บทที่ 136 ข้าไม่สามารถรักษานางได้
ซูรั่วเสวี่ยเริ่มรู้สึกกังวลเล็กน้อย เจียงอี้ไม่สามารถเข้าไปพร้อมกับนางได้หรือ? ถึงอย่างนั้นนางจะยังพูดอะไรได้อีก?
นางต้องการที่จะกล่าวบางอย่างออกมาแต่ก็ถูกเจียงอี้ห้ามไว้ เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับหยิบเงินตำลึงทองจำนวนหนึ่งออกมายื่นให้กับหญิงรับใช้และกล่าว
“พี่สาว ข้ามีความจำเป็นที่จะต้องขอเข้าพบท่านปรมาจารย์ โปรดช่วยเป็นธุระให้ข้าด้วยเถิด”
หญิงรับใช้แอบรับสินบนมาอย่างเงียบๆ ใบหน้าของนางดูอ่อนโยนลงเล็กน้อย แต่นางก็ยังคงปิดประตูก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างเฉยชา “รอสักครู่ ข้าจะไปบอกนายท่านให้!”
ปัง!
เสียงประตูปิดลง หลังจากที่ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง เจียงอี้ที่ยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องก็เริ่มหิวขึ้นมาเล็กน้อย ใบหน้าของซูรั่วเสวี่ยในเวลานี้ก็เผยให้เห็นร่องรอยของความโกรธ แต่สีหน้าของเจียงอี้ก็ยังสงบเช่นเดิม เขาหันมามองหน้านางและกล่าวอย่างใจเย็น
“ไม่ต้องรีบร้อน ในทวีปแห่งนี้มีหมอเทวะอยู่มากเท่าใดกันเชียว? แม้ว่าจะต้องรอนานสักหน่อย แต่หากได้พบกับคนระดับนั้น มันก็ยังนับว่าคุ้มค่า”
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่รู้เรื่องนี้หรือยังไง?!”
ซูรั่วเสวี่ยเม้มปากด้วยความโกรธ ใบหน้าของนางงดงามและเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์ซึ่งทำให้เจียงอี้ตกตะลึง พวกเขาทั้งคู่ยืนสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่นานนักซูรั่วเสวี่ยก็ได้สติกลับมา… มันคงไม่ดูสนิทสนมกันเกินไปหรอกนะ?
นางรีบหันศีรษะหนี แม้ว่าเวลาจะผ่านไปแต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้สนทนากันอีก มันยิ่งทำให้บรรยากาศดูแปลกประหลาดมากยิ่งขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงอี้ได้เจอกับซูรั่วเสวี่ยหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสุสานราชันสวรรค์ แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะไม่ได้เจอกันเป็นเวลานาน แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนไป
ถึงจะค้นพบภายหลังว่าเจียงอี้เป็นบุตรชายของเจียงเปี๋ยหลี แต่ซูรั่วเสวี่ยก็ไม่ได้ปฏิบัติกับเขาแตกต่างจากเดิม ความจริง นางไม่แม้แต่จะตั้งคำถามกับเขาเสียด้วยซ้ำ
เอี๊ยดด!
โชคดีที่ประตูของตำหนักเปิดขึ้นและทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ หญิงรับใช้เหลือบมองทั้งคู่ด้วยท่าทีหยิ่งยโสเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าว “พวกท่านเข้ามาได้”
เจียงอี้และซูรั่วเสวี่ยพยักหน้าเล็กน้อยและตามหญิงรับใช้เข้าไป นางนำพวกเขาไปสู่ห้องรับรองเล็กๆและไม่แม้แต่จะบริการน้ำชาให้กับพวกเขา จากนั้นนางก็เดินจากไปพร้อมกับทิ้งคำพูดไว้
“รออยู่ที่นี่ก่อนแล้วกัน หลังจากที่ปรมาจารย์เลี่ยวทำงานเสร็จแล้ว เขาจะออกมาพบพวกท่าน…”
เจียงอี้กับซูรั่วเสวี่ยมองหน้ากันและหัวเราะด้วยความขมขื่น ต้องทราบก่อนว่าในสำนักจิตอสูรแห่งนี้ ปรมาจารย์เลี่ยวมีสถานะเป็นรองแค่เจ้าสำนักจูเก๋อเท่านั้น แม้ว่าจะอยู่นอกสำนัก แต่บรรดาผู้นำตระกูลที่ทรงพลังต่างก็ต้องปฏิบัติกับเขาด้วยความเกรงใจ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ พวกเขาก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
ในทวีปเทียนชิงเต็มไปด้วยการต่อสู้อันโหดร้าย ผู้เชี่ยวชาญยุทธไม่สามารถรู้ได้ว่าพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บหรือล้มตายเมื่อใด นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหมอเทวะทั้งสี่ท่านถึงเป็นบุคลากรอันล้ำค่า
หากว่ามีโอสถสมุนไพรที่ดีพอ หมอเทวะสามารถช่วยชีวิตหรือลากวิญญาณคนตายกลับมาจากมือของยมทูตได้ ดังนั้นถึงไม่ต้องพูดก็รู้ว่าสถานะของหมอเทวะทั้งสี่ท่านนั้นสูงส่งและเป็นที่นับถือมากแค่ไหน
เจียงอี้และซูรั่วเสวี่ยต้องนั่งรออีกเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ชายชราผู้ซึ่งสวมชุดคลุมสีเทาจะเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า ด้านหลังของเขาเป็นหญิงรับใช้สองนางที่คอยติดตามมาอย่างใกล้ชิด
หนึ่งในหญิงรับใช้นำน้ำชามาบริการ ชายชราจิบน้ำชาอย่างไม่ทุกข์ร้อน จนในที่สุดเขาก็เบนสายตาหันมามองซูรั่วเสวี่ยและเอ่ย
“อาจารย์ซู ลมอะไรหอบเจ้ามาในวันนี้?”
เจียงอี้และซูรั่วเสวี่ยยืนขึ้นพร้อมกันและโค้งคำนับให้ชายชรา จากนั้นนางก็เอ่ย “ปรมาจารย์เลี่ยว ข้าจะไม่ปิดบังท่าน พวกเรามาที่นี่เพื่อมาขอร้องให้ท่านช่วยคนผู้หนึ่ง!”
ดูแล้วปรมาจารย์เลี่ยวผู้นี้คงจะมีอายุราวๆห้าสิบถึงหกสิบปี แต่ผมของเขายังคงดกดำและมีผิวพรรณที่อ่อนเยาว์ซึ่งดูคล้ายกับคนที่มีอายุเพียงแค่สามสิบสี่สิบปีเท่านั้น แม้ว่าจะมีใบหน้าที่ธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีกลิ่นอายพิเศษบางอย่างที่ทำให้ผู้ที่เดินผ่านไปต้องเหลียวหลังกลับมามอง
ชายชราหัวเราะออกมาและน้อยก่อนที่จะเปิดปากแล้วพูดต่อ “เจ้าก็รู้กฎดีอยู่แล้ว ค่าใช้จ่ายจะสูงมากหากต้องการความช่วยเหลือจากข้า”
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกาย เขาไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปและตะโกนออกมา “ไม่ว่าค่าใช้จ่ายจะสูงแค่ไหนตราบเท่าที่ท่านปรมาจารย์ยินดีช่วย ข้าก็พร้อมที่จะจ่าย!”
“ฮึ่ม!”
ปรมาจารย์เลี่ยวเค้นเสียงในคำคอและเมยเฉยต่อท่าทีของเจียงอี้โดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นหนึ่งในหญิงรับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆก็กล่าวตำหนิเขาอย่างรุนแรง
“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงกล้าพูดแทรกท่านปรมาจารย์? หากเจ้ายังกล้าพูดออกมาแม้แต่คำเดียว เช่นนั้นก็ออกไปเสีย!”
"…"
การแสดงออกทางสีหน้าของเจียงอี้เปลี่ยนไป แม้แต่ซูรั่วเสวี่ยก็เริ่มมีโทสะขึ้นมาแล้วจริงๆ เป็นเพียงแค่สาวใช้ กล้าดียังไงมาพูดเช่นนี้? แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาจะสามารถทำอะไรได้ เจียงอี้นั่งลงและปิดปากเงียบ ทางด้านของซูรั่วเสวี่ยก็แอบกำหมัดจากนั้นก็เอ่ยถาม
“รั่วเสวี่ยเข้าใจกฎดี ท่านปรมาจารย์โปรดเรียกราคามาได้เลย”
ปรมาจารย์เลี่ยวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและกล่าอย่างสบายๆ “บอกข้าเกี่ยวกับอาการของคนป่วยมาก่อน หากข้าพิจารณาแล้วว่าไม่สามารถรักษาได้ เจ้าก็จะได้ไม่ต้องเสียเงินอย่างสูญเปล่า”
โชคดีที่เจียงอี้ได้บอกอาการของเสี่ยวนู๋ให้ซูรั่วเสวี่ยฟังก่อนแล้ว นางจึงสามารถกล่าวได้ในทันที “นางเป็นหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งได้รับพิษของแมงมุมแม่ม่ายดำ ก่อนหน้านี้มีคนพยายามกำจัดพิษออกจากร่างกายแล้ว แต่โชคร้ายที่มีพิษบางส่วนแทรกซึมเข้าไปในสมองของนางซึ่งทำให้นางตกอยู่ในสภาพเจ้าหญิงนิทรา…”
“แมงมุมแม่ม่ายดำ?”
คิ้วของปรมาจารย์เลี่ยวขมวดเข้าหากัน หลังจากที่พึมพำกับตัวเองอยู่ชั่วครู่ เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง “นางถูกพิษนานแค่ไหนแล้ว?”
ซูรั่วเสวี่ยเริ่มคำนวณและกล่าวตอบ “ประมาณแปดถึงเก้าเดือน”
“เป็นปัญหาแล้ว!”
ปรมาจารย์เลี่ยวส่ายศีรษะพลางเอ่ย “หากพวกเจ้ามาหาข้าตั้งแต่เนิ่นๆ พิษพวกนั้นคงถูกกำจัดออกได้อย่างไม่ยากเย็น แต่เท่าที่ฟังมา ดูเหมือนว่าพิษเหล่านั้นจะแทรกซึมไปถึงวิญญาณของนางแล้ว แม้ว่าจะรอด แต่เกรงว่านางอาจจะต้องกลายเป็นคนปัญญาอ่อน!”
“พวกเจ้ากลับไปเสียเถอะ แม้ว่าข้าจะรักษาให้ได้ แต่พวกเจ้าก็คงไม่มีปัญญาจ่ายอยู่ดี!”
เปรี้ยง!
หลังจากที่ฟังคำพูดของปรมาจารย์เลี่ยวจนจบ เจียงอี้ก็รู้สึกราวกับว่าถูกสายฟ้าฟาดลงกลางหัวใจ ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความกังวลและหวาดกลัว แต่เขาก็ยังไม่กล้าเปิดปากและทำได้เพียงแค่ส่งสัญญาณทางสายตาให้กับซูรั่วเสวี่ย
ทางซูรั่วเสวี่ยเองก็ไม่มั่นใจว่าชราชายพิจารณาแล้วว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะรักษาเจียงเสี่ยวนู๋หรือเขาเพียงแค่ต้องการทำให้พวกเขากลัวเท่านั้น เมื่อนางเห็นว่าปรมาจารย์เลี่ยวกำลังลุกขึ้นและเตรียมตัวจากไป นางก็กัดฟันแน่นและโค้งคำนับอีกครั้ง
“ท่านปรมาจารย์ได้โปรดเถิด! ไม่ว่าจะแพงแค่ไหน พวกเราก็ยอมจ่าย!”
“หืม?”
ร่องรอยความดูถูกปรากฏอยู่ในดวงตาของชายชรา จากนั้นเขาก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา “วิญญาณเป็นส่วนที่เข้าถึงยากที่สุดของมนุษย์ หากเจ้าต้องการช่วยชีวิตแม่นางผู้นั้น ก่อนอื่น เจ้าก็ต้องหาสมุนไพรสยบวิญญาณ จากนั้นก็ใช้โสมเก๋ากี้พันปีในการขับพิษ สุดท้ายก็ต้องใช้สมุนไพรชีเย่สามกลีบเพื่อช่วยในการคงสภาพ”
“เมื่อใดที่พวกเจ้ารวบรวมสมุนไพรวิญญาณได้ครบทั้งสามอย่างแล้วค่อยกลับมาหาข้า!”
หลังจากที่กล่าวจบ ปรมาจารย์เลี่ยวก็เดินกลับเข้าไปในห้อง หนึ่งในหญิงรับใช้ก็หันหลับมามองพวกเขาทั้งสองและกล่าว “เชิญพวกท่านกลับไปได้แล้ว”
สมุนไพรสยบวิญญาณ? โสมเก๋ากี้พันปี? สมุนไพรชีเย่สามดอก?
เจียงอี้และซูรั่วเสวี่ยลอบสบตากัน สีหน้าของพวกเขาดูมืดมน ความจริงแล้วพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อของสมุนไพรพวกนี้มาก่อนด้วยซ้ำ
แต่ละย่างก้าวที่เดินออกจากตำหนักช่างยากลำบากนัก ซูรั่วเสวี่ยเหลือบมองใบหน้าของเจียงอี้ที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย ในที่สุดนางก็ทนไม่ได้จนต้องการปลอบโยน
“เจียงอี้อย่าได้คิดมาก หากปรมาจารย์เลี่ยวเอ่ยถึงสมุนไพรวิญญาณทั้งสาม นั่นก็แสดงว่าพวกมันจะต้องอยู่ในทวีปแห่งนี้อย่างแน่นอน! เมื่อใดที่พบเบาะแส ข้าจะช่วยเจ้าค้นหาพวกมันเอง!”
“ขอบคุณ อาจารย์ซู!”
เจียงอี้ฝืนยิ้มออกมา จากนั้นไม่นานเขาก็ขอปลีกตัวไปคนเดียว
เขามองหาเฉียนว่านก้วน หลังจากที่เจอแล้วเขาก็รีบซักถามอีกฝ่าย แม้ว่าเจ้าอ้วนจะดูสับสนเล็กน้อย แต่เขาก็รีบออกไปหาข้อมูลและกลับมาภายในหนึ่งชั่วโมง จากนั้นเขารีบดึงเจียงอี้เข้าไปในห้องและกล่าวด้วยความเดือดดาล
“บัดซบ! ลูกพี่ เจ้าหมาแก่ตัวนั้นต้องการที่จะกรรโชกเจ้าอย่างแน่นอน! โสมเก๋ากี้พันปีและสมุนไพรชีเย่สามกลีบถูกจัดอยู่ในระดับเดียวกับสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งพวกมันยังมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าสิบล้านตำลึงทอง!”
“ส่วนสมุนไพรสยบวิญญาณ มีแห่งข่าวบอกมาว่าทั่วทั้งทวีป พวกมันถูกค้นพบเพียงแค่สิบต้นเท่านั้น…”
“สิบล้านตำลึงทอง?”
เจียงอี้รู้สึกหน้ามืดจนแทบจะเป็นลมล้มพับไป หนึ่งปีก่อนในตอนที่ยังอยู่ในเมืองเทียนอวี่ เขาต้องต่อสู้แทบตายกว่าได้กว่าจะได้เงินมาสิบตำลึงทอง แต่บัดนี้ เขากลับต้องหาวิธีรวบรวมเงินสิบล้านตำลึงทองให้เร็วที่สุด? ดูเหมือนว่าแม้แต่สมุนไพรวิญญาณชนิดเดียวในนั้น มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้มันมาครอง!