AtW ตอนที่ 25 สุดยอดช่างตีเหล็ก
AtW ตอนที่ 25 สุดยอดช่างตีเหล็ก
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย
อาเบลได้ใช้อัญมณีธรรมดาในการติดประดับตกแต่งดาบใหญ่ของเขา โดยอัญมณีส่วนใหญ่นั้นจะถูกติดประตับตกแต่งเพื่อทับกับอัญมณีเวทย์มนตร์ที่ฝังอยู่ในด้ามจับดาบนั่นเอง นอกจากนี้อาเบลยังใช้เศษอัญมณีชิ้นเล็กๆ ในการติดประดับตกแต่งดาบของเขาเพิ่มเติมอีกด้วย ตอนนี้ดาบแห่งร้อยทักษะของอาเบลนั้นได้เปลี่ยนเป็นดาบแห่งร้อยทักษะสุดหรูหราไปแล้ว ความหรูหรานี้เองเป็นเพียงแค่ของกลบเกลื่อนพลังที่แท้จริงของดาบเล่มนี้
ในห้องตีดาบส่วนตัวของอาเบลเองก็ยังเกิดระเบิดขึ้นในวันอื่นๆ เช่นกัน การระเบิดในวันอื่นเป็นการทดลองการสร้างดิเอนเชี่ยนวาร์วของอาเบลนั่นเอง ถ้าหากอาเบลสามารถสร้างดิเอนเชี่ยนวาร์วสำเร็จได้ อาเบลจะได้ครอบครองพลังป้องกันสุดแข็งแกร่ง อาเบลคิดว่าพลังแห่งการป้องกันของดิเอนเชี่ยนวาร์วนั้นจะมีมากพอเกินกว่าที่อาวุธใดๆ ในโลกนี้ที่จะสามารถเจาะพลังป้องกันอันแข็งแกร่งของดิเอนเชี่ยนวาร์วได้
หลังจากที่อาเบลได้สร้างดาบเวทย์น้ำแข็งสำเร็จวันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วกว่า 3 เดือนแล้ว
ตอนนี้อาเบลได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมากยิ่งขึ้น อาเบลได้ใช้เวลาทั้งหมดในการสร้างดาบแห่งร้อยทักษะไปกว่า 12 เล่ม หนึ่งในดาบแห่งร้อยทักษะที่อาเบลสร้างมีดาบแห่งร้อยทักษะเวอร์ชั่นสุดหรูหราอยู่ด้วย ดาบแห่งร้อยทักษะเวอร์ชั่นสุดหรูหรานี้เองแท้จริงแล้วเป็นดาบเวทย์น้ำแข็ง นอกจากดาบทั้ง 12 เล่มแล้วอาเบลยังสร้างโล่ห์แห่งร้อยทักษะจำนวนถึง 5 ชิ้นอีกด้วย โล่แห่งร้อยทักษะที่อาเบลสร้างขึ้นนั้นทำมาจากเหล็กเนื้อหยาบ โล่ห์ทั้งหมดนี้อาเบลสร้างขึ้นเพื่อเตรียมการที่จะสร้างดิเอนเชี่ยนวาร์วในอนาคตนั่นเอง
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สภาพอากาศโดยรอบก็เริ่มที่จะอุ่นขึ้นมาแล้ว เหล่าช่างตีเหล็กและพวกผู้ฝึกงานทั้งหลายต่างก็ทำงานกันตั้งแต่เช้าตรู่
"อาเบล นายกับฉันต้องไปชุมนุมกับสหพันธ์ช่างตีเหล็กในวันนี้ที่เมืองฮาเวส" เบธแฮมพูดกับอาเบลในขณะที่ตัวเขาเองยังคงนั่งรอเพื่อฟื้นฟูพลังหลังจากที่ได้ตีดาบแห่งร้อยทักษะเล่มหนึ่งขึ้นมา
"ทำไมเราต้องไปชุมนุมกับสหพันธ์ช่างตีเหล็กในเมืองฮาเวสด้วยล่ะครับ?" อาเบลถามอาจารย์เบธแฺฮมด้วยสีหน้าแปลกๆ บนใบหน้าของอาเบลเอง
อาจารย์เบธแฮมเองตอบคำถามของอาเบลด้วยเสียงที่ดูตื่นเต้น "ก็หลังจากที่นายสร้างดาบเวทย์ได้แล้ว ฉันก็ขอให้ซอร์ดมาสเตอร์จากสหพันช่างตีเหล็กมาประเมินดาบของนายไงล่ะ เมื่อวานนี้ฉันเพิ่งจะได้ข่าวจากสหพันธ์ช่างตีเหล็กว่าซอร์มาสเตอร์นั้นมาถึงที่สหพันธ์ช่างตีเหล็กของเมืองฮาเวสแล้ว พวกสหพันธ์แจ้งว่าวันพรุ่งนี้พวกเขาจะประเมินดาบของนายให้ยังไงล่ะอาเบล"
"ยินดีด้วยครับท่านอาจารย์!" อาเบลรู้ว่าอาจารย์เบธแฮมนั้นเป็นเหมือนกับชื่อและตำแหน่งของเบธแฮมในฐานะช่างตีเหล็ก ชาวบ้านหรือคนทั่วไปคงจะเรียกเบธแฮมว่าช่างตีเหล็กเบธแฮม ความสามารถในการสร้างอาวุธแห่งร้อยทักษะจากเหล็กเนื้อหยาบนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องพื้นฐานของช่างตีเหล็กที่จะเป็นระดับท่านอาจารย์ได้ เพื่อที่จะได้รับการอนุมัติให้เรียกว่าปรมจารย์ช่างตีเหล็กได้อย่างเป็นทางการจากสหพันธ์ช่างตีเหล็กนั้นจำเป็นจะต้องมีผลงานที่หลากหลายและแน่นอนว่าผลงานเหล่านั้นจะต้องทรงคุณค่าอีกด้วย ดังนั้นเองเบธแฮมจึงถูกเรียกว่าเป็นท่านอาจารย์เท่านั้น เขายังไม่ได้ถูกเรียกว่าปรมจารย์ช่างตีเหล็กจากสหพันธ์นั่นเอง
"มายินดีอะไรกับฉันล่ะอาเบล? ฉันเป็นคนที่คอยช่วยเหลือนายเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง" เบธแฮมพูดในขณะที่หัวเราะไปด้วย "ตลอดชีวิตของฉันน่ะอาเบล ฉันพยายามที่จะสร้างอาวุธเวทย์มนตร์มาโดยตลอด ถึงแม้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนแต่ฉันก็ไม่เคยเลยที่จะสร้างอาวุธเวทย์มนตร์สำเร็จแม้แต่ชิ้นเดียว สุดท้ายแล้วฉันก็ไม่ได้กลายเป็นปรมจารย์ช่างตีเหล็กที่แท้จริงได้หรอก ยังไงฉันก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะสร้างอาวุธเวทย์มนตร์ได้ แต่นายสามารถทำมันได้อาเบล นี้แสดงให้เห็นแล้วว่านายมีความสามารถมากพอ ผลงานของนายต้องทรงคุณค่าอย่างแน่นอน"
ในตอนแรกอาเบลไม่ได้สนใจที่จะเป็นปรมจารย์ช่างตีเหล็กเลย แต่อย่างไรก็ตามอาเบลก็ได้ตระหนักได้แล้วว่าตัวเขานั้นสามารถที่จะเรียนรู้อะไรหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างเกี่ยวกับรูนได้ถ้าหากเขาได้กลายเป็นปรมจารย์ช่างตีเหล็ก ดังนั้นอาเบลจึงเห็นด้วยกับคำแนะนำของอาจารย์เบธแฮม อาเบลจึงตัดสินใจที่จะตอบกลับไปว่า "ผมจะไปเตรียมตัวตอนนี้เลยครับ"
อาเบลได้เตรียมดาบแห่งร้อยทักษะทั้งหมด 9 เล่มด้วยกันและเตรียมดาบสุดหรูหราที่แท้จริงแล้วเป็นดาบเวทย์เพลิงลงบนรถม้าที่อาจารย์เบธแฮมได้เตรียมเอาไว้ อาเบลตัดสินใจที่จะขายดาบแห่งร้อยทักษะธรรมดา 2 เล่มที่ร้ายขายอาวุธแฮรี่ภายในเมืองฮาเวส ส่วนดาบเล่มที่เหลืออาเบลตัดสินใจที่จะขายให้กับร้านเอ็ดมัน หากดาบทั้งหมดถูกขายโดยร้านขายอาวุธแฮรี่มันจะส่งผลเสียอย่างที่คาดไม่ถึงตามมา หากมีดาบแห่งร้อยทักษะจำนวนมากนั้นถูกนำมาขายในตลาดราคาของดาบแห่งร้อยทักษะเองก็จะตกลงเช่นกัน ร้านขายอาวุธอื่นๆ ก็คงจะไม่ชอบใจเท่าไรนักนั่นเอง สุดท้ายแล้วพวกเขาจะรวมตัวกันและสงสัยร้านขายอาวุธเอ็ดมันในที่สุด ท้ายที่สุดแล้วก็คงจะมีแต่ผลเสียที่จะเกิดขึ้นในร้านขายอาวุธแฮรี่ที่เพิ่งจะได้มาจากลอร์ดโจเอลนั่นเอง ส่วนข้อดีของการขายดาบแห่งร้อยทักษะในร้านเอ็ดมันนั้นต่างออกไป ร้านเอ็ดมันนั้นมีสาขาอยู่ทั่วทั้งประเทศ การที่พวกเขาได้ซื้อดาบแห่งร้อยทักษะของอาเบลไปพวกเขาอาจจะขายดาบที่ไหนในสาขาใดในประเทศก็ได้ ด้วยเหตุนี้เองการขายดาบที่ร้านเอ็ดมันจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า นอกจากที่จะนำไปขายได้ทั่วทั้งประเทศแล้วดาบสุดหรูหราที่อาเบลทำขึ้นอาจจะถูกนำออกมากประมูลได้อีกด้วย ถ้าหากดาบของอาเบลถูกประมูลจริงตัวของอาเบลเองก็จะได้รายได้จำนวนมากจากการขายดาบสุดหรูหร่าอีกเช่นกัน
หลังจากที่เตรียมตัวเสร็จแล้วอาเบลก็ได้ออกเดินทางโดยใช้รถม้าในเช้าวันรุ่งขึ้น การเดินทางในเช้าวันนี้เองก็ยังคงเจอกับหลุมเจอกับบ่อเช่นเดิม ด้วยเหตุนี้เองทำให้การเดินทางของอาเบลนั้นล่าช้ามากกว่าเดิม อาเบลมีแผนที่จะสร้างยานพาหนะที่ไม่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในขณะที่เดินทางและแน่นอนว่ายานพาหนะคันนั้นจะต้องไม่ดูสะดุดตาอีกด้วย อาเบลได้แต่คิดในใจก่อนที่การเดินทางโดยรถม้าครั้งนี้จะไปถึงสหพันธ์ช่างตีเหล็กที่ตั้งอยู่ในใจกลางเมืองในเวลา 10 โมงเช้า
สหพันธ์ช่างตีเหล็กเป็นองค์กรสหประชาชาติในแผ่นดินใหญ่ องค์กรนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อสามพันปีก่อนโดยมีมนุษย์สองคนและคนแคระอีกคนหนึ่งเป็นผู้ก่อตั้งสหพันธ์นี้ขึ้นมา สุดท้ายแล้วสมาชิกผู้ก่อนตั้งทั้งสามคนก็ได้กลายเป็นช่างตีเหล็กผู้อาวุโสไปในที่สุด หลังจากที่หลายปีผ่านไปเผ่าออร์คเองก็ได้เข้าร่วมกับสหพันธ์เช่นกัน สุดท้ายแล้วสหพันธ์ดังกล่าวก็ได้สถาปนาตัวเองจนกลายเป็นสหพันธ์ช่างตีเหล็กที่รู้จักกันในปัจจุบัน สหพันธ์มีหน้าที่หลายอย่างด้วยกันหนึ่งในหน้าที่ที่สำคัญของสหพันธ์ช่างตีเหล็กเองคือการประเมินความสามารถของช่างตีเหล็กและมอบเหรียญตราตามระดับทักษะของช่างตีเหล็กที่ถูกประเมินนั่นเอง
ทันทีที่อาเบลและเบธแฮมได้เดินเข้าห้องโถงของสหพันธ์พวกเขาทั้งสองคนก็พบกับคนแคระคนหนึ่งที่มีหนวดเครารุงรัง นี่เป็นครั้งแรกของอาเบลที่ได้เห็นเผ่าคนแคระตัวเป็นๆ อาเบลพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วที่จะควบคุมตัวเองไม่ให้จ้องมองไปที่คนแคระคนนี้มากจนเกินไป
"เบธแฮมเพื่อนเก่าของฉัน สหพันธ์ได้บอกกับฉันให้ฉันเป็นเจ้าภาพในการประเมินในครั้งนี้” คนแคระคนนั้นเองได้จับแขนของเบธแฮมไว้แน่นก่อนที่จะกอดเขาในขณะที่พูดทักทายนั่นเอง
หลังจากที่พวกเขาทั้งสองคนกอดกันเสร็จเบธแฮมก็ได้พูดโต้ตอบพร้อมกับหัวเราะออกมา "ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าทางสหพันธ์จะบอกให้นายมาเป็นเจ้าภาพในการประเมินครั้งนี้น่ะ ฉันยังจำได้ดีเลยนะวันที่อาจารย์โรบินยังคงสอนเราวันนั้นน่ะ ตอนนั้นมันก็ผ่านหลายปีมาแล้วนะ พวกเรายังคงเด็กอยู่เลย"
อาเบลพูดไม่ออกทันทีที่ได้ยินว่าครั้งหนึ่งอาจารย์ของเขาอย่างเบธแฮมเคยและเพื่อนเขาอย่างคนแคระคนนี้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรังในสมัยที่ยังเป็นเด็ก อาเบลนึกภาพไม่ออกเลยว่าคนแคระคนนี้จะมีหน้าตาเป็นยังไงในสมัยวัยเด็กที่ยังไม่มีหนวดเครา
"นี่คือลูกศิษย์ฉันเอง อาเบลจากตระกูลแฮรี่" เบธแฮมชี้ไปที่อาเบลที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ เบธแฮมได้แนะนำอาเบลให้กับคนแคระเพื่อนของเขาให้รู้จักอาเบล
เบธแฮมหันกลับไปที่คนแคระก่อนที่จะพูดแนะนำให้กับอาเบลได้รู้จักว่า "นี่คือท่านอาจารย์โซรินแห่งโล่ห์โอ๊ค เขาเป็นรุ่นน้องของฉันเองสมัยที่ยังเรียนอยู่กับอาจารย์โรบิน"
โซรินแห่งโล่ห์โอ๊คกระโดดเข้ามาและตะโกนทักทายอาเบลว่า "ฉันเป็นรุ่นพี่ของนายสินะ!"
"ย้อนกลับไปสมัยก่อนในตอนที่เรายังเรียนอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นฉันได้เข้ามาเรียนกับอาจารย์โรบินก่อนหน้านาย ดังนั้นฉันจึงเป็นรุ่นพี่ของนายอย่างไม่ต้องสงสัยสินะ" เบธแฮมพูดไปหัวเราะไป
"แต่ฉันอายุมากกว่านายนะ แล้วตอนนี้พวกเรายังเป็นเด็กอยู่หรือไง?" โซรินได้ตะโกนตอบกลับในขณะที่เขาโบกมือไปด้วย
ในที่สุดอาเบลก็ได้เข้าใจแล้วว่าทั้งสองคนเบธแฮมและโซรินนั้นกำลังถกเถียงกันถึงเรื่องอะไรอยู่ โดยทั่วไปแล้วคนแคระโดยส่วนใหญ่จะมีช่วงชีวิตที่ยืนยาว โดยค่าเฉลี่ยโดยทั่วไปของช่วงชีวิตคนแคระนั้นจะอยู่ที่ราวๆ 500 ปี แต่มนุษย์ธรรมดาเองสามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณเพียง 100 ปีเท่านั้น นั่นคือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาทั้งสองคนกำลังล้อเลียนกันอยู่นั่นเอง
โซรินรู้ว่าเรื่องที่พวกเขาทั้งสองคนกำลังถกเถียงอยู่นั้นไม่ใช่จุดมุ่งหมายในการมาสหพันธ์ในครั้งนี้ เขารีบหันกลับไปหาอาเบลก่อนจะเริ่มพูดกับอาเบลว่า "นายคือคนที่จะมารับการประเมินในครั้งนี้สินะ? นายมันยังเด็กเกินไป! นายรู้ใช่ไหมว่าในช่วงชีวิตของนายนั้นสามารถเข้ารับการประเมินจากสหพันธ์ช่างตีเหล็กได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เป็นแบบนี้แล้วนายจะยังขอเข้ารับการประเมินอีกอย่างงั้นหรอ?"
คำถามเหล่านี้ถาโถมเข้าใส่อาเบล โซรินนั้นไม่เชื่อว่าอาเบลจะมีความสามารถจริงๆ ทักษะต่างๆ สำหรับช่างตีเหล็กแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะใช้เวลาเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้วทักษะส่วนมากจะใช้ทั้งประสบการณ์และเวลาในการฝึกฝน
"ฉันอายุจะ 60 ปีแล้ว ลำพังตัวฉันเองคงไปไม่ถึงความฝันสูงสุดนั่นได้แน่ ฉันกลัวเหลือเกิน กลัวว่าจะไม่ได้มีวันที่จะกลายเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็ก ฉันคงไม่มีโอกาสอื่นอีกแล้วนอกจากตอนนี้" เบธแฮมพูดในขณะที่จ้องมองไปที่ลูกศิษย์อย่างอาเบล ตอนนี้เบธแฮมยังคงพูดต่อไปอีกว่า "ตั้งแต่ที่อาเบลได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ของฉัน เขาก็สามารถสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันเชื่อว่าด้วยความสามารถของอาเบลแล้วเขาจะต้องกลายเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กได้อย่างแน่นอน นี้คือสาเหตุที่ทำให้ฉันพาเขามาประเมินวันนี้ยังไงล่ะ"
"โอเค ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับนายแล้วละนะ พวกเราไปประเมินกัน" โซรินได้นำทางอาเบลและเบธแฮมไปในห้องประชุม ในห้องประชุมของสหพันธ์ช่างตีเหล็กนั้นมีกระจกทั้งหมด 3 บานถูกวางติดไว้อยู่กับกำแพงของห้องประชุม ในห้องประชุมนี้เองมีโต๊ะทำงานสำหรับช่างตีเหล็กอยู่พร้อมกับอุปกรณ์ทุกอย่างเท่าที่จะหาได้สำหรับการหลอมและการตีเหล็ก
โซรินได้หยิบอัญมณีสีแดงทั้งหมด 6 ชิ้นออกมาก่อนที่จะวางลงบนรอยบากของกำแพงห้อง ทันใดนั้นเองกระจกภายในห้องก็ได้สั่นไหวไปมา หลังจากที่กระจกสั่นไหวก็ได้มีคน 3 คนปรากฏตัวขึ้นในกระจกทั้ง 3 บาน โดยจะมีมนุษย์ทั้งหมด 2 คนและคนสุดท้ายเป็นคนแคระนั่นเอง
หลังจากที่บุคคลลึกลับทั้งสามคนปรากฏตัวขึ้นเบธแฮมก็ไม่รอช้ารีบคำรับพวกเขาในทันทีก่อนที่จะพูดทักทายว่า "สวัสดีครับ ท่านปรมาจารย์ทั้งหลาย ขอโทษด้วยที่รบกวนเวลาของพวกท่าน"
อาเบลดูเหมือนจะค่อนข้างประหลาดใจและตกใจในเวลาเดียวกัน จากนั้นโซรินจึงไม่รอช้าเขาจึงรีบอธิบายขั้นตอนในการประเมินให้กับอาเบลฟัง การจะเป็นปรมาจารย์ช่างตีเหล็กได้จะมีเพียงโอกาสเดียวในชีวิตเท่านั้น มีปรมจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมด 3 คนที่จะคอยประเมินและเป็นพยานคนสำคัญในระหว่างการประเมินในครั้งนี้ด้วย พวกเขาทั้ง 3 คนจะสามารถประเมินได้ผ่านเวทย์มนตร์ระยะไกลนั่นเอง
เวทย์มนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับการประเมินนี้สามารถสื่อสารในระยะไกลได้โดยการถ่ายโอนภาพแห่งความเป็นจริงจากอีกที่หนึ่งไปสู่อีกที่หนึ่งผ่านกระจกได้ แต่ไม่อาจที่จะถ่ายโอนเสียงได้นั่นเอง
"มาเริ่มกันเลยเถอะ" โซรินพูดกับอาเบลก่อนที่จะอธิบายขั้นตอนในการประเมิน
อาเบลนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะโค้งคำนับให้กับโซรินและปรมจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 3 คนในกระจก
เครื่องมือบนโต๊ะทำงานในห้องประชุมนั้นมีคุณภาพสูงกว่าเครื่องมือที่แล้วๆ มาที่อาเบลได้เคยใช้ อาเบลเอาวัสดุชิ้นหนึ่งโยนเข้าไปในเตาหลอมหลังจากที่ผ่านไปไม่นานเขาก็หยิบวัสดุชินนั้นออกมาก่อนที่จะใช้ค้อนทุบมันกลับไปกลับมาทั้งหมด 4 ครั้ง อาเบลที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนานเขาสามารถที่จะสร้างดาบแห่งร้อยทักษะที่มีความสมบูรณ์แบบถึง 80 เปอร์เซ็นต์ได้ ตอนนี้เป้าหมายของอาเบลมีเพียงการสร้างดาบแห่งร้อยทักษะให้สมบูรณ์ให้ได้ 80-100 เปอร์เซ็นต์
ตั้งแต่ที่อาเบลได้ใช้พลังแห่งความมุ่งมั่นของเขาตอนนี้ความเร็วในการตีดาบแห่งร้อยทักษะของอาเบลเร็วขึ้นมากกว่าแต่ก่อนมาก โซรินถึงกับต้องมองอาเบลในมุมมองใหม่ การใช้พลังแห่งความตั้งใจของอาเบลนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะพบกันได้ง่ายๆ เลยแม้แต่ในเหล่าผู้เชี่ยวชาญในการตีเหล็กก็ตาม ช่างตีเหล็กระดับอาจารย์ส่วนใหญ่จะใช้เพียงแค่ประสบการณ์ในการตีดาบแห่งร้อยทักษะที่สมบูรณ์แบบถึง 80-100 เปอร์เซ็นต์
อาเบลใช้เวลาไม่นานในการสร้างดาบแห่งร้อยทักษะเล่มใหม่ขึ้น อาเบลใช้เวลาหยุดพักเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก่อนที่จะเริ่มลับคมดาบต่อไป อาเบลใช้เวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วให้คุ้มค่ามากที่สุด ตอนนี้อาเบลได้ลับคมจนดาบนั้นได้แหลมคมได้รูปร่างแล้ว อาเบลไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น อาเบลได้ใช้สิ่วเพื่อเปิดเยื้องท้ายดาบเพื่อใส่ด้ามดาบนั่นเอง
การเคลื่อนไหวของอาเบลแต่ละครั้งทำให้โซรินเองสนใจอาเบลมากยิ่งขึ้น เขาหันไปหาเบธแฮมด้วยความสงสัย แต่เบธแฮมเองก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรโซริน เขาได้หยักหน้าให้เพื่อในวัยเด็กคนนี้ด้วยความเชื่อมั่นที่มีในตัวอาเบลนั่นเอง
โซรินนั้นรู้ดีว่าเพื่อนเก่าอย่างเบธแฮมคนนี้พยายามมาโดยตลอดที่จะสร้างดาบเวทย์ให้สำเร็จ เขารู้ดีว่าสุดท้ายนั้นเบธแฮมก็ล้มเหลวไป อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีลูกศิษย์คนหนึ่งมาแบกรับความฝันของเบธแฮมไปสานต่อแล้ว
ช่วงเวลาที่อาเบลได้หยิบพู่กันเขียนอักษรรูนออกมา โซรินเองก็เริ่มสงสัยในตัวของอาเบลมากขึ้น อาวุธเวทย์มนตร์นั้นถือว่าเป็นอาวุธระดับสูงนั่นเอง
เมื่อเห็นว่าอาเบลกำลังเพ่งสมาธิทั้งหมดเพื่อการเขียนรูน ปรมจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามในกระจกเองรู้ได้ทันทีว่าอาวุธที่อาเบลสร้างขึ้นนี้จะเป็นอะไร ดังนั้นพวกเขาทั้งสามคนจึงตั้งใจดูอาเบลอย่างไม่คาดสายตา
การสร้างดาบของอาเบลได้ดำเนินการมาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว อาเบลได้ฝังพลอยสีน้ำเงินด้วยพลังแห่งความมุ่งมั่นของเขาด้วยความราบรื่น ในไม่ช้าดาบเวทย์น้ำแข็งของอาเบลก็เสร็จสมบูรณ์ แม้ว่าดาบเวทย์เล่มนี้ของอาเบลจะไม่ได้ตกแต่งเหมือนกับดาบเล่มอื่น แต่มันคือดาบเวทย์น้ำแข็งที่ดีเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
โซรินได้หันมามองสุดยอดปรมจารย์ทั้งสามในกระจก หลังจากที่ทั้งสามคนพยักหน้าเพื่อยืนยันแล้ว โซรินเองก็ได้หยิบเหรียญจากอกของเขามอบให้กับอาเบลพร้อมกับพูดน้ำเสียงที่จริงจังออกมา "ยินดีด้วยอาเบล แฮรี่ ตอนนี้นายได้เป็นช่างตีเหล็กระดับปรมจารย์คนที่ 36 ของสหพันธ์ช่างตีเหล็กแล้วนะ"
หลังจากพูดเสร็จโซรินเองก็ได้แขวนเหรียญไว้ตรงที่หน้าอกของอาเบล จากนั้นโซรินก็ได้กอดอาเบล เช่นเดียวกับอาจารย์ของเขาอย่างเบธแฮมเขาทำเช่นเดียวกับโซรินเพื่อนของเขา
สุดยอดปรมจารย์ทั้งสามในกระจกก็โค้งคำนับอาเบลเองเช่นกัน ทันทีที่อาเบลโค้งคำนับกลับปรมจารย์ทั้งสามคนเองก็ได้หายไปจากกระจกแล้ว
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย