เซียนเหนือวิถี บาทที่ 60 (ฟรี)
บาทที่ 60
ปกติแล้วพวกเธออยู่กับสำนักคุ้มกันภัย ทุกสิ่งทุกอย่างพวกเธอไม่ต้องซื้อหาเองเพราะว่าพ่อบ้านจะเป็นคนคอยจัดการให้อยู่แล้ว ต่อจากนั้นพวกเธอก็ออกปฏิบัติการล้างกองกำลังโจร นี่ยิ่งไม่ต้องคิดมากเรื่องเสื้อผ้าหรือว่าอาหารเมื่อฉงฮุ้ยจินได้ตระเตรียมไว้ให้เธอตั้งแต่ต้น และตอนที่อยู่ในค่ายโจร พวกเธอก็ใช้ของที่โจรใช้เป็นของตนเอง
จนวันนี้พวกเธอเพิ่งตระหนักว่าพวกเธอไม่มีเงินแม้สักแดงเดียว
ถึงแม้ว่าพวกเธอได้รับการฝึกฝนและอยู่อย่างสมถะมาตั้งแต่ต้น แต่ก็ใช่ว่าพวกเธอไม่รักสวยรักงาม เวลาฝึกฝน เวลาปฏิบัติการ และเวลาส่วนตัวมันแตกต่างกัน
เมื่อฉงฮุ้ยจินพูดออกมาทำให้พวกเธอนึกขึ้นได้ว่าตลอดมานี้พวกเธอใช้เงิน “พี่ใหญ่” อยู่ ถึงแม้ว่าพี่ใหญ่จะยินดีเลี้ยงดูพวกเธอแต่พวกเธอก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่ไม่ใช่น้อย
พวกเขาจึงผ่านร้านรวงรอบข้างไปอย่างรวดเร็วและพบกับโรงเตี๊ยมที่พอจะพักได้ในที่สุด
หากจะว่าไปแล้ว ฉงฮุ้ยจินค่อนข้างจะมีทรัพย์สินอยู่บ้าง ในเมื่อเขาได้จัดการกับหัวหน้าโจรเซียนมารกับรองหัวหน้าโจรทั้งสอง หากจะพูดไปแล้วก็คือเงินกองกลางของทุกคนที่เขาคอยช่วยดูแลให้อยู่ในตอนนี้
เขาคิดอยู่ว่าเมื่อถึงที่พักแล้ว จะเจียดเงินกองกลางออกมาส่วนหนึ่งเพื่อให้ทุกคนได้จับจ่ายสิ่งที่ตนเองต้องการ หลังจากที่ผ่านความลำบากมาด้วยกันแล้ว
“จินหลิน อีกสักครู่เจ้าก็พาพวกพี่น้องไปขายม้าแปดตัว ดาบแปดเล่มนั้น กับสิ่งของต่างๆของพวกโจรนั้น แล้วก็รวมกับเงินก้อนนี้ แบ่งให้ทุกคนเท่าๆกัน เพื่อที่จะได้ไปจับจ่ายในสิ่งที่พวกเจ้าต้องการ”
“พี่ใหญ่ พวกเราไม่เป็นไรหรอก แค่นี้พวกเราก็เพียงพอแล้ว” เธอกล่าว
“ฮึ แต่ว่าวันนี้ข้าใจดีนะ ถ้าเจ้าไม่เอาก็ไม่เป็นไร คราวหน้าอาจจะไม่มีอย่างนี้บ่อยๆ”
“ใครว่าข้าไม่เอา” จินหลินคว้าหมับถุงผ้าใส่เงินที่หลงฮุ้ยจินได้เตรียมไว้ให้
……
“พี่ใหญ่ พวกเราพักผ่อนเที่ยวทั่วเมืองมาสามวันแล้ว เมื่อไหร่ท่านจะเริ่มตรวจสอบอัญมณีว่าชิ้นไหนมีความสามารถดังที่ต้องการ” จินหลินถามอย่างสงสัยในวันหนึ่งขณะที่พวกเขากลับมาจากการไปชมเมืองแล้วในวันนี้
“ข้าก็ตรวจสอบอัญมณีอยู่ทุกวันนี่ไง”
“ยังไงล่ะ” เธอสงสัย
“เจ้าเห็นตอนที่พวกเราเข้าไปยังร้านอัญมณีไหม ข้าได้ทำการส่งพลังเข้าไปตรวจสอบทุกครั้งตอนที่พวกเจ้ากำลังพูดคุยกันอยู่”
“มิน่า ข้าเห็นท่านจ้องดูอัญมณีแต่ละเม็ด แล้วก็ทำท่าเหมือนเหม่อลอยอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่คิดว่าท่านกำลังตรวจสอบอัญมณีอยู่เลยแม้แต่น้อย” เธอกล่าว
“หึหึ” เขาหัวเราะในท่าทางไร้เดียงสาของเธอ เธอเกือบเป็นสาวแล้วแต่ยังทำตัวเป็นเด็กๆ
“ได้ผลเป็นยังไงบ้างพี่ใหญ่” จินหลินถาม
“ไม่มีอัญมณีชนิดไหนเก็บพลังเซียนได้ดี ทั้งหมดล้วนเหมือนกับอัญมณีที่พวกเราใช้ สามารถเก็บพลังเซียนพอที่จะใช้กระสุนเพลิงได้ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น” ฉงฮุ้ยจินส่ายหน้า
“ข้าฟังคนเขาคุยกันได้ยินว่ามีหินปราณ กับแก่นพลังสัตว์อสูรด้วย พี่ใหญ่ว่าของพวกนี้สามารถเก็บพลังเซียนได้หรือไม่” เธอถามด้วยความอยากรู้
“ข้ายังไม่เคยเห็นของพวกนั้นเลย” ฉงฮุ้ยจินกล่าว
“ข้าได้ยินซิ่วจูพูดว่าคุณชายหงมีของพวกนั้นเยอะเลย พี่ใหญ่ไม่ลองยืมมาทดสอบดูล่ะ” จินหลินกล่าว
“อืม ข้าจะลองขอยืมมาทดสอบดู” ฉงฮุ้ยจินกล่าวอย่างครุ่นคิด
……
“หินปราณมีแต่พลังปราณแฝงอยู่เก็บพลังเซียนไม่ได้ แก่นพลังสัตว์อสูรก็เช่นกันไม่อาจเก็บพลังเซียนได้เลย” ฉงฮุ้ยจินพูดพึมพัมพร้อมกับส่ายหน้า เบื้องหน้าของเขามีหินปราณและแก่นพลังสัตว์อสูรอยู่
“อ๊าา… ข้าช่างโง่จริง หินปราณ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าปราณ จะไปเกี่ยวข้องกับพลังเซียนได้เท่าไหร่เชียว แต่แก่นพลังสัตว์อสูรนี่ก็น่าสนใจดีนะ” เขาตบหน้าผาก พึมพัม เมื่อนึกขึ้นมาได้
“ข้าควรจะไปถามคุณชายหง” เขาพึมพัมอีกครั้ง ก่อนที่จะเก็บหินทั้งหลายเหล่านั้นเพื่อไปคืนคุณชายหง
……
“ฮะฮะฮะ เจ้านี่ไม่รู้อะไรเลยนะ” คุณชายหงหัวเราะ ก่อนกล่าวต่อว่า “เจ้าคิดว่าระดับเก้านี้เป็นระดับสูงสุดแล้วเหรอ น่าขัน”
“นี่ข้าจะบอกให้ พลังปราณน่ะแบ่งเป็นห้าขอบเขต แต่ละขอบเขตมีเก้าระดับ ระดับพวกเราอยู่ในขอบเขตชีพจรปราณ เมื่อพ้นจากชีพจรปราณไปแล้ว ก็จะเข้าสู่ขอบเขตแก่นปราณ จากนั้นก็ร่างปราณ วิญญาณปราณ และสำนึกปราณ”
“อย่างนั้นรึ ข้ากลับไม่เคยอ่านเจอในหนังสือสักเล่ม” ฉงฮุ้ยจินกล่าว
“ยุทธภพแบ่งออกเป็นวงการนักเลง กับยุทธภพระดับสูง คนธรรมดาทั่วไปนั้นมักจะก้าวไม่พ้นระดับเก้าเข้าสู่เขตแก่นปราณ และคนเหล่านี้มีจำนวนมากที่สุด จึงอยู่แต่ในวงการนักเลง ไม่เคยได้รับรู้ถึงข่าวคราวของยุทธภพระดับสูง อีกทั้งมีเพียงตระกูลใหญ่และสำนักชั้นสูงเท่านั้นที่มีข้อมูลเรื่องพวกนี้” หงเซียวกล่าว
“แล้วทำไมคัมภีร์สำหรับฝึกวิชาเซียนจึงมีมากกว่าคัมภีร์ฝึกปราณระดับสูง” ฉงฮุ้ยจินถาม
“เจ้าคิดว่าคัมภีร์เซียนนั่นเป็นวิชาระดับสูงรึ นั้นเป็นวิชาพื้นฐานของพื้นฐานของเซียน เทียบได้กับคัมภีร์ฝึกปราณทั่วไปในระดับชีพจรปราณ หากเป็นคัมภีร์เซียนที่ระดับสูงกว่านั้น เจ้าก็ไม่มีวันได้เห็นเช่นเดียวกับคัมภีร์ปราณขอบเขตแก่นปราณขึ้นไป ซึ่งหวงห้ามเฉพาะตระกูลหรือสำนักเท่านั้น”
“ถ้าเช่นนั้นวิชาปราณที่ข้าเคยคิดว่าเป็นวิชาปราณระดับสูงนั่น...”
“ใช่ เจ้ายังฝึกอยู่ในระดับชีพจรปราณเท่านั้น” หงเซียวตอบ ก่อนกล่าวต่อไปว่า “หากก่อนที่เจ้าย่างเข้าสู่ยี่สิบห้าปี สามารถข้ามไปขอบเขตแก่นปราณได้ เจ้าก็สามารถสมัครเป็นศิษย์ของสำนักยุทธระดับสูงได้”
“ถ้าเช่นนั้นสัตว์ที่มีแก่นพลังเหล่านี้...”
“ใช่ สัตว์พวกนี้ย่างเข้าสู่เขตแก่นปราณแล้ว และไม่ใช่อะไรที่พวกเราจะสู้ด้วยได้” หงเซียวตอบ
“ถ้าเช่นนี้ คนที่ล่าสัตว์เหล่านี้ได้ก็ต้องเป็นคนที่อยู่ในเขตแก่นปราณละสิ” ฉงฮุ้ยจินถาม
“ใช่ และสาเหตุที่คนส่วนใหญ่มารวมตัวกันที่นี่ก็เพื่อเลือดเนื้อสัตว์อสูร และแก่นพลังของมัน ในเมื่อเลือดเนื้อสัตว์อสูรนั้นจะทำให้ร่างกายของพวกเราแข็งแรงพอที่จะก้าวไปสู่ระดับใหม่ได้เร็วยิ่งขึ้น ส่วนแก่นพลังนั้นเมื่อเจ้าอยู่ในเขตแก่นปราณแล้วก็ใช้งานมันได้” คุณชายหงกล่าวต่อ “ข้าเองก็เช่นกัน ข้าต้องหาเลือดเนื้อสัตว์อสูรมาเพิ่มพลังการฝึกปรือ”
“เช่นนั้นข้าคงต้องออกไปลองหาซื้อเนื้อสัตว์อสูรมากินกันดูบ้าง” ฉงฮุ้ยจินกล่าว
“เจ้ามีหินปราณรึ เนื้อสัตว์อสูรซื้อขายด้วยหินปราณ” หงเซียวขัดขึ้น
“ข้าไม่มี”
“ถ้าเจ้าไม่มี หากเจ้าต้องการที่จะได้เนื้อสัตว์อสูร มีทางเดียวก็คือ ออกไปล่ามันในป่า” หงเซียวกล่าว
“แล้วไม่อันตรายรึ หากว่าไปเจอสัตว์อสูรเขตแก่นปราณเข้าให้” ฉงฮุ้ยจินถาม
“สัตว์ระดับนั้นน่ะค่อนข้างอยู่ในป่าที่ลึกเข้าไปกว่านี้ ใกล้ๆนี้มักจะเป็นสัตว์อสูรเขตชีพจรปราณมากกว่า” หงเซียวกล่าว
“เห็นทีพวกเราคงต้องออกล่าสัตว์อสูรกันแล้วละสินะ” ฉงฮุ้ยจินถอนใจ