บทที่ 135 ข้าเป็นพ่อของเขา
ไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องยอมรับว่าสมาชิกตระกูลเจียงนั้นทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพียงสองชั่วโมงก่อนเจียงเหรินถูจะกลับมาถึง เขาก็ตรวจสอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจียงอี้ตั้งแต่เจียงอี้อยู่ที่เมืองเทียนอวี่ไปจนถึงตอนอยู่ที่สำนักจิตอสูร
หลังจากฟังรายงานของเจียงเหรินถู การแสดงออกของเจียงเปี๋ยหลีก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาของเขาแผ่ความเยือกเย็นอันหนาวเหน็บในขณะที่เขานิ่งเงียบมานาน
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจสั้นๆ "อีเพียวเพียว เจ้าช่างโหดเหี้ยมเสียเหลือเกิน เจ้าพยายามที่จะแก้แค้นข้าโดยการไม่บอกถึงการมีชีวิตอยู่ของเจียงอี้เชียวหรือ?"
เจียงเหรินถูยืนอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆและรอให้เจียงเปี๋ยหลีคร่ำครวญก่อนที่จะถามว่า "ท่านจอมพล จากข้อมูลนี้ดูเหมือนว่าองค์ชายกำลังฝึกฝนศาสตร์ลึกลับหรือทักษะการต่อสู้ที่ดูบ้าคลั่ง เป็นไปได้หรือไม่ว่า...นายหญิงอีจะเป็นคนสืบทอดพลังให้?"
"ข้าเองก็ไม่แน่ใจ!"
เจียงเปี๋ยหลีส่ายหัวและพูดอย่างจริงจัง "อีเพียวเพียวนางมีความลับมากมายเกี่ยวกับตัวเอง ข้ายังไม่แน่ใจเรื่องต้นกำเนิดของนางจนกระทั่งบัดนี้ หากนางเป็นผู้ถ่ายทอดพลังให้เจียงอี้ ทำไมนางถึงผนึกตันเทียนของเขาไว้กัน?"
"ฮะ!"
เจียงเหรินถูค่อนข้างสับสน เขากระพริบตาและถามว่า "ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดีขอรับ? ฝ่าบาทดื้อด้านเกินไปและดูเหมือนเขาจะไม่ชอบท่าน ข้าเกรงว่าเขาจะไม่กลับมาด้วยความเต็มใจ หากว่า...ท่านไปพบเขาเป็นการส่วนตัวจะดีไหมขอรับ?"
"ทำไมข้าจะต้องไปหาเขา?"
เจียงเปี๋ยหลีจ้องไปที่เจียงเหรินถูด้วยสายตาที่เฉยเมยและพูดอย่างเยือกเย็น "ข้าเป็นพ่อของเขาและเขาคือลูกชายของข้า เมื่อไหร่กันที่พ่อถูกบังคับให้ต้องไปหาลูกชายตัวเอง ถ้าเขาต้องการจะกลับมา เขากลับมาได้ หากไม่เช่นนั้น ก็ให้เขาตายอยู่ข้างนอกไป!"
"เฮ้อ ..."
เจียงเหรินถูลดศีรษะลงแล้วถอนหายใจ เจียงเปี๋ยหลีพูดถึงเจียงอี้ว่าเป็นคนดื้อรั้นเหมือนอีเพียวเพียว แต่ไม่ได้พูดว่านิสัยของเจียงอี้ก็คล้ายกับเขาเช่นกัน
เขารู้จักเจียงเปี๋ยหลีเป็นอย่างดีจนรู้ว่าเขาเป็นบุคคลที่มีความภาคภูมิใจในตัวเอง สำหรับเขาแล้ว การที่จะถ่อมตัวลงไปและไปพาเจียงอี้กลับมามันจะไม่มีทางเกิดขึ้น
เจียงเหรินถูเงียบครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะถามอีกครั้ง "เราจะส่งหน่วยลับสักสองคนไปปกป้องพระองค์หรือไม่ขอรับ?"
"ไม่ต้อง!"
เจียงเปี๋ยหลีโบกมือปัด “เรามอบความหวังดีให้กับเขามากพอแล้ว เขาดื้อรั้นมากเกินไปแล้ว ไม่ต้องไปสนใจเขาอีก ปล่อยให้เขาไปท่องโลกภายนอกก่อน เมื่อเขาเจอทางตันและไม่เหลือทางใด เขาจะกลับมาหาข้าด้วยตัวเอง”
“ขอรับ เช่นนั้นผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นี้ขอลานะขอรับ!”
เจียงเหรินถูเห็นเจียงเจียงเปี๋ยหลีหันหลังกลับไปและไขว้มือไว้ที่หลังของเขา เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากนำตัวเองออกจากที่นั่นเอง
เจียงเปี๋ยหลีมีความจริงใจในครั้งนี้ แต่มันก็น่าเสียดายที่เจียงอี้ไม่มีไหวพริบเอาเสียเลย ตอนนี้เจียงเปี๋ยหลีนั้นโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด ความภาคภูมิใจของนักสู้อันดับหนึ่งแห่งอาณาจักรเสินหวู่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนจะเหยียบย่ำได้ แม้ว่าจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเองก็ตาม
...
เหตุการณ์นี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งราชอาณาจักรเสินหวู่ดั่งไฟป่าและลามไปทั่วทั้งทวีป
เจียงเปี๋ยหลีเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้อันดับหนึ่งของอาณาจักรเสินหวู่และเป็นหนึ่งในนักสู้ชั้นยอดของทวีป เรื่องราวของเขาได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิดโดยตระกูลใหญ่ๆจากอาณาจักรทั้งหก ชื่อของเจียงอี้ก็ได้ปรากฏอยู่ในข้อมูลของตระกูลเหล่านั้นมากมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอาณาจักรเสินหวู่ ชื่อเสียงของเจียงอี้เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ขึ้น ความวุ่นวายภายในสุสานราชันสวรรค์นั้นใหญ่โตเกินไปและไม่อาจระงับข้อมูลได้ มันทำให้ตระกูลต่างๆที่ได้รับข้อมูลเกิดความโกลาหล
เขาเป็นขยะขั้นแรกของขอบเขตฉูติ่งเมื่อครึ่งปีที่แล้ว? ตอนนี้ไม่มีใครในขอบเขตจื่อฝู่ที่เทียบเขาได้? ความแข็งแกร่งของเขาอยู่เพียงแค่ขั้นที่เจ็ดขอบเขตฉูติ่ง?
เมื่อทุกคนหวนนึกว่าเจียงอี้เป็นลูกชายของเจียงเปี๋ยหลี พวกเขากลับไม่พบว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาดอะไร มังกรให้กำเนิดมังกร นกฟีนิกซ์ให้กำเนิดนกฟีนิกซ์ ลูกหนูจะรู้วิธีขุดหลุมโดยธรรมชาติ มันคงจะแปลกจริงๆถ้าลูกชายของเจียงเปี๋ยหลีนั้นเป็นขยะ เมื่อตัวเขาเป็นอัจฉริยะของรุ่น
เจียงอี้ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นในโลกภายนอก แม้ว่าเฉียนว่านก้วนต้องการบอกเขา แต่เขาก็ไม่อยากรับรู้
วันที่เขากลับไปที่สำนักจิตอสูร เขาตรงเข้าไปสันโดษและพร่ำฝึกฝน เขาได้รับสมบัติมากมายกับซูรั่วเสวี่ยและผ่านการชำระโลหิตด้วยความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม หลังจากที่เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์สำนักสามัญ เขาไม่ต้องล่าสัตว์อสูรอีกต่อไป นอกเหนือจากการทานอาหารหรือนอนหลับ เขาจะใช้เวลาที่เหลือในห้องบ่มเพาะ
จากข้อมูลของซูรั่วเสวี่ย ปรมาจารย์เลี่ยวจะกลับมาในอีกประมาณหนึ่งเดือน เขาต้องการเพิ่มขั้นและบ่มเพาะพลังของเขาต่อไปเพื่อที่เขาจะได้ท้าทายศิษย์ห้าคนและเลื่อนตำแหน่งไปอีกระดับ ก่อนที่จะขอให้ปรมาจารย์เลี่ยวช่วยรักษาเจียงเสี่ยวนู๋
เขาตัดสินใจแล้วว่าเมื่อเจียงเสี่ยวนู๋ได้รับการรักษาแล้ว เขาก็จะหนีไปกับนางและเจียงหยุนไฮ่ทันที เขาต้องการที่จะออกจากอาณาจักรเสินหวู่เพราะเขาไม่ต้องการอยู่ภายใต้สายตาของเจียงเปี๋ยหลีซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ
ที่จริง ... ถึงแม้ว่าเจียงอี้จะไม่เพิ่มขั้น เขาก็อาจจะผ่านการทดสอบการเลื่อนขั้นได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าเขาจะต้องเผชิญกับศิษย์ชั้นยอดห้าคนก็ตาม แม้แต่ตอนนี้เขาคงจะสามารถท้าทายศิษย์อัจฉริยะได้ด้วยซ้ำ ด้วยการใช้เจตจำนงแห่งการสังหาร แม้กระทั่งศิษย์อันดับหนึ่ง องค์หญิงหยุนเฟย ก็คงไม่สามารถต้านทานเขาได้ใช่ไหม?
ความเป็นจริงแล้ว ในใจของเหล่าศิษย์ พวกเขาได้เห็นเจียงอี้เป็นผู้ที่แข็งแกร่งอันดับหนึ่งแล้ว มีเพียงแค่เจียงอี้ที่ไม่รู้เรื่องนี้
แน่นอนว่า ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เจียงอี้บ่มเพาะพลังราวกับว่าชีวิตของเขาขึ้นอยู่กับมัน...เขากำลังวิ่งหนี
เขารู้สึกถึงสายตาแปลกๆจากเหล่าศิษย์และอาจารย์ ซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ เขาอยากจะหลบซ่อนและบ่มเพาะพลังไปเรื่อยๆ
ก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง เจียงอี้ก็ได้ไปที่ห้องบ่มเพาะพลังแล้วและจะกลับไปที่ที่พักของเขาเพื่อพักผ่อนเมื่อท้องฟ้ามืดสนิท แต่เดิม หลังจากที่เขาเลื่อนตำแหน่งเป็นศิษย์สำนักสามัญแล้ว เขาจะสามารถเปลี่ยนที่พักของเขาได้ แต่อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้มีความต้องการเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้และเขาก็ค่อนข้างสบายใจกับการได้อยู่กับเฉียนว่านก้วน ซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่ย้ายไปตำหนักอื่น
หลังจากครึ่งเดือนผ่านไป เหตุการณ์ก็สงบลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากการพูดถึงเจียงอี้น้อยลงไปเรื่อยๆ หลังจากผ่านไปยี่สิบกว่าวัน การบ่มเพาะพลังอย่างสงบของเจียงอี้ก็ถูกทำลายลงในที่สุด ท้องฟ้าในค่ำคืนนั้นมืดสนิทและเจียงอี้กำลังเดินทางกลับไปที่ตำหนักเพื่อทานอาหารเย็น เขาไม่คาดว่าจะได้เจอซูรั่วเสวี่ย
"ปรมาจารย์เลี่ยวกลับมาแล้ว"
ซูรั่วเสวี่ยพูดอย่างตรงประเด็น ดวงตาของเจียงอี้สว่างขึ้นและพูดเบาๆในทันที "เราจะไปพบเขากันเมื่อไร? ข้าควรจะไปท้าทายและได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์ชั้นยอดหรือไม่?"
ซูรั่วเสวี่ยกวาดตามองเฉียนว่านก้วนที่ยืนอยู่ข้างๆ เขามีไหวพริบมากพอที่จะเดินออกไปพร้อมกับหัวเราะ เฉียนว่านก้วนปิดประตูและส่งสายตาที่มีลับลมคมในไปที่เจียงอี้ ซึ่งทำให้ซูรั่วเสวี่ยโกรธมาก
"เจียงอี้!"
หลังจากเฉียนว่านก้วนจากไปแล้ว ซูรั่วเสวี่ยก็ถอนหายใจ "เจ้าควรรู้ว่าเจียงเหรินถูทำให้รองเจ้าสำนักฉีขุ่นเคืองที่หุบเขาหมื่นมังกร ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้ที่จะขอความช่วยเหลือจากนาง ถ้าหาก ... เจ้าสามารถไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าสำนักจูเก๋อได้ สิ่งต่างๆจะง่ายขึ้นมาก"
"เจ้าสำนักจูเก๋อ? ข้าไม่ไป!" ดวงตาของเจียงอี้แสดงความเย็นชาและปฏิเสธทันที
จูเก๋อชิงหยุน[คำจีนมีการเปลี่ยนชื่อ]และเจียงเปี๋ยหลีเป็นสหายที่ฝ่าฟันกับความยากลำบากในชีวิตและความตายมาด้วยกัน ถ้าเขาขอความช่วยเหลือจากจูเก๋อชิงหยุน มันจะหมายถึงการขอความช่วยเหลือจากเจียงเปี๋ยหลีด้วย ถ้าเจียงอี้จะขอความช่วยเหลือจากเจียงเปี๋ยหลี เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องมาที่สำนักจิตอสูรก็ได้
"ข้าต้องลองเสี่ยงดวงแล้วแหละ!"
ซูรั่วเสวี่ยถอนหายใจเบาๆแล้วพูดว่า "มา ข้าจะพาเจ้าไปพบปรมาจารย์เลี่ยวก่อน หากเขาไม่อยากพบเจ้า เจ้าก็ไปท้าทายการประลองเลื่อนขั้นเอา เจ้าควรเตรียมใจไว้ด้วย ขากความช่วยเหลือจากเจ้าสำนักแล้ว เงื่อนไขที่ปรมาจารย์เลี่ยวจะขอให้เจ้าทำ อาจเป็นสิ่งที่เจ้าไม่สามารถทำได้ "
"ตราบใดที่เขาช่วยเสี่ยวนู๋ได้ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขใดๆก็ได้ทั้งนั้น!" เจียงอี้เผยรอยยิ้มจางๆ เขาไม่ได้เป็นขยะเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ปรมาจารย์เลี่ยวท่านนี้คงจะไม่ขอสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์หรอกใช่ไหม?
ทั้งสองคนพากันเดินออกจากตำหนักและมุ่งหน้าไปยังตำหนักด้านใน หลังจากนั้นสามสิบนาที พวกเขาก็มาถึงตำหนักที่หรูหรา
ประตูถูกปิดอยู่ และเมื่อซูรั่วเสวี่ยเคาะประตู สาวใช้ก็ออกมาอย่างรวดเร็ว หลังจากซูรั่วเสวี่ยอธิบายทุกอย่างไปแล้ว สาวใช้คนนั้นก็ปิดประตูแล้วเข้าไปรายงาน
พวกเขาทั้งคู่รออยู่ข้างนอกเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนที่หญิงสาวจะเปิดประตูออกมาอีกครั้ง นางมองเจียงอี้อย่างเฉยชาและพูดว่า "ตามคำสั่งของปรมาจารย์เลี่ยว อาจารย์ซูเข้ามาได้ แต่เขาจะไม่สนใจคนอื่นๆ"