอี้อย่างบ้าคลั่ง
“ตึง-ตึง!”
ทางด้านของนายน้อยเสินอิงที่อยู่กลางอากาศ เขาดิ่งลงมาพร้อมกับกระบี่อ่อนในมือและทะยานเข้าหาเจียงอี้ด้วยจิตสังหารราวกับต้องการที่จะเผด็จศึกอีกฝ่าย
“ย๊ากก!”
อาจารย์ผู้ใช้ขวานยักษ์เป็นอาวุธเองก็โถมตัวเข้าหาเจียงอี้ด้วยเช่นกัน เขากระโจนขึ้นจากพื้นและง้างขวานไปด้านหลังเพื่อที่จะใช้การโจมตีสุดแรง
“เข้ามาเลย!”
เจียงอี้คำรามพร้อมกับหยิบไข่มุกวิญญาณเพลิงออกมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้แค่ขู่ พริบตาเดียวสิ่งประดิษฐ์ประเภทดาบสีเงินก็ปรากฏขึ้นมาบนมือของเขา
แก่นแท้พลังสีดำของเจียงอี้ถูกถ่ายเทลงไปในตัวดาบ วินาทีต่อมาเงาดาบจำนวนมากก็เข้าปกคลุมท้องฟ้า
“พิรุณคิมหันต์โหมกระหน่ำ!”
เพลงดาบพิรุณของเจียงอี้สำเร็จถึงขั้นบรรลุแล้ว! เมื่อผสานกับแก่นแท้พลังสีดำ พลังทำลายที่ถูกปลดปล่อยออกมาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างเท่าทวีคูณ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อใช้ควบคู่กับเจตจำนงแห่งการสังหาร มันแทบจะทำให้การไหลเวียนของอากาศหยุดนิ่ง ความเร็วของนายน้อยเสินอิงหยุดชะงัก แม้แต่จิตสังหารก็สูญสลายไป
เป๊ง!
เมื่อดาบยาวสีเงินเข้าปะทะกับกระบี่ของเสินอิง ตัวกระบี่ก็แทบจะหักในทันที ส่วนทางด้านของเจียงอี้นั้นไม่มีความเมตตาใดๆ เขายังคงกระหน่ำฟันใส่ร่างของอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง
“อ๊ากกก!”
นายน้อยเสินอิงอ้าปากกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะม้วนตลบอยู่กลางอากาศ เสื้อผ้าของเขาถูกทำลาย ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเลือด สีหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความทรมานขณะที่ลอยกระเด็นไปไกลหลายเมตร
ชิ้ง! ชิ้ง!
ดาบยาวสีเงินไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น มันตวัดไปทางอาหนีผู้ซึ่งกำลังโยนตัวเองเข้าหาเจียงอี้ กล้ามเนื้อของเขาแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าและได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจากฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ก่อนหน้านี้
แต่ในตอนนี้ มันกลับอ่อนยวบเหมือนดั่งเต้าหู้เมื่อถูกดาบยาวสีเงินเชือดเฉือนและทิ้งรอยแผลฉกรรจ์ไว้มากมาย หากเจียงอี้ไม่ยั้งมือไว้ บางทีอาหนีคงจะกลายเป็นศพไปแล้ว
ปังง!
เจียงอี้เตะร่างอันใหญ่โตของอาหนีลอยกระเด็นออกไป จากนั้นเขาก็หมุนตัวและพุ่งเข้าหาอาจารย์ผู้ใช้ขวานยักษ์
แกร๊ก!
เมื่อต้องปะทะกับดาบยาวสีเงิน ขวานยักษ์ก็ถูกผ่าราวกับกระดาษ ดวงตาของอาจารย์ผู้นั้นเผยให้เห็นความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
“เพลงดาบพิรุณสารท!”
การโจมตีของเจียงอี้ดุดันราวกับสิงโตที่กำลังกวาดต้อนฝูงแกะ ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่การต่อสู้ของจอมยุทธที่อยู่ในระดับเดียวกันเสียด้วยซ้ำ เส้นผมดำเงาผนวกกับดวงตาสีแดงเลือดทำให้ภาพลักษณ์ของเขาในตอนนี้ดูไม่ต่างอะไรไปจากเทพปีศาจ!
“เหลือเชื่อ!”
สายตาของฝูงชนจับจ้องไปที่ดาบสีเงินของเจียงอี้ด้วยความหวาดกลัว เป็นไปได้ไหมว่ามันคือสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์? ไม่อย่างนั้น มันจะครอบครองความแหลมคมและดุดันเช่นนี้ได้อย่างไร?
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? จะเป็นไปได้อย่างไรสิ่งประดิษฐ์ระดับวิญญาณจะแสดงอานุภาพที่น่าเหลือเชื่อออกมาเมื่ออยู่ในมือของเจียงอี้? หรือมันจะเป็นเพราะแก่นแท้พลังที่เขาถ่ายเทลงไป?
ซูรั่วเสวี่ยตกอยู่ในความสับสน ดาบสีเงินเป็นของกำนัลที่เจียงอี้มอบให้กับนางในตอนที่อยู่ในสุสานราชันสวรรค์ แต่เมื่อนางรู้ว่ารองเจ้าสำนักฉีกำลังจะเปลี่ยนกฎการประลอง นางก็มอบดาบคืนให้กับเจียงอี้ในทันที
ถึงอย่างนั้นซูรั่วเสวี่ยก็ไม่คาดคิดเลยว่าสิ่งประดิษฐ์ระดับวิญญาณ เมื่ออยู่ในมือของเจียงอี้แล้ว มันกลับเปล่งอนุภาพที่เทียบเท่ากับสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ออกมา!
ไม่น่าแปลกใจเลย…
ความสงสัยในดวงตาของหยุนเฟยถูกขับไล่ออกไป หากเจียงอี้ถือครองอาวุธที่ทรงพลังเช่นนี้ นางก็สามารถหาคำอธิบายได้แล้วว่าทำไมเขาถึงสามารถจัดการกับเถาวัลย์สีเหลืองได้ จากนั้นนางก็พึมพำกับตัวเอง
“เจียงอี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้รับสมบัติจากสุสานราชันสวรรค์มาไม่น้อย เจ้ายังมีแม้กระทั่งสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์!”
ไม่ใช่แค่หยุนเฟยเท่านั้น แต่คนส่วนใหญ่ต่างก็คาดเดาในลักษณะเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าเจียงอี้ไม่ได้ซ่อนดาบสีเงินไว้กับตัว แต่มันปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า นั่นก็หมายความว่าเจียงอี้จะต้องถือครองสิ่งประดิษฐ์ประเภทควบคุมมิติซึ่งมีความสามารถเช่นเดียวกับแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณ
ฟึบ!
ในขณะที่ฝูงชนกำลังตกตะลึง ร่างของเจียงอี้ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง เขาโถมตัวเข้าหาบรรดาผู้ประลองที่เหลือซึ่งทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนแทบสิ้นสติ
“พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! การประลองเลื่อนขั้นในครั้งนี้ เจียงอี้เป็นฝ่ายชนะ!”
น้ำเสียงของผู้ที่ดูมีอายุดังกังวานอยู่ในบริเวณลานประลอง มีหลายคนตระหนักได้ถึงตัวตนของเจ้าของเสียง ไม่ใช่ว่าผู้ที่กล่าวออกมาคือจูเก๋อชิงหยุนผู้ที่ไม่เคยปรากฏตัวออกมาเลยตลอดเวลาสิบกว่าปี? ดูเหมือนว่าการประลองในครั้งนี้จะสร้างความสนใจให้กับตัวตนที่อยู่บนจุดสูงสุดของสำนักจิตอสูรเสียแล้ว
บรรดาลูกศิษย์และคณาจารย์ที่เข้าร่วมการประลองต่างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้แต่จ้านอู๋ซวงและซูรั่วเสวี่ยก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น สภาพการณ์มันชัดเจนอยู่แล้ว หากปล่อยให้การต่อสู้ดำเนินต่อไป ก็คงจะมีเพียงแค่การบาดเจ็บล้มตายซึ่งไม่มีอะไรดีต่อทั้งสองฝ่าย
เวลาเพียงแค่ไม่นานก็มีศิษย์และอาจารย์จำนวนไม่น้อยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจียงอี้ที่ครอบครองทั้งเจตจำนงแห่งการสังหารและอาวุธที่ทรงพลัง ทำให้เป็นเรื่องยากที่จะมีใครสามารถต่อกรกับเขาได้
เจียงอี้เองก็ได้ยินคำพูดของจูเก๋อชิงหยุน แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่สามารถควบคุมเจตจำนงแห่งการสังหารได้ดีพอ สีแดงในดวงตาของเขาดูเข้มข้นขึ้นจากนั้นเขาก็พุ่งเข้าหาเหล่าศิษย์ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล จิตสังหารของเขาทำให้คนเหล่านั้นแทบจะตกใจตายด้วยความกลัว
ฟึบ!
แต่ในขณะนั้นเอง ร่างของรองเจ้าสำนักฉีก็มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเจียงอี้ราวกับภูตผี โชคดีที่เขายังหลงเหลือสติสัมปชัญญะอยู่บ้างและบังคับให้ร่างของตัวเองหยุดชะงัก
รองเจ้าสำนักฉีใช้มือคว้าไปที่ดาบของเขาและเบี่ยงตัวไปอีกด้าน จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือสับที่ไปท้ายทอยของเขา หลังจากที่เจียงอี้หมดสติ รองเจ้าสำนักฉีก็หันหน้ามาและออกคำสั่ง
“นำเขาออกไป… ส่วนเจ้า ซูรั่วเสวี่ย หลังจากที่เขารู้สึกตัวแล้ว เจ้าจงถ่ายทอดศาสตร์ลับฝึกสัตว์วิญญาณและมอบเครื่องรางสัตว์วิญญาณให้กับเขาด้วย”
จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนรีบมาพาตัวเจียงอี้กลับไปอย่างรวดเร็ว ทางด้านของผู้เข้าประลองที่เหลือต่างก็ถูกนำตัวไปรักษา จากนั้นฝูงชนที่กำลังมุงดูต่างก็เริ่มแยกย้ายจากไป
หลายคนถอนหายใจออกมาด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย การต่อสู้ในครั้งนี้เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าเจียงอี้คือศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักอย่างแท้จริง!
……
ณ ตำหนักขนาดเล็กที่ดูน่าเกรงขามซึ่งตั้งอยู่ภายในตำหนักของหน่วยลับ รองเจ้าสำนักฉีเดินเข้ามาด้วยความเร่งรีบ เบื้องหน้าของนางคือชายซึ่งดูมีอายุและกำลังนั่งอยู่บนรถเข็น นางคารวะเขาด้วยความเคารพ “ท่านเจ้าสำนัก!”
มันน่าเหลือเชื่อยิ่งนักที่ชายผู้นั่งอยู่บนรถเข็นคือเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักจิตอสูร, จูเก๋อชิงหยุน! แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าขาของเขาถูกทำลายและต้องนั่งอยู่บนรถเข็นมาสิบห้าปี ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา จูเก๋อชิงหยุนไม่เคยปรากฏตัวต่อที่สาธารณะ เห็นได้ชัดว่ามันเกี่ยวข้องกับขาที่พิการของเขา
จูเก๋อชิงหยุนดูแก่ชราและมีผิวที่สากเหมือนกับเปลือกไม้ ดวงตาของเขากำลังปิดเหมือนกับคนที่กำลังหลับอยู่
เมื่อเขาได้ยินเสียงเรียกของรองเจ้าสำนักฉี เขาก็ลืมตาขึ้นและจ้องมองมายังหญิงชราด้วยความสงบ
“ท่านเจ้าสำนัก”
รองเจ้าสำนักฉีไม่กล้าที่จะสบตากับเขา นางก้มศีรษะลงเล็กน้อยและลดเสียงต่ำลง “ท่านได้สังเกตเห็นอะไรในการต่อสู้เมื่อครู่บ้างไหมเจ้าคะ?”
จูเก๋อชิงหยุนหลับตาลงอีกครั้งและส่ายศีรษะเบาๆก่อนที่จะเอ่ย
“ข้าไม่กล้าตรวจสอบรายละเอียดเบื้องลึกและทำเพียงแค่ส่งจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปเท่านั้น เด็กคนนี้อยู่ในขอบเขตฉูติ่งขั้นที่เจ็ดจริงๆ เหตุผลที่เขาแข็งแกร่งจนผิดปกติเช่นนี้ก็เป็นเพราะพลังงานสีดำที่อยู่ในร่างกายของเขา ดาบสีเงินก่อนหน้านี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับวิญญาณไม่ผิดแน่ แต่เมื่อมันผสานกับพลังงานลึกลับในตัวเขา พลังของมันก็ถูกยกระดับขึ้น”
“พลังงานสีดำ?”
รองเจ้าสำนักฉีรำลึกถึงฉากที่เจียงอี้ปลดปล่อยฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ออกมา ตอนนั้นนางก็สังเกตเห็นประกายแสงสีดำเช่นเดียวกัน คิ้วของนางขมวดเข้าหากันขณะถามด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่ว่าภายในร่างของเขาสมควรมีเพียงแก่นแท้พลังสีน้ำเงินหรือเจ้าคะ? เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะมีกายวิญญาณชนิดพิเศษที่ช่วยให้สามารถกักเก็บพลังงานชนิดอื่นไว้ในตันเทียนได้?”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ!”
จูเก๋อชิงหยุนถอนหายใจออกมาก่อนที่จะกล่าวต่อ “อีเพียวเพียวมีภูมิหลังที่ลึกลับ และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่านางมาจากที่ไหนกันแน่”
“แต่ความแข็งแกร่งของนางกลับเป็นสิ่งที่ท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง นางสามารถทะลวงสู่ขอบเขตเสินโหยวได้ตั้งแต่ตอนที่อายุเพียงสิบแปดปี”
“ในปีนั้นเมื่อข้าเพิ่งบรรลุขอบเขตจินกัง ข้ากลับต้องเกือบตายภายใต้เงื้อมมือของนาง! แต่น่าเสียดายนักที่แม่นางอีเพียวเพียวต้องใจสลายเพราะเจียงเปี๋ยหลี หากว่านางไม่จากไปเร็วเช่นนั้น นางคงจะกลายเป็นตัวตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของทวีปนี้เป็นแน่…”