ตอนที่แล้วบทที่ 137 การประลองเลื่อนขั้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 139 พันธนาการพระเจ้า

บทที่ 138 การประลองแห่งความตาย


“คำขอ?”

สีหน้าของรองเจ้าสำนักฉีมืดมนลง แม้แต่รองเจ้าสำนักคนอื่นๆก็แสดงความประหลาดใจออกมา ในขณะเดียวกันศิษย์คนอื่นๆต่างก็ลอบยกนิ้วให้

มีด้วยหรือศิษย์ที่กล้าต่อรองกับสำนัก? เขาไม่กลัวจะถูกไล่ออกหรือยังไง?

เดิมทีรองเจ้าสำนักฉีก็ไม่ได้มีความประทับใจต่อเจียงอี้อยู่แล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนางถึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา “เจ้าต้องการที่จะเรียกร้องสิ่งใด?”

เจียงอี้เผยรอยยิ้มอันคลุมเครือ “ง่ายมาก ข้าขอให้จัดการแข่งขันแบบการประลองแห่งความตาย มิฉะนั้นข้าจะไม่สามารถใช้พลังอย่างเต็มที่ได้!”

“หืม?”

หลังจากที่เจียงอี้กล่าวจบ การแสดงออกทางสีหน้าของฝูงชนก็เปลี่ยนไปในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยเข้าไปในสุสานราชันสวรรค์อย่างองค์หญิงหยุนเฟย เหล่าอาจารย์ ศิษย์ชั้นยอดและศิษย์สำนักอัจฉริยะ

พวกเขารู้สึกหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจเมื่อรำลึกถึงฉากที่เจียงอี้เข่นฆ่าผู้คนไปเป็นจำนวนมาก เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นร่างกายของพวกเขาก็สั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมได้

อย่าว่าแต่ห้าสิบคนเลย หากปีศาจน้อยตนนี้ปลดปล่อยเจตจำนงแห่งการสังหารออกมา แม้แต่ห้าร้อยคนก็เอาเขาไม่อยู่

หากเป็นการประลองปกติโดยยึดตามกฎของสำนักที่ว่าด้วยการห้ามสังหารศิษย์ด้วยกันมิฉะนั้นจะถูกเนรเทศออกจากสำนัก คนอย่างองค์หญิงหยุนเฟยหรือศิษย์ระดับสูงคงจะไม่คิดมาก

แต่ในตอนนี้ เมื่อได้ยินคำขอของเจียงอี้ พวกเขาหลายคนถึงกับก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แม้แต่อาจารย์บางคนเองก็เช่นกัน

“เจ้าเรียกร้องการประลองแห่งความตาย? เจ้าไม่กลัวจะถูกฆ่าหรือยังไง?” รองเจ้าสำนักฉีเอ่ยถามขณะที่คิ้วขมวด

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงอี้ก็หัวเราะออกมาและกล่าวอย่างไม่แยแส

“ชีวิตและความตายนั้นขึ้นอยู่กับโชคชะตา ความมั่งคั่งและร่ำรวยก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์เป็นผู้ตัดสิน ไม่ใช่ว่าเหล่าคณาจารย์คอยพร่ำสอนพวกเราว่าไม่ควรหวาดกลัวต่อความตายหรอกหรือ?”

“รองเจ้าสำนักฉี ท่านอย่าได้เป็นกังวลไป ข้าจะควบคุมตัวเองไม่ให้ได้รับบาดเจ็บมากเกินไป แต่ถ้าหากว่ามีใครมีความสามารถพอที่จะฆ่าข้าได้ เช่นนั้นข้า เจียงอี้ ก็คงทำได้เพียงแค่กล่าวโทษในความอ่อนแอของตัวเอง!”

“ก็ดี!”

รองเจ้าสำนักฉีตอบกลับด้วยความหงุดหงิด เมื่อมีลูกศิษย์เรียกร้องการประลองแห่งความตาย ทางสำนักก็ควรที่จะยอมรับมัน แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่านางเชื่อว่าเจียงอี้ไม่สามารถฆ่าใครได้ จากนั้นนางก็หันไปสบตากับรองเจ้าสำนักที่เหลือก่อนที่จะเบนสายตาไปหาฝูงชนและตะโกน

“พวกเจ้ามีใครที่เต็มใจจะประลองบ้าง? ศิษย์ชั้นยอดที่กล้าลงประลองจะได้รับคะแนนสะสมห้าร้อยคะแนน ศิษย์สำนักอัจฉริยะจะได้รับหนึ่งพันคะแนน ส่วนระดับอาจารย์จะได้รับสามพันคะแนน!”

ฟึบ! ฟึบ! ฟึบ!

ศิษย์หลายคนก้าวถอยหลังโดยมิได้นัดหมาย แม้แต่อาจารย์บางคนก็ถอยหลังไปถึงสองก้าว หลังจากคำประกาศของรองเจ้าสำนักฉีดังออกไป กลับไม่มีแม้แต่ผู้เดียวที่กล้าเข้าร่วมการประลอง

“พวกเจ้า?!”

ใบหน้าของรองเจ้าสำนักฉีบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธและอับอาย นางเหลือบมองเหล่าคณาจารย์อย่างคาดโทษและเอ่ย “ไม่มีใครที่จะเข้าร่วมเลยรึ?”

เหล่าอาจารย์ต่างมองหน้ากัน ในที่สุดอาจารย์ชายสิบคนก็กัดฟันแน่นและก้าวออกมาอย่างไม่มีทางเลือก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาของบรรดาศิษย์ทั้งหลายและรองเจ้าสำนัก มันคงเป็นการเสียหน้ามากหากพวกเขาไม่ก้าวออกมา

หากเรื่องที่อาจารย์ในสำนักจิตอสูรไม่กล้าแม้แต่จะต่อกรกับศิษย์เพียงคนเดียวแพร่ไปสู่ภายนอก สำนักคงจะต้องตกอยู่ในความอับอายอย่างถึงที่สุด

เมื่อเห็นเช่นนั้น รองเจ้าสำนักฉีก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นนางก็กวาดสายตาไปมองเหล่าศิษย์ชั้นยอดและศิษย์สำนักอัจฉริยะ “ข้าจะเพิ่มรางวัลให้กับศิษย์ชั้นยอดเป็นคะแนนสะสมหนึ่งพันคะแนน ส่วนศิษย์สำนักอัจฉริยะจะเพิ่มเป็นสองพันคะแนน! อีกอย่างข้ายังอยู่ที่นี่ พวกเจ้าคิดหรือว่าข้าจะยอมปล่อยให้มีอุบัติเหตุใดๆเกิดขึ้นกับพวกเจ้า?”

ด้วยรางวัลที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้ ความกล้าหาญของแต่ละคนย่อมต้องเพิ่มตามไปด้วย!

หลังจากที่รองเจ้าสำนักฉีกล่าวจบ ก็มีศิษย์หลายคนเริ่มหวั่นไหว ความจริงแล้วมีศิษย์สำนักอัจฉริยะบางคนที่มาจากขั้วอำนาจใหญ่ในอาณาจักรต้าเซี่ย พวกเขาไม่ได้ปักใจเชื่อว่าเจียงอี้นั้นมีพลังที่น่าเกรงขามตามข่าวลือ ดังนั้นพวกเขาหลายคนจึงได้ทำการลงทะเบียนเพื่อขึ้นประลอง

ในวันที่เจียงอี้ทำการกวาดล้างเหล่าศัตรูนั้น องค์หญิงหยุนเฟยก็ซ่อนตัวอยู่บริเวณนั้นด้วยเช่นกัน มันคือเหตุผลที่ว่าทำไมไม่ว่ารองเจ้าสำนักฉีจะหว่านล้อมนางสักแค่ไหน แต่นางก็ยืนยันหัวเด็ดตีนขาดว่ายังไงก็ไม่มีทางจะประลองกับปีศาจน้อยตนนี้เด็ดขาด

รองเจ้าสำนักฉีเริ่มร้อนใจ แต่จู่ๆนางก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้และรีบส่งกระแสจิตหาหยุนเฟย

“หยุนเฟย หากเจ้ายอมลงประลอง ข้าจะไม่ปล่อยให้มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเจ้าสามารถเอาชนะเจียงอี้ได้ ข้าจะมอบทักษะวิชาที่ข้าคิดค้นด้วยตัวเองอย่าง ‘ฝ่ามือระเบิดเมฆา’ ให้กับเจ้าด้วย!”

ดวงตาของหยุนเฟยเป็นประกายในทันที ฝ่ามือระเบิดเมฆาเป็นทักษะวิชาที่สร้างชื่อให้กับรองเจ้าสำนักฉี มันด้อยกว่าทักษะระดับสวรรค์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น! นางพึมพำกับตัวเองชั่วครู่ก่อนที่จะกัดฟันแน่นและเอ่ย “ข้าจะเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้ด้วย!”

“โอ้โห!”

เหล่าลูกศิษย์ที่อยู่รอบตัวหยุนเฟยต่างก็แสดงความตื่นเต้นออกมา วิชาที่หยุนเฟยใช้นั้นไม่ธรรมดา หากว่ามีนางอยู่ด้วยก็จะยิ่งทำให้การประลองดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

ไม่นานนัก ผู้เข้าร่วมการประลองก็ได้รับการคัดสรรจนครบ ประกอบไปด้วยอาจารย์สิบคนและศิษย์สี่สิบคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์สามคนในนั้นได้บรรลุถึงจุดสูงสุดของขอบเขตจื่อฝู่ ส่วนคนที่เหลือต่างก็มีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ขั้นที่เจ็ดเป็นอย่างน้อย

ทางด้านของลูกศิษย์ ผู้ที่อ่อนแอสุดก็อยู่ที่ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่สอง อีกทั้งยังมีผู้ที่เหนือกว่าขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่ห้าอย่างหยุนเฟยและมีศิษย์อีกจำนวนหนึ่งที่ครอบครองทักษะวิชาเฉพาะตัว

จ้านอู๋ซวงเดินไปหาเจียงอี้อย่างเงียบเชียบและกระซิบที่ข้างหูของเขา “เจียงอี้ คนที่เจ้าต้องระวังมีเพียงแค่สามคนเท่านั้น หยุนเฟย, เสินอิงและอาหนี มีข่าวลือว่าศาสตร์เวทมนต์ของหยุนเฟยเป็นวิชาที่แปลกประหลาดมาก!”

“เสินอิงเป็นนายน้อยของตระกูลเสินจากหนึ่งในตระกูลใหญ่ของอาณาจักรต้าเซี่ย ข้าได้ข่าวมาว่าเขาครอบครองกายวิญญาณวายุซึ่งทำให้เขาสามารถระเบิดความเร็วที่เทียบเท่ากับสายฟ้าเลยทีเดียว”

“ส่วนชายที่ชื่อว่าอาหนี เขาเป็นเจ้าชายแห่งเผ่าคนเถื่อนของอาณาจักรเทียนเซวี่ยน มีจุดเด่นอยู่ที่พละกำลังอันมหาศาลและมีพลังป้องกันที่สูงมาก ได้ยินมาว่าแม้แต่อาวุธก็ยังไม่สามารถระคายผิวเขาได้…”

“ข้าจะระวังตัว”

เจียงอี้กล่าวตอบด้วยสีหน้าเฉยเมย คนทั่วไปไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา มีแค่จอมยุทธที่มีลักษณะพิเศษเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เขาต้องระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวทอาคมของหยุนเฟยที่ทำให้ผู้คนรู้สึกเสียวสันหลังเพราะมันคือศาสตร์ลึกลับที่คนทั่วไปยากจะหยั่งถึง

“หลีกไป!”

รองเจ้าสำนักฉีตะโกนและทำให้บรรดาลูกศิษย์กระจายตัวไปด้านข้างเพื่อให้เหลือพื้นที่ตรงกลางไว้ เหล่าอาจารย์และศิษย์ที่เข้าร่วมการประลองต่างเดินเข้ามาแต่ไม่ได้รวมตัวกัน ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังล้อมเจียงอี้ไว้เป็นวงกลม

เจียงอี้เหลือบมองซูรั่วเสวี่ยที่ยืนอยู่หลังรองเจ้าสำนักฉีและยิ้มให้เล็กน้อย จากนั้นเขาก็เดินทอดน่องไปตรงกลางด้วยท่าทีสบายๆเหมือนกำลังเดินอยู่ในสวนหลังบ้านของตัวเอง

เมื่อเจียงอี้มาถึงที่หมาย เขาก็กวาดสายตาไปมองรอบๆ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบ “เช่นนั้นก็มาเริ่มกันเถอะ”

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!

บรรดาผู้เข้าประลองต่างก็ชักอาวุธออกมาและกระจายตัว ดวงตาของพวกเขาลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งการต่อสู้และรอคำสั่งจากรองเจ้าสำนักฉีเพื่อบุกโจมตี

เมื่อรองเจ้าสำนักฉีเห็นว่าทุกอย่างเข้าที่แล้ว นางก็หันไปพยักหน้าให้กับรองเจ้าสำนักที่เหลือ จากนั้นพวกเขาก็กระจายตัวไปคนละทิศเพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ที่ตกอยู่ในอันตราย ด้วยพลังของรองเจ้าสำนักทั้งหลายที่อยู่ในขอบเขตเสินโหยว หากว่ามีการตายเกิดขึ้น มันคงจะกลายเป็นเรื่องตลกอย่างแท้จริง

เมื่อรองเจ้าสำนักทั้งหมดเข้าประจำที่แล้ว รองเจ้าสำนักฉีที่จ้องมองไปยังเวทีประลองก็ตะโกนขึ้น “เริ่มการประลองเลื่อนขั้น ณ บัดนี้!”

“บุก!”

เหล่าอาจารย์สบตากัน พวกเขาถ่ายเทแก่นแท้พลังไปยังอาวุธและกู่คำราม เมื่อคณาจารย์ลงมือ เหล่าลูกศิษย์เองก็โถมตัวเข้าหาเจียงอี้ด้วยเช่นกัน

จากความคิดของพวกเขา หากว่าสามารถเข้าถึงตัวเจียงอี้ได้พร้อมกัน เขาคงไม่สามารถรับมือคนทั้งหมดได้แน่ จากนั้นพวกเขาก็จะเป็นฝ่ายชนะ… ใช่ไหม?

เจียงอี้ยังคงยืนนิ่งและไม่แม้แต่จะโคจรแก่นแท้พลัง ความจริงแล้วเขาไม่ได้ใส่ใจยี่สิบกว่าคนที่กำลังพุ่งเข้ามาเขาเลยแม้แต่นิดเดียว ความสนใจของเขากลับตกอยู่ที่หยุนเฟย, เสินอิงและอาหนี มันน่าแปลกที่พวกเขาทั้งสามคนยังไม่มีการเคลื่อนไหว ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังรอจังหวะและหาโอกาสโจมตี

ฟึบ!

ในบรรดาอาจารย์ที่พุ่งเข้าหาเจียงอี้ มีอยู่สองคนที่บรรลุจุดสูงสุดของขอบเขตจื่อฝู่ หนึ่งในนั้นใช้กระบองยาวสีดำ ส่วนอีกคนใช้ขวานยักษ์ แรงกดดันจากอาวุธของพวกเขาทำให้ผู้คนรอบข้างตกตะลึง

เจตจำนงแห่งการสังหาร!

ในที่สุดเจียงอี้ก็เริ่มลงมือ แม้ว่าจะยังไม่ขยับร่างกาย แต่ดวงตาของเขาก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นสีแดง ในเวลาเดียวกันกลิ่นอายสังหารอันท่วมท้นก็ปะทุออกมาจากร่างของเขาและเข้าปกคลุมคนนับสิบที่กำลังทะยานเข้ามา

เมื่อเจตจำนงแห่งการสังหารถูกปลดปล่อยออกมา มันทำให้ทุกคนรู้สึกราวกับว่าฟ้าจะถล่มดินจะทลาย ความเร็วของพวกเขาลดลงจนแทบจะเหมือนหอยทาก ดูเหมือนว่าจะมีเพียงจอมยุทธที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่เจ็ดเท่านั้นที่ยังสามารถต่อสู้ต่อได้!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด