DTH ตอนที่ 17 ชื่อเสียง
ณ ถนนด้านข้างศาลาเสาวธารเมามาย
เหลียง หยงฉีกำลังนอนอยู่ตรงนั้นด้วยผมที่ยุ่งเหยิง
เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตอนนี้เขาตายไปแล้วหรือว่ายังมีชีวิตอยู่
ขาข้ารับใช้ของเหลียง หยงฉีสั่นมีเพียงแค่การคุกเข่าเท่านั้นที่ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย
“ทำไมกัน?” ใบหน้าของเหลียง หยงฉีเต็มไปด้วยน้ำตา มันหยดลงมาจากใบหน้าของเขาเหมือนสายน้ำที่ไม่สามารถหยุดได้
เขากำลังหลงทาง
สมองของเขาไม่ตอบสนอง
แต่ในที่สุดเขาก็กัดฟันและตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
“หลิน ฟานตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่ขออยู่ร่วมโลกกับเจ้า!”
เสียงคำรามของเขาฟังดูบ้าคลั่งราวกับสัตว์ป่า
“ความโกรธ +333”
ข้ารับใช้รีบก้มหน้าลงและไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้ากัน
นายน้อยของพวกเขาถูกทำร้าย
และท่านก็คงโกรธมากจนใครก็ตามที่เจอท่านจะต้องรู้สึกว่าโชคร้าย
ชาวบ้านที่ซ่อนตัวอยู่ออกไปไม่ไกลมองมาทางพวกเขาอย่างเย็นชาราวกับว่ากำลังมองละครเรื่องหนึ่ง
สำหรับพวกเขาแล้วไม่มีคนดีในตระกูลชนชั้นสูง
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเร็วๆนี้พวกเขากลับได้ยินมาว่านายน้อยตระกูลหลินไม่ใช่คนเลว
เหลียง หยงฉีสังเกตเห็นว่ามีสายตาหลายคู่กำลังมองมาที่เขา เขาจึงเงยหน้าขึ้นและตะโกนออกไปว่า “พวกเจ้ากำลังมองอะไรอยู่! ถ้ายังคิดที่จะดูต่อไปละก็ ข้าจะเป็นคนฆ่าพวกเจ้าซะ!”
เมื่อชาวบ้านได้ยินแบบนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า และแยกย้ายกันไปทำสิ่งที่ตัวเองต้องทำต่อ
ถึงพวกเขาจะเกลียดตระกูลชนชั้นสูงมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็ไม่กล้ามีเรื่องด้วย
เหลียง หยงฉีลุกขึ้นด้วยความโกรธ เขาก้มหน้าและเดินจากไป
เขาจะจำความเกลียดชังนี้เอาไว้
ผู้จัดการเฉินรู้สึกว่านายน้อยได้สร้างปัญหาขึ้นอีกครั้งแล้ว
ตระกูลเหลียงจะต้องมาขอคำอธิบายเรื่องที่นายน้อยไปทุบตีนายน้อยสามของตระกูลเหลียงแน่
และด้วยความประทับใจของหัวหน้าตระกูลที่มีต่อนายน้อย มันคงจะส่งผลให้ความโกรธประทุขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อสังเกตดูดีๆแล้วตอนนี้มันมีผู้ลี้ภัยมากขึ้น
แต่สำหรับตระกูลชนชั้นสูงคนพวกนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากมด
“ผู้จัดการเฉิน คนพวกนี้มาจากไหนกัน? ทำไมข้ารู้สึกว่ามันเยอะขึ้นทุกวัน?” หลิน ฟานถาม
ผู้จัดการเฉินตอบ “สำหรับคำถามของนายน้อย พวกเขามาจากหลายพื้นที่หลายปัญหา บางคนบ้านถูกทำลายโดยสัตว์ร้ายและบ้างก็เกิดจากภัยธรรมชาติ มีความเป็นไปได้ทุกอย่าง”
“ไม่มีใครใส่ใจพวกเขาเลยงั้นเหรอ?” หลิน ฟานรู้สึกว่าบางอย่างมันไม่ถูกต้องโลกนี้มันจะถึงจุดจบแล้วรึไง?
มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแต่ก็ไม่มีใครคิดที่จะใส่ใจ
เมื่อมาคิดๆดูแล้วโลกที่เขาเคยอาศัยอยู่นั้นดีกว่ามาก
เพราะเมื่อมีคนที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหามันก็มักจะมีคนพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลืออยู่เสมอ
“ไม่มี” ผู้จัดการเฉินส่ายหน้า เขามีรู้สึกว่าครั้งนี้นายน้อยน่าจะต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้อีกครั้งแน่
ที่ผ่านมาทำไมเขาถึงไม่สังเกตเลยนะว่าท่านเป็นคนดีมากขนาดนี้
ในวันนี้อากาศมันร้อนมาก
ดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้ากำลังลอยอยู่สูงบนท้องฟ้า มันจะยอดเยี่ยมมากถ้ามันเป็นในตอนเช้าที่อากาศเย็น แต่ตอนนี้ที่พวกเขาอยู่มันเป็นตอนบ่าย ภายใต้แดดที่ร้อนชัดเช่นนี้ อาจจะมีใครสักคนล้มลงเพราะเป็นลมแดดก็ได้
เมื่อกลุ่มของหลิน ฟานเดินมาถึงประตูเมือง พวกเขาก็มองไปทางผู้ลี้ภัยที่อยู่ด้านนอก
ผู้ลี้ภัยข้างนอกก็สังเกตเห็นหลิน ฟานเช่นกัน
พวกเขาล้วนแล้วแต่ไร้อารมณ์ มันไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของพวกเขามากนักเมื่อมองมา
และถ้าสังเกตดูดีๆ พวกเขาบางคนถึงกับร้องไห้และคุกเข่าพร้อมกับคนในครอบครัวเพื่อขอให้รับพวกเขาไปดูแลแลกกับการที่จะทำงานให้
อย่างไรก็ตามสถานการณ์มันไม่ได้ดูเป็นแบบนั้น
เพราะบางทีการที่ผู้ลี้ภัยมาขอความช่วยเหลือแบบนี้มันก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากการขอความตาย พวกเขาไม่เพียงจะต้องตายอย่างไร้ศักดิ์ศรีเท่านั้น แต่ยังทรมานก่อนตายอีกด้วย
“ผู้จัดการเฉินถ้าข้าให้พื้นที่เพาะปลูกที่อุดมสมบูรณ์แก่พวกเขา ท่านพ่อจะตีข้าจนตายรึไม่?” หลิน ฟานถาม
เมื่อเขาพูดแบบนั้น ผู้จัดการเฉินก็คุกเข่าลงไปกับพื้นทันที
“นายน้อย ท่านห้ามทำแบบนั้นเด็ดขาด!”
ผู้จัดการเฉินเป็นคนที่อยู่มานานหลายทศวรรษ ทั้งชีวิตที่ผ่านมาของเขา เขาไม่เคยรู้สึกกลัวมากเท่าวันนี้มาก่อน
เขากลัวจนจะตายให้ได้
“เอาล่ะลุกขึ้นได้แล้ว ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้น” หลิน ฟานพูด
ผู้จัดการเฉินถอนหายใจอย่างโล่งอก “ดีแล้ว นั่นมันดีแล้ว”
ถ้านายน้อยทำตามสิ่งที่ท่านพูดจริงๆแล้วล่ะก็ มันอาจจะทำให้เขากลัวจนตายเลยก็เป็นได้
“ข้าเพียงแค่ถามเท่านั้น และไม่ว่าพ่อจะฆ่าข้าหรือไม่ ยังไงข้าก็จะทำอะไรสักอย่างอยู่ดี”
“นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องความรับผิดชอบเท่านั้น”
“แต่มันคือการปกป้องตระกูลหลิน เพราะถ้าหากว่าเรามีที่ดินแต่กลับไม่ได้ใช้มันเพื่อเพาะปลูก มันก็จะเป็นได้เพียงแค่ขยะเท่านั้น”
หลิน ฟานคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรอบคอบ
เพื่อให้เขาสามารถใช้ชีวิตในฐานะนายน้อยได้ต่อไป เขาจะต้องเติมเต็มสิ่งที่หายไปก่อนหน้านี้
ภาษีฟาร์มก่อนหน้านี้มันโหดร้ายเกินไป และพวกเขาจะต้องตายถ้าไม่ได้จ่าย
อย่างไรก็ตามพื้นที่การเพาะปลูกของพวกเขามันก็มีไม่เพียงพอที่จะทำตามเป้าหมาย แต่ทุกปัญหามันจะหมดไปถ้าเขาสามารถรวบรวมพื้นที่ที่ว่างอยู่และแจกจ่ายออกไปได้
ผู้จัดการเฉินไม่รู้ว่าจะตอบนายน้อยยังไงดี
คำพูดของท่านฟังดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“ลูกพี่ลูกน้อง เจ้าคิดว่าสิ่งที่ข้าพูดมันถูกต้องรึไม่?” หลิน ฟานถามออกมา
โจว เชียงเหมาพยักหน้า “ลูกพี่ลูกน้องพูดถูกแล้ว”
โกวชิพยักหน้าตามเงียบๆ
นายน้อยเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์
ท่านช่างน่านับถือจริงๆ
“ผู้จัดการเฉินไม่ต้องกังวล เจ้าเพียงแค่ต้องทำตัวเหมือนไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน เดี๋ยวข้าจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเอง” หลิน ฟานตบไหล่ผู้จัดการเฉินและพูดด้วยความมั่นใจ
การเป็นผู้จัดการเฉินคนนี้ไม่ง่ายนัก
เพราะเขาจะต้องติดตามนายน้อยและแบกรับแรงกดดันทางจิตใจที่ยิ่งใหญ่อยู่เสมอ
เขาสามารถเข้าใจได้
เขาสามารถเห็นอกเห็นใจได้
แต่เขาไม่สามารถทำตามความรู้สึกได้
ดังนั้นเขาจึงต้องทำสิ่งต่างๆภายใต้แรงกดดัน
หากเขาไม่สามารถรับแรงกดดันได้ เขาก็จะไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้
“โกวชิไปบอกกับพวกเขาว่าข้าจะแบ่งที่ดินให้ ผู้ที่ต้องการให้ตามข้ามา” หลิน ฟานพูด
“ขอรับนายน้อย ข้าจะทำตามที่ท่านสั่งทันที” พ่อของโกวชิเคยเป็นผู้ลี้ภัยมาก่อนและต่อมาเนื่องจากความโชคดี เขาจึงถูกรับเลือกให้เป็นคนรับใช้ของตระกูลหลิน แม้ว่าเขาจะไม่มีอิสระ แต่มันก็แลกมาด้วยการที่ไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าและอาหาร โดยรวมแล้วเขาถือว่าโชคดีกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้มาก
โกวชิวิ่งไปหาผู้ลี้ภัยอย่างรวดเร็ว
ผู้จัดการเฉินต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็หยุดเอาไว้ก่อน
สิ่งที่เขาต้องการจะพูดจริงๆเลยก็คือ นายน้อยเราสามารถทำแบบนี้ได้จริงๆหรือ?
ถ้าหัวหน้าตระกูลรู้เรื่องนี้ท่านคงจะต้องโกรธอีกครั้งแน่
หลังจากนั้นไม่นานฝูงชนข้างหน้าก็เริ่มโวยวาย
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของโกวชิทำให้พวกผู้ลี้ภัยตกตะลึงและไม่อยากจะเชื่อ
“พวกเจ้ายังฟังข้าอยู่ใช่ไหม? ท่านที่ยืนอยู่ตรงนี้คือนายน้อยของข้า ท่านไม่สามารถทนดูพวกเจ้าหิวโหยได้ ท่านจึงเปิดโอกาสให้พวกเจ้าทุกคนได้ยืนหยัดด้วยตัวเอง หากเจ้าเชื่อก็ตามมา! แต่ถ้าไม่ก็อยู่เฉยๆไปซะ!”
โกวชิตะโกนจนลมหมดปอด
เขาเป็นตัวแทนของนายน้อย เพราะฉะนั้นเขาจึงต้องทำให้บรรยากาศรอบตัวของเขาไม่อ่อนแอและต้องดูเหมือนว่ามาจากตระกูลขุนนางที่ทรงพลัง
ผู้ลี้ภัยที่กำลังตกตะลึงต่างก็มองหน้ากัน
“เจ้าว่ามันเป็นเรื่องจริงๆไหม?”
“ตระกูลชนชั้นสูงจะใจดีแบบนี้จริงๆเหรอ?”
ไม่มีใครขยับ
บางทีพวกเขาอาจจะไม่เชื่อว่ามันจะมีอาหารตกลงมาจากท้องฟ้า
และพวกเขาก็ไม่เชื่อว่าคนจากตระกูลขุนนางจะให้ที่ดินกับพวกเขา
หลิน ฟานรู้สึกแย่เล็กน้อย
การเป็นตระกูลชนชั้นสูงมันทำให้พวกเขากลัวได้ขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?
ให้พื้นที่เพาะปลูกฟรีแต่กลับไม่ต้องการ? พวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงได้คิดว่าโลกมันไม่มีแสงสว่างแบบนี้?
ตอนนี้ผู้จัดการเฉินรู้สึกโล่งใจ เพราะโชคดีที่ผู้ลี้ภัยไม่เชื่อ และดูเหมือนว่ามันจะช่องว่างให้เขาได้ผ่อนคลายอยู่บ้าง
“พวกเจ้ายังลังเลอะไรอีก? นายน้อยท่านอุสาให้ที่ดินแก่พวกเจ้า แต่พวกเจ้ากลับไม่ต้องการมัน?”โกวชิกังวล
เกิดอะไรขึ้น?
มันเป็นเรื่องที่ดี แต่ทำไมถึงไม่มีใครเลยสักคนที่สนใจ!
ตอนนั้นเองก็ได้มีหนึ่งในผู้ลี้ภัยพูดขึ้นมา “มันจะมีสิ่งที่ดีแบบนี้เกิดขึ้นกับเราได้ยังไง? เจ้าต้องพยายามโกหกเราแน่ๆ!”
ผู้จัดการเฉินพูด “นายน้อยเราน่าจะลืมเรื่องนี้ไป เพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เชื่อท่าน”
“ไม่ ข้าไม่เชื่อว่าวันนี้จะไม่มีใครเชื่อข้าแม้ว่าข้าจะให้พื้นที่กับพวกเขา” หลิน ฟานโบกมือและพูดอย่างไม่พอใจ “ข้าคือนายน้อยของตระกูลหลิน และข้าก็ไม่เคยโกหกใครมาก่อน เจ้า...”
ก่อนที่เขาจะพูดจบก็มีความปั่นป่วนเกิดขึ้นในหมู่ผู้ลี้ภัย
“เขาคือนายน้อยของตระกูลหลิน?”
“ถ้าเป็นตระกูลหลินเราเชื่อ!”
ผู้ลี้ภัยเชื่อเขาแล้ว!
เพราะเมื่อตอนที่ผู้ลี้ภัยเดินทางมาที่นี่พวกเขาได้ผ่านหมู่บ้านตระกูลหวัง และได้ยินมาว่านายน้อยหลินเป็นคนดี เพราะท่านเห็นว่าพวกเขาน่าสงสารจึงงดเว้นภาษีของปีนี้ให้
ในสายตาของผู้ลี้ภัยแล้วเรื่องดีๆแบบนี้มันจะเกิดขึ้นได้ยังไง?
แต่อย่างไรก็ตามในภายหลังมันก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องจริง
“เมื่อรู้แบบนั้นแล้วพวกเจ้าจะลังเลอะไรอีก? รีบตามข้ามา! หลังจากนี้ข้าจะต้องไปที่ศาลาเสาวธารเมามายต่อ” หลิน ฟานเร่งพวกเขา
แม้ว่าเขาจะพูดอย่างสบายๆและดูไม่จริงจัง
แต่ข้างในของหลิน ฟานตอนนี้อารมณ์ดีมาก
เขาไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะมีชื่อเสียงมากขนาดนี้
เพราะแม้แต่ผู้ลี้ภัยยังรู้จักเขา
ไม่เลว