DTH ตอนที่ 15 เจ้านั่นกินมากเกินไปแล้วไม่มีอะไรทำรึไง?
ไม่นานหลังจากนั้น
ยามก็กลับมาและยืนล้อมรอบลานด้านหลังเอาไว้
“อาจารย์ เราไม่พบร่องรอยของนักฆ่า” ยามคนหนึ่งรายงาน
โจว เชียงเหมาโบกมือและบอกให้ยามกลับไป เพราะตั้งแต่ที่อีกฝ่ายกล้ามาที่ตระกูลหลินเพื่อสังหารลูกพี่ลูกน้องของเขา ชายคนนั้นจะต้องเตรียมการเอาไว้อย่างดีแน่นอน
ในใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย
แม้ว่าลูกพี่ลูกน้องเขาจะแข็งแกร่ง แต่อย่างมากเขาก็อยู่แค่ระดับหนึ่งของเส้นทางการต่อสู้เท่านั้น
นักฆ่าที่มามันจะต้องอ่อนแอขนาดไหนถึงได้ทำภารกิจล้มเหลวแบบนี้?
หลิน ฟานมองเข้าไปในกระจกแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตัวเขาในกระจกมีใบหน้าที่ขมขื่น และรอบดวงตาของเขามันก็มีรอยดำคล้ำ
“โอ้พระเจ้า นี้ข้าไปสร้างความขุนเคืองให้ใคร? เขาสามารถต่อยข้าได้ทุกที่ แต่ทำไมเขาต้องเล็งไปที่ตาด้วย? แม่งเอ้ย!”
ในฐานะนายน้อยของตระกูลที่ร่ำรวย สิ่งที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดเลยก็คือภาพลักษณ์ของเขา
“ลูกพี่ลูกน้องดูนี่ นักฆ่าทิ้งสิ่งนี้เอาไว้” โจว เชียงเหมารู้สึกเจ็บแทนลูกพี่ลูกน้องของเขา เขาสาบานเอาไว้กับตัวเองว่าถ้าเขาจับนักฆ่าคนนั้นได้เขาจะหั่นมันเป็นชิ้นๆ
อย่างไรก็ตามมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่นักฆ่าทิ้งเอาไว้
ตอนนั้นเองโกวชิก็ได้นำไข่ต้มจากในห้องครัวมาให้นายน้อยของเขาลดอาการบวม
โชคดีที่เขานำมันมาให้ทันเวลา
มิฉะนั้นผลที่ตามมามันคงจะเป็นหายนะ
หลิน ฟานถูไข่กับตาและเงยหน้าขึ้นมา เขาทำเป็นไม่สนใจแต่เสียงของเขาค่อนข้างเจ็บปวด “มันคืออะไร?”
“คัมภีร์อาทิตย์ม่วงสี่นักบุญ?”
“ลูกพี่ลูกน้อง ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเทคนิคการบ่มเพาะจิตใจ”
โจว เชียงเหมาตกใจมาก เพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่าสิ่งที่นักฆ่าทิ้งเอาไว้มันจะเป็นเทคนิคการบ่มเพาะจิตใจ
สำหรับเส้นทางการต่อสู้แล้ว เทคนิคการบ่มเพาะจิตใจมันเป็นของที่สำคัญมาก
ส่วนสิ่งที่ตัวเขากำลังฝึกฝนอยู่ก็คือคัมภีร์หัวใจปีศาจที่ถูกมอบให้โดยลุงของเขา
“เทคนิคการบ่มเพาะจิตใจ? มันมีประโยชน์รึเปล่า?” ตอนนี้หลิน ฟานโกรธมากจนอยากจะหานักฆ่าคนนั้นและต่อยหน้ามันสักที จากนั้นเขาก็จะถามต่อว่าแกรู้วิธีต่อยที่อื่นนอกจากตาหรือไม่
โจว เชียงเหมาต้องการให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาฝึกฝนมัน เขาจึงรีบพูดกลับไปอย่างรวดเร็ว “ลูกพี่ลูกน้องมันจะไปไร้ประโยชน์ได้อย่างไร? ลองดูนี่นะ....”
ในขณะที่เขาพูดแบบนั้น
เขาเหยียดมืออกไปและเปลี่ยนมันเป็นกรงเล็บ จากนั้นก็บีบแจกันดอกไม้ที่อยู่ไกลออกไป
มันมีพลังที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าระเบิดออกมาจากมือของโจว เชียงเหมา
“แล้วมันทำไม?” หลิน ฟานมองไปที่เขา “ลูกพี่ลูกน้อง ตอนนี้เรากำลังพูดถึงเรื่องที่ข้าถูกโจมตีอยู่ แล้วทำไมเจ้าถึงไปพูดถึงเรื่องเทคนิคการบ่มเพาะจิตใจกับข้ากันละ?”
“ลูกพี่ลูกน้อง พรสวรรค์ของท่านในโลกนี้มันคงไม่มีใครสามารถเทียบท่านได้ มิฉะนั้นมันคงจะเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกวิชาดาบพยัคฆ์อาฆาตเพียงช่วงเวลาสั้นๆให้มาถึงจุดสูงสุด”
“ข้าเชื่อว่าตราบใดที่ท่านยอมฝึกเทคนิคการบ่มเพาะจิตใจ ท่านจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีใครเทียบได้เหมือนท่านลุง”
โจว เชียงเหมาจู้จี้ เพราะเขาหวังว่าลูกพี่ลูกน้องของเขาจะเต็มใจฝึกฝนมัน
หลิน ฟานยกมือขึ้นเพื่อขอให้เขาเงียบ
ตอนนี้เขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
เทคนิคการบ่มเพาะจิตใจอันนี้มันตกลงมาจากร่างของนักฆ่าคนนั้น
นั่นมันก็หมายความว่าสิ่งนี้มันเหมาะสมสำหรับนักฆ่าเท่านั้น
“โกวชิ” หลิน ฟานมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจ “เอาเทคนิคการบ่มเพาะจิตใจอันนี้ไปทำสำเนา และพรุ่งนี้ก็แปะมันเอาไว้รอบๆสนามเพื่อที่ทุกคนจะสามารถฃศึกษามันได้”
“ขอรับนายน้อย” โกวชิตอบ
โจว เชียงเหมากลั้นหายใจ ความคิดของลูกพี่ลูกน้องมันพิเศษเกินไปหน่อย
หลิน ฟานไม่สนใจและโบกมือของเขา “ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว ปล่อยให้ใครสักคนปกป้องข้า และให้ที่เหลือกลับไปนอน”
เขายังคงกลัวนักฆ่าคนนั้นอยู่
ถ้าไม่มีใครอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเขา เขากลัวว่านักฆ่าคนนั้นจะย้อนกลับมาและสังหารเขาอีกรอบหนึ่ง หรือมันอาจจะส่งคนที่เชี่ยวชาญมากกว่านี้มาก็ได้
ถ้ามันถึงตอนนั้นเข้าจริงๆ ถึงเขาอยากจะร้องไห้แต่มันก็คงไม่มีน้ำตาออกมา
“ลูกพี่ลูกน้องนอนได้เลยไม่ต้องห่วง เพราะเดี๋ยววันนี้ข้าจะเป็นคนป้องกันด้านนอกให้ท่านเอง ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายท่านแน่” โจว เชียงเหมาพูด
ห้องศึกษาตระกูลหลิน
หลิน วานยี่ถอดหน้ากากบนใบหน้าของเขาออก “เจ้าเด็กนั่นคิดว่าการเตะพ่อของตนเป็นเรื่องสนุกรึไง?”
หากหลิน ฟานรู้ว่าคนที่ต่อยตาเป็นพ่อราคาถูกของเขา เขาคงจะกระอักเลือดออกมา
มันจำเป็นต้องทำแบบนี้ไหม?
หากพวกเขาแก้แค้นกันไปมาแล้วเมื่อไหร่มันจะจบ?
การได้นั่งคุยกันอย่างสงบและไม่ต่อสู้กันมันจะดีกว่าไหม?
อย่างไรก็ตามสำหรับหลิน วานยี่แล้ว เขาใช้ความพยายามไปมากกับการทำให้ลูกที่ไร้ประโยชน์คนนี้ฝึกฝน
อย่างไรก็ตามตอนนี้มันก็ดีมากแล้วที่เด็กคนนั้นไม่ทำให้เขาผิดหวัง แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม
และแม้ว่าลูกของเขาจะไม่ได้ฝึกฝนเทคนิคการบ่มเพาะจิตใจอะไรเลย แต่ความแข็งแกร่งของเขาที่แสดงออกมามันก็ได้มาถึงระดับหนึ่งแล้ว
โดยเฉพาะความเข้าใจเกี่ยวกับวิชาดาบพยัคฆ์อาฆาต มันได้มาถึงระดับที่คนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงได้
ระดับของเทคนิคมันจะแบ่งออกเป็นหลายอาณาจักร
เริ่มจากพื้นฐาน จากนั้นเป็นผ่านเข้า รอบรู้ ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง จุดสูงสุด และจบด้วยกลับสู่ความเป็นจริง
ในหกอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่นี้ สามขั้นแรกคนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ถ้าคนๆนั้นไม่ได้โง่จนเกินไป
สามอาณาจักรหลังต้องการความเข้าใจระดับหนึ่ง และสำหรับการเข้าสู่อาณาจักกลับสู่ความเป็นจริง มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆแม้ว่าเทคนิคนั้นจะเป็นเพียงแค่เทคนิคธรรมดาอย่างวิชาดาบพยัคฆ์อาฆาตก็ตาม
หากมีใครสามารถฝึกฝนวิชาให้ถึงระดับกลับสู่ความเป็นจริงได้ละก็ พลังของมันจะเป็นสิ่งที่น่าตกตะลึงมาก
เอี๊ยด!
อาวุโสวูเดินเข้ามาในห้องศึกษา
“นายท่าน”
หลิน วานยี่ยิ้ม “เจ้าเด็กนั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
อาวุโสวูส่ายหัวอย่างข่มขื่น “นายท่าน หมัดของท่านทำให้ตาขวาของเขาบวม หากเขาไม่ได้พักสักสองสามวันอาการมันจะไม่ดีขึ้น”
“หลังจากที่นายน้อยได้รับคัมภีร์อาทิตย์ม่วงสี่นักบุญเขาก็ไม่ได้สนใจมัน และได้มอบมันให้กับคนรับใช้เพื่อไปทำสำเนาจากนั้นก็ให้ไปติดเอาไว้บนกำแพงในลานด้านหลังเพื่อให้ทุกคนสามารถเรียนรู้มันได้”
หัวหน้าตระกูลใช้ความพยายามมากมายไปกับนายน้อย
และเพื่อให้มีแรงกดดันต่อนายน้อยเขาจึงลงทุนปลอมตัวเป็นนักฆ่า และตั้งใจทิ้งเทคนิคการบ่มเพาะจิตใจเอาไว้เมื่อออกมา
ถ้าเป็นคนปกติเมื่อพวกเขาได้รับเทคนิคนี้พวกเขาจะดีใจ
อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถปฏิบัติกับนายน้อยเหมือนคนปกติได้
เพราะหลังจากที่เขาได้รับเทคนิคการบ่มเพาะจิตใจ เขาไม่เพียงแต่ไม่ตื่นเต้น แต่เขายังต้องการกระจายมันให้ผู้อื่นอีกต่างหาก!
“อะไรนะ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิน วานยี่เปลี่ยนเป็นความโกรธ “เจ้าเด็กนั่นทำแบบนั้นจริงงั้นรึ?”
“นายท่านวิธีนี้มันใช้ไม่ผล เพราะนายน้อยไม่แม้แต่จะสนใจมัน” อาวุโสวูพูดต่อ “และการที่นายน้อยสามารถฝึกวิชาดาบพยัคฆ์อาฆาตให้มาถึงอาณาจักรจุดสูงสุดได้เช่นนี้แปลว่าความเข้าใจของเขานั้นดีมากจริงๆ ถ้าเขาเอาแต่ทำตัวแบบนี้ต่อไปมันจะเป็นการทำให้พรสวรรค์ของเขานั้นสูญเปล่า”
“ช่างเป็นเด็กที่ไม่เอาไหนซะจริง!”
เมื่อเขาได้ยินแบบนั้นความโกรธในใจของเขามันก็เริ่มที่จะระเบิดออกมาอีกครั้ง
ในตอนกลางวันข้าจะปล่อยให้เขามีความสุขไปกับชีวิตของเขา
ส่วนในเวลากลางคืนข้าจะให้ฝันร้ายแก่เขา
“เอามันกลับมา” หลิน วานยี่พูด
อาวุโสวูคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพูดออกมา “นายท่าน ข้าไม่คิดว่าเราจำเป็นต้องนำมันกลับมา เพราะว่ามันถูกวางเอาไว้อยู่ตรงนั้นทุกวัน มันจะต้องมีสักวันหนึ่งที่นายน้อยสนใจและคิดที่จะหยิบมันขึ้นมาฝึกฝน”
“และข้าก็จะเป็นคนดูแลมันเองเพื่อไม่ให้มีใครคิดจะขโมยมัน”
หลิน วานยี่ถอนหายใจและไม่ได้พูดอะไรอีก
เขายกมือขึ้นเพื่อบอกให้อาวุโสวูออกไป
เมื่ออาวุโสวูออกจากห้องแล้ว เขาก็เงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “นายน้อยท่านต้องรีบแล้ว เวลาของเราเหลืออีกไม่มาก”
วันรุ่งขึ้น ตอนเช้าตรู่
ลานด้านหลังตระกูลหลิน
ภายในบ้าน
เมื่อหลินฟานลืมตา ไข่ต้มที่ตาขวาของเขามันก็เย็นลงแล้วหลังจากที่เขาวางมันเอาไว้ทั้งคืน
เขาแกะเปลือกมันออกและใส่เข้าไปในปาก
จากนั้นเขาก็เดินมาที่กระจก
“ทำไมมันถึงยังไม่ดีขึ้น?”
หลิน ฟานปวดหัว ตาขวาของเขามันเป็นรอยเหมือนตาของหมีแพนด้า ซึ่งส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเขาในฐานะนายน้อยที่ร่ำรวย
ตอนนั้นเองที่โกวชิเดินเข้ามาเพื่อช่วยเขาทำความสะอาด
“โกวชิ ถ้าข้าออกไปข้างนอกทั้งๆแบบนี้มันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของข้าไหม?” หลิน ฟานถาม
“นายน้อย ไม่ว่าเมื่อไหร่ภาพลักษณ์ของท่านก็สะดุดตาอยู่เสมอ แม้ว่าตาขวาของท่านจะเป็นสีดำเล็กน้อย มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรเลย” โกวชิตอบ
หลิน ฟานทำตัวไม่ถูก และรู้สึกว่าถึงเขาจะถามอะไรต่อไปมันก็ไร้ประโยชน์
“หืม!”
ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าเขาได้รับคะแนนความโกรธมากมาย
คะแนนความโกรธ : 1,201
ก่อนที่เขาจะนอนเขามีเพียงแค่ 101 คะแนนเท่านั้น
แล้วทำไมหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาถึงได้รับเยอะขนาดนี้?
มันเป็นใคร?
ใครที่ไม่สนใจที่จะนอนแล้วเอาเวลานั้นมาโกรธเขาแทน?
หรือว่าเพื่อนคนนั่นจะกินมากเกินไปและไม่มีอะไรทำ?