เซียนเหนือวิถี บาทที่ 50 (ฟรี)
บาทที่ 50
พวกเขาควบม้าในรูปแบบแถวตอนเรียงสองติดตามฉงฮุ้ยจินไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นอีกสิบกว่านาที ฉงฮุ้ยจินก็ควบม้าเข้าไปในป่า พร้อมกับสั่งแถวให้แปรขบวนเป็นแถวตอนเรียงหนึ่ง วิ่งไปตามเส้นทางที่ร่างจิตเทียมได้สำรวจไว้ล่วงหน้าแล้ว
โดยเจตนาของฉงฮุ้ยจินนั้นต้องการหลบเลี่ยงจากโจรกลุ่มนี้ เนื่องเพราะเหตุว่าเขามีเจตนาไปคลายวงล้อม ช่วยเหลือคนของสำนักคุ้มกันภัยออกมาจากวงล้อม ดังนั้นการปะทะกับกองโจรที่นี่ย่อมทำให้ภารกิจของเขาล่าช้าลงไป
ดังนั้นเขาจึงใช้ร่างจิตเทียมสำรวจหาทางวิ่งหลบเลี่ยงกองโจรโดยใช้เส้นทางด่านของสัตว์ป่าแทน แม้ว่าจะเสียเวลาเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ก็ยังดีกว่าปะทะกับกองโจรข้างหน้าซึ่งจะเสียทั้งเวลา เรี่ยวแรงและอาวุธที่เตรียมไว้
เมื่อควบม้าวิ่งไปได้ระยะหนึ่ง ฉงฮุ้ยจินก็ดึงศรออกมาจากกระบอกเหวี่ยงมันไปข้างหน้าอย่างกระทันหัน แล้วก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ควบขับม้าต่อไป
พวกเขาคุ้นเคยกับการทำเช่นนี้ของหัวหน้าฉงมาอยู่บ้างแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงควบม้าตามไปอย่างเงียบๆ
เมื่อควบม้าวิ่งมาได้ประมาณห้านาที พวกเขาก็พบซากงูขนาดใหญ่ มีลูกศรปักเข้าไปในดวงตาข้างหนึ่งทะลุไปยังดวงตาอีกข้างหนึ่ง หากนับระยะทางจากที่หัวหน้าฉงขว้างลูกศรแล้วก็ห่างประมาณเกือบสี่ร้อยเมตร พวกเขาต่างพากันเห็นเป็นเรื่องปกติสำหรับฝีมือการซัดอาวุธลับของหัวหน้าฉง
เมื่อวิ่งไปได้ประมาณสามกิโลเมตร พวกเขาก็ทะลุกลับเข้าเส้นทางมุ่งสู่เมืองจิ่ง และแปรขบวนกลับเป็นแถวตอนเรียงสองวิ่งต่อไปอย่างรวดเร็ว
พวกเขาผ่านจุดพักแรมจุดแล้วจุดเล่า ทั้งหมดล้วนถูกเผาทำลายซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นฝีมือของกองโจรเซียนมารสุดท้ายก็มาถึงจุดพักแรมที่ห้าจากเมืองจิ่ง พวกเขาใช้เวลาเดินทางทั้งหมดแปดชั่วโมงกว่าๆเกือบเก้าชั่วโมง
จุดพักแรมกลายเป็นซากปรักหักพัง มีซากศพอยู่ไม่กี่ซากที่นอนอยู่บนพื้น เมื่อฉงฮุ้ยจินตรวจดูแล้วก็เห็นว่าเป็นผู้คุ้มกันภัยของสำนักเต้าฉูตู้อันเฉียนจริง
ขณะนี้เป็นยามเย็นซึ่งไม่เหมาะสมที่จะทำอะไรนอกจากหาที่พัก
“เช่นนั้นก็ช่วยกันฝังศพพี่น้อง และจัดการที่พักเถอะ” ฉงฮุ้ยจินกล่าว
พวกเขาแบ่งหน้าที่กัน ส่วนหนึ่งจัดทำที่พักชั่วคราว ส่วนหนึ่งทำการกลบฝัง ส่วนหนึ่งหุงหาอาหาร เมื่อพวกเขารับประทานอาหารเรียบร้อยแล้วทุกคนก็เข้านอน
นี่คือความสะดวกสบายอย่างหนึ่งในการมากับหัวหน้าฉง เพราะว่าหัวหน้าฉงไม่เคยให้ใครอยู่ยามมาก่อน แต่หากมีเหตุใดๆ เขาจะปลุกทุกคนขึ้นเอง
ยามเช้ามาถึงอย่างรวดเร็ว พวกเขาเตรียมตัวทุกอย่างพร้อม รับประทานอาหารเรียบร้อย อาวุธพร้อม คนพร้อม
“เราจะตรวจหาร่องรอยว่า คนที่เหลือและทรัพย์สินถูกนำไปที่ไหน เราจะติดตามไป” ฉงฮุ้ยจินกล่าว “และเพราะว่าข้าไม่เก่งในเรื่องสะกดรอย ดันนั้นขอคนที่มีฝีมือด้านนี้สักสามคน”
ในที่สุดก็มีสิ่งที่หัวหน้าฉงยอมรับว่าขาดความสามารถทางด้านนี้ พวกเขาคิดในใจ
“ข้าเกาหยู ขอรับ”
“ข้าฟู่เจิ้ง ขอรับ”
“ข้าชีซิม ขอรับ”
“เอาล่ะ พวกเจ้าปรึกษากัน แล้วนำทางไป” ฉงฮุ้ยจินกล่าว
เขาไม่เก่งทางด้านสะกดรอยจริง แต่รอยเกวียน รอยลากของหนักเข้าป่าไปนั้นเขาก็เห็นอยู่ผ่านร่างจิตเทียม แต่เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นรอยนี้จริงๆ ไม่ใช่เป็นร่องรอยหลอกที่สร้างขึ้นมา ให้ผู้เชี่ยวชาญได้แสดงฝีมือบ้างจะดีกว่า
ไม่นาน ทั้งสามคนนั้นก็พาเขาไปตามเส้นทางที่เขาพบเห็นนั้นจริงๆ
พวกเขาเดินทางด้วยม้าเกือบสามชั่วโมงจึงเห็นภูเขาลูกหนึ่งอยู่ข้างหน้า บนภูเขานั้นมีควันไฟพวยพุ่งเป็นสาย แน่นอนว่าร่างจิตเทียมได้ทำการสำรวจไปทั่วสถานที่นั้นแล้ว
ภูเขานั้นเป็นเหมือนกับป้อมปราการธรรมชาติแทบทุกด้านเป็นหน้าผาชัน มีเพียงเส้นทางคดเคี้ยวเส้นเดียวที่ไปถึงได้ แต่ถึงกระนั้น เส้นทางนั้นก็ขาดเป็นหุบเหวหลายช่วงและได้เชื่อมต่อเป็นทางด้วยสะพานแขวน
ระหว่างเส้นทางนั้นมีหอยามและป้อมธนูสำหรับป้องกันผู้บุกรุก ทั้งในกรณีจำเป็นยังสามารถตัดสะพานทิ้งได้ด้วย
พื้นที่นั้นจัดสร้างเป็นเมืองหินที่สามารถรองรับผู้คนหลายหมื่น และที่อาศัยอยู่ในตอนนี้เขาประเมินว่าเกินหมื่นคน
ด้วยร่างจิตเทียมที่วนเวียนสำรวจ มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาเกิดความตระหนกเป็นพิเศษ
ใจกลางเมืองเป็นคุกคุมขังขนาดใหญ่ ไม่ได้แบ่งออกเป็นห้องขังเล็กๆ แต่อย่างใด คนที่ถูกคุมขังในนั้นมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ผู้ชายและผู้หญิง ทุกคนล้วนถูกตัดข้อมือข้อเท้าทิ้ง ดูสดใหม่
ทุกคนล้วนเรียงเป็นแถวหลับตาอยู่ในท่านั่งสมาธิ เปลือยเปล่า มีอักขระเลือดเขียนอยู่บนหน้าผาก ไหล่สองข้าง กระดูกสันหลังต้นคอ กึ่งกลางอก และกระเบนเหน็บ (ผู้แต่ง-กระดูกสันหลังบริเวณขอบกางเกง) บริกรรมคาถาออกมาจากปาก
ฉงฮุ้ยจินรู้ทันทีว่านี่เป็นอาคมประเภทหนึ่ง น่าจะเป็นวิชาต้องห้ามประเภทหนึ่ง และน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเซียน เพราะว่าคนธรรมดาจะใช้อาคมไม่ได้
แค่เพียงเห็นเท่านี้ ฉงฮุ้ยจินก็เกิดความโกรธและเศร้าใจในการกระทำอันชั่วร้ายของฝูงโจร และเขาสาบานไว้ในใจว่าจะไม่ให้อภัยโจรเหล่านี้อย่างเด็ดขาด
ร่างจิตเทียมค้นพบกองคาราวานของสำนักคุ้มกันภัยเต้าฉูตู้อันเฉียนที่ถูกจับมานานแล้ว เพียงแต่พวกเขายังไม่อยู่ในระยะโจมตี จึงยังไม่เริ่มปฏิบัติการ
ฉงฮุ้ยจินคิดว่าเขาค้นพบแล้วว่าคนเหล่านี้จะมีจุดจบแบบไหน หากถูกนำเข้าไปในป้อมปราการแล้ว และเขาจะยอมปล่อยให้คนเหล่านี้เข้าไปในนั้นไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงเร่งม้าให้เร็วขึ้น
“ย่าห์” เขากระตุ้นม้าให้วิ่งเร็วขึ้น เมื่อทุกคนเห็นก็รีบกระตุ้นม้าให้วิ่งเร็วขึ้นตาม
“เตรียมพร้อมยิง” ฉงฮุ้ยจินสั่งเมื่อวิ่งไปจนถึงระยะหนึ่ง พร้อมกับทำมือเป็นสัญลักษณ์ ก่อนจะดึงสายธนู
“พร้อมยิง” ทุกคนกล่าวขึ้นพร้อมกับยกคันธนูขึ้นน้าว
ผึง ผึงผีงผึงๆๆๆ คันธนูร้อยคันถูกดึงจนตึง พร้อมกับลูกศรที่ติดตั้ง ฉงฮุ้ยจินปล่อยนิ้วออกจากสาย ลูกศรพุ่งขึ้นไปเฉียงสี่สิบห้าองศา ลูกศรที่เหลือถูกยิงตามไปจนดูท้องฟ้าบริเวณนั้นมืดลง
พวกเขาถูกสั่งไว้ให้ยิงลูกศรฉงฮุ้ยจินให้โดน นี่เป็นคำสั่งที่แปลกประหลาดที่สุด แต่ทุกครั้งที่พวกเขาทำเช่นนี้ ลูกศรของพวกเขาจะทะลวงหัวใจ คอหอย หรือเบ้าตาของใครสักคนที่กระทั่งพวกเขาก็ยังไม่เคยเห็นหน้าสักครั้ง
ฉึก ฉึกฉึก ฉึกๆๆๆ ลูกศรนับร้อยทะยานลงมาจากเบื้องสูง แล้วแยกย้ายปักลงไปบนหลังหรือไม่ก็ต้นคอของคนกลุ่มหนี่งที่กำลังเดินไปข้างหน้า คนกลุ่มนั้นล้มลงไปในทันที
“เกิดอะไรขึ้น”
“พวกเราโดนซุ่มยิง”
“หลบเข้าที่กำบัง”
เสียงร้องตะโกนโหวกเหวก ไม่มีใครสนใจนักโทษที่ถูกมัดมือไพล่หลังมัดติดกันไว้ ต่างพากันวิ่งออกไปข้างทางหลบไปยังต้นไม้ที่อยู่ข้างทาง
กองกำลังโจรชุดนี้มีอยู่ทั้งหมดสองร้อยคน เมื่อลูกศรชุดแรกโจมตีมาโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นได้คร่าชีวิตคนเหล่านี้ไปครึ่งหนึ่ง
ลูกศรชุดที่สอง ฉงฮุ้ยจินไม่ได้ยิงลงไปตรงจุดเดิม เขาเลื่อนระยะห่างออกมาอีกเล็กน้อย ลูกศรของเขาพุ่งหายเข้าไปในป่าก่อนที่จะถึงตัวพวกโจร แต่ลูกศรเหล่านั้นไม่ได้ตกพื้น มันลัดเลาะเป็นวงอ้อมโค้งผ่านต้นไม้เข้าหาศัตรู
ในจำนวนนั้นมีสองดอกที่ยิงผ่านไปยังเชือกที่ผูกนักโทษไว้
“ตามมา” ฉงฮุ้ยจินยกมือเก็บคันศรไว้ที่ข้างตัวม้า ควบม้าไปด้วยความเร็ว