ตอนที่ 7 เริ่มการทดสอบ!
''หากข้าปล่อยโอกาสอันหาได้ยากที่จะได้อยู่สองต่อสองกับสาวสวยเช่นศิษย์พี่ สมองข้าคงมีปัญหาเป็นแน่แท้''
ป๋ายเสี่ยวเฟยหัวเราะอย่างขบขัน เสี่ยวเอ้อผู้อยู่ข้างๆ เห่าออกมาสองครั้งพลางส่ายหาง
''คนที่กล้าพอที่จะเกี้ยวพาราสีกับศิษย์พี่หญิงในสถาบันมีไม่ค่อยมาก เจ้ารู้หรือไม่เพราะเหตุใด? ''
รอยยิ้มของฉินหลิงหยานซ่อนไว้ซึ่งความลึกลับที่ยากจะอธิบายในขณะที่นางจ้องป๋ายเสี่ยวเฟย
''ข้าเดาว่าเป็นเพราะวิธีการของพวกเขาไม่ถูกต้องพวกเขาจึงถูกจัดการ ศิษย์พี่ไม่ต้องเป็นกังวลข้าไม่โง่เหมือนพวกมัน''
คำตอบของป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ใช่สิ่งที่นางคาดหวัง นางรู้ตัวเป็นครั้งแรกว่าเด็กหนุ่มตรงนี้ไม่ได้อ่อนหัดอย่างที่เธอคิด
''ช่างน่าอัศจรรย์นัก ถ้างั้นบอกข้าว่าเจ้าตั้งใจจะเกี้ยวพาราสีข้าอย่างไรเพื่อไม่ให้จบลงในแบบเดียวกับคนพวกนั้น? ''
ความสนใจในแววตาของนางเพิ่มขึ้น ฉินหลิงหยานถามต่อทันที่หมายปั้นจะให้ป๋ายเสี่ยวเฟยตอบให้ได้
''ก่อนอื่น... ข้าจะให้ศิษย์พี่หญิงเลี้ยงอาหารข้ามื้อใหญ่จากนั้นท่านจะเจ็บปวดใจจนไม่สามารถลืมข้าลงและท่านจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ข้าชดใช้''
หลังจากป๋ายเสี่ยวเฟยพูดจบ ฉินหลิงหยานไม่อาจทนได้อีกต่อไป เสียงหัวเราะดังกังกานไปทั่ว นัยน์ตากลมสวยของนางหดลงเล็กน้อยในขณะที่เธอจ้องป๋ายเสี่ยวเฟยเขม็ง
''เช่นนั้นข้าควรไปเตรียมการให้คนมาขัดขวางเจ้าใช่หรือไม่? เพราะไม่งั้นเจ้าคงทำข้าจนเป็นแน่แท้? ''
แววตาของนางเต็มไปด้วยความขบขัน นางไม่เชื่อว่าจะมีคนที่กินเยอะถึงขนาดทำให้นางจนได้ในมื้อเดียว
''เป็นเกียรติของข้าหากจะถูกศิษย์พี่หญิงกลั่นแกล้ง''
ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าว เสี่ยวเอ้อเห่าสองรอบตามเป็นจังหวะ
''หุ่นเชิดมีชีวิตของเจ้าช่างฉลาดยิ่งนัก เหตุใดมันจึงเหมือนกับหุ่นระดับน้ำเงินล่ะ? ''
ฉินหลิงหยานย่อตัวลงนางยื่นแขนออกไปลูบหัวเสี่ยวเอ้อ มันส่ายหางตอบด้วยความดีใจ
ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าว
''ข้าไม่แน่ใจว่ามันยกระดับขึ้นเป็นขั้นน้ำเงินได้อย่างไร ตอนแรกมันเป็นเพียงหุ่นระดับขาวเท่านั้น''
ฉินหลิงหยานเลิกคิ้วสวยๆ ของนางขึ้น
ส่วนใหญ่ระดับของหุ่นเชิดจะสอดคล้องกับระดับของนักเชิดหุ่น ระดับถูกกำหนดจากสีของหุ่นเมื่อมันถูกใช้งานจากต่ำไปสูงมีสี ขาว น้ำเงิน เหลือง แดง ม่วง ทอง ทองคำม่วง ทองคำดำ เทวะ ระดับสุดท้ายมีเพียงในทฤษฎีเท่านั้นเช่นกัน
''หุ่นเชิดตัวแรกของเจ้าระดับขาว?! ''
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อส่งผลให้เสี่ยวเอ้อครางออกมาอย่างโศกเศร้า ความตื่นเต้นในตอนแรกพลันเลือนหายไปหมด
''ทำไมหรือ? หุ่นเชิดล้วนยกระดับได้ทั้งนั้น ข้ามั่นใจว่าเสี่ยวเอ้อจะกลายเป็นหุ่นเชิดทองคำม่วงในอนาคตเป็นอย่างน้อย''
ป๋ายเสี่ยวเฟยไม่ยี่หระกับคำพูดของนาง เขาอ้าแขนให้เสี่ยวเอ้อ มันกระโจนเข้าหาป๋ายเสี่ยวเฟยทันที
''เจ้ามองโลกในแง่ดีเหลือเกิน แต่ข้าไม่เคยเห็นหุ่นเชิดตัวใดที่ยกระดับได้สูงขนาดนั้นมาก่อน ข้าต้องไปแล้วโชคดีในการสอบพรุ่งนี้''
ระดับของเสี่ยวเอ้อส่งผลต่อความสนใจของฉินหลิงหยานอย่างมากและการสนทนาสองต่อสองซึ่งหาโอกาสได้ยากสำหรับป๋ายเสี่ยวเฟยก็ได้จบลง
''เฮ่อ พูดเสร็จก็จากไป คนจากโลกภายนอกเป็นอย่างที่ท่านแม่บุญธรรมกับคนอื่นๆ กล่าวไว้ไม่มีผิด พวกเขาล้วนตัดสินคนจากภายนอกทั้งนั้น''
ป๋ายเสี่ยวเฟยถอนหายใจพลางลูบหัวเสี่ยวเอ้อ เขายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์'
'เป็นอย่างไร? ทันเวลาหรือไม่? ''
''โฮ่ง โฮ่ง! ''
เสี่ยวเอ้อส่ายหางอีกครั้ง ลิ้นของมันที่เอียงไปทางด้านข้างพลันสะบัดขึ้น
''ยอดเยี่ยม ในเมื่อนางดูถูกพวกเรานัก งั้นต้องกินให้เจ็บ! ''
ป๋ายเสี่ยวเฟยลูบจมูกตนเองตาของเขาจ้องมองไปยังทิศทางที่ฉินหลิงหยานเดินจากไปริมฝีปากขยับขึ้นเล็กน้อย
'รอก่อนเถิดศิษย์พี่หญิง! '
''โฮ่ง โฮ่ง! ''
เสียงเห่าของเสี่ยวเอ้อดังกังวานไปทั่วหอพักที่ซึ่งข้างในเหลือเพียงป๋ายเสี่ยวเฟยที่ยังอยู่ หลังจากเสี่ยวเอ้อเลียป๋ายเสี่ยวเฟยสักพัก เขาจึงจะตื่นจากฝัน
''ไอ้หยา! วันนี้สอบ! ''
ป๋ายเสี่ยวเฟยกระโดดโหยงขึ้นจากเตียงรีบวิ่งออกนอกหอพัก ทั้งตัวเขาสวมใส่แค่กางเกงขาสั้นไม่มีแม้แต่เวลาจะใส่รองเท้า ความเร็วของเขาไม่ด้อยไปกว่าคนที่ถูกตามสังหาร
ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเขาผู้...
เอ่อ ช่างมันเถอะ
อย่างไรก็ตามป๋ายเสี่ยวเฟยสามารถไล่ตามรถม้าคันสุดท้ายได้ทันหลังจากวิ่งสุดกำลังอยู่สักพักและประสบความสำเร็จในการกระโดดขึ้นสู่รถม้าในวินาทีสุดท้ายที่คนจับเวลานับ
แต่เจ้า''ม้า''ตัวนี้ช่าง... โอ่อ่าเหลือเกิน!
สัตว์อสูรระดับวิญญาณ อาชาเกล็ดทมิฬ!
สามารถกล่าวได้ว่าสัตว์อสูรและนักเชิดหุ่นเป็นศัตรูชั่วฟ้าดินสลาย หากสัตว์อสูรและนักเชิดหุ่นระดับเดียวกันต่อสู้ห้ำหั่นสัตว์อสูรจะเป็นฝ่ายชนะเสียส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหากระดับของพวกเขาต่ำเพราะนักเชิดหุ่นระดับต่ำสามารถควบคุมหุ่นเชิดได้น้อย
พูดอีกอย่างก็คืออาชาเกล็ดทมิฬตัวนี้สามารถอัดป๋ายเสี่ยวเฟยให้น่วมจนครอบครัวจำเขาไม่ได้อีก!
ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนของรถม้าจากสถาบันชิงหลัวมีมากมายจนนับไม่ถ้วน! ชื่อเสียงสถาบันอันดับหนึ่งดูเหมือนจะไม่ได้มีไว้แค่โอ้อวดเสียแล้ว!
ที่สำคัญก็คือป๋ายเสี่ยวเฟยได้กลายมาเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจในรถม้าเป็นที่เรียบร้อย...
ผู้ชายสุมหัวซุบซิบส่วนผู้หญิงก้มหน้าแดงเอียงอายของพวกนาง...
''เจ้ามีเวลาสิบวินาทีในการใส่ชุด! ''
ศิษย์พี่ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลรถม้าไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาหยิบเสื้อผ้าจากแหวนมิติส่งให้ป๋ายเสี่ยวเฟย
''ขอบคุณศิษย์พี่! ''
ป๋ายเสี่ยวเฟยยิ้มเจือเจ้าเล่ห์พลางใส่อาภรณ์อย่างเร่งรีบมีเพียงสองเท้าเท่านั้นที่ยังเปล่าเปลือยแต่ก็ยังดีกว่าเมื่อครู่นัก
''ศิษย์พี่ท่านชื่อว่าอะไร? หลังจากข้าสอบผ่านจะมีคนเลี้ยงอาหารข้าและข้าจะพาท่านไปด้วยพร้อมกับคืนเสื้อให้ท่าน''
เป็นอีกครั้งที่ความสามารถประจำตัวในการตีสนิทคนแปลกหน้าของป๋ายเสี่ยวเฟยเข้ามามีบทบาท รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้น
''ข้าชื่อป๋ายเย่ ลืมเรื่องเลี้ยงอาหารข้าและเสื้อนั่นเจ้าก็ไม่ต้องคืน ข้าไม่มีรสนิยมใส่เสื้อผ้าที่ถูกคนอื่นใส่แล้ว''
ป๋ายเย่สีหน้าเย็นชาไม่มีท่าทีสนใจป๋ายเสี่ยวเฟยแม้แต่น้อย
''คนกันเองแท้ๆ! แต่เฮ้อ... ช่างน่าเสียดายที่ข้าคงไม่อาจกินให้ศิษย์พี่หญิงหลิงหยานยากจนเสียแล้ว...''
ป๋ายเสี่ยวเฟยกล่าวอย่างจงใจเอ่ยชื่อฉินหลิงหยาน ร่องรอยความเสียดายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาในขณะที่ถอนหายใจ
'''เจ้าว่ากระไร!? '
ท่าทีของป๋ายเย่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้า ความตื่นเต้นมีให้เห็นอยู่ทุกที่ทั้งบนใบหน้าและน้ำเสียง
''ศิษย์พี่หญิงหลิงหยานนางสัญญาว่าจะเลี้ยงอาหารข้ามื้อนึงหากข้าสอบผ่าน ท่านจะได้เจอนางในไม่ช้าเพราะนางเป็นศิษย์พี่ที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้ารอกลุ่มของพวกเรา''
สีหน้าของป๋ายเสี่ยวเฟยราบเรียบเขาพูดถึงฉินหลิงหยานราวกับว่าพวกเขารู้จักมักจี่กันมานาน
''เจ้ารู้จักหลิงหยานจริงหรือ!? ''
ใบหน้าตกใจแทนที่ด้วยประกายสงสัย
'ข้าไม่เคยได้ยินว่าหลิงหยานมีญาติหรือเพื่อนเข้าร่วมการทดสอบในปีนี้ ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริงมันเป็นไปได้หรือที่คนระดับนั้นจะใช้บัตรเชิญระดับธรรมดาเข้าสอบ?'
หัวใจของป๋ายเสี่ยวเฟยพลันกระตุก
'บัดซบ! จากวิธีเรียกชื่อของป๋ายเย่ พวกเขาคงสนิทกันไม่มากก็น้อย! '
ป๋ายเสี่ยวเฟยสันนิษฐานว่าป๋ายเย่คงเคยได้ยินชื่อฉินหลิงหยานมาบ้าง เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าตนจะโชคร้ายได้มาเจอศิษย์พี่ที่เป็นคนรู้จักของนาง
ป๋ายเสี่ยวเฟยผู้มีประสบการณ์โชกโชนไม่ปล่อยให้อารมณ์ปรากฏบนสีหน้า เขากล่าวต่อด้วยเสียงราบเรียบ
''ข้าจะไปกล้าโกหกศิษย์พี่ได้อย่างไร? ในเมื่อท่านสามารถยืนยันได้ไม่ช้า หากข้าพูดปดมิเท่ากับข้ารนหาที่ตายหรือ? ''
''ท่านสนิทกับนางงั้นหรือศิษย์พี่? เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินนางพูดถึงท่านเล่า...''
ป๋ายเสี่ยวเฟยโต้กลับอย่างรุนแรง ภายใต้การจู่โจมของเขาป๋ายเย่อดไม่ได้ที่จะหน้าเปลี่ยนสี ร่องรอยความเคอะเขินปรากฏขึ้นโดยพลัน
''เรื่องนั้น... ไว้คุยทีหลัง''
ป๋ายเย่ไอสองครั้งจากนั้นจึงเปลี่ยนเรื่อง
''สำหรับมื้ออาหาร..ข้า...''
ไม่มีร่องรอยเย็นชาอยู่บนหน้าของป๋ายเย่อีกต่อไป กระทั่งน้ำเสียงของเขายังเปลี่ยนเป็นการยกยอ
''ให้ข้าจัดการเอง! ''
ป๋ายเสี่ยวเฟยยืดอกพลางถอนหายใจยาวเหยียดข้างใน
'ไปได้สวย! '