เซียนเหนือวิถี บาทที่ 36
บาทที่ 36
บัดซบ เขาสบถขึ้นมาในใจ รู้ทันทีว่าเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของใคร และด้วยสาเหตุอะไร
แก๊งหงส์แดงกำลังแก้แค้นเขา
“ข้าช่างโชคดีจริง ได้ทั้งเงินห้าหมื่นตำลึงและยังจะได้ค่าไถ่อีกด้วย ช่างเป็นโชคหลายชั้น” ชายคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นพูดต่อ
“เจ้าคงรู้แล้วว่าตกอยู่ในมือของใครแล้ว ดังนั้นข้าจะขอแนะนำตัวให้เจ้ารู้จักสักเล็กน้อย จะได้จำไว้ตลอดชีวิตว่าชีวิตเจ้านั้นย่อยยับเพราะมือใคร”
“ข้าคือ เป่าหลง เป็นพี่ชายของเป่าตง และเป็นหัวหน้าพื้นที่แถบตรอกหงส์หยกด้วย”
“ข้าไถ่ตัวเป่าตงกลับมาด้วยเงินจำนวนมาก และก็พบว่าเจ้านี่ถูกทำร้ายจนพิการไม่สามารถใช้ฝีมือด้านการพนันได้อีก โดยมีเจ้าเป็นตัวการใหญ่”
“ข้าจะไม่แก้แค้นนี้ได้อย่างไร เจ้าเห็นด้วยไหม” ชายคนนั้นลุกขึ้นแล้วเดินมาหาฉงฮุ้ยจิน
ตุ๊บ อีกฝ่ายต่อยท้องของเขาจนความจุกเสียดแล่นเข้ามาในประสาทสัมผัส
ฉงฮุ้ยจินใช้ปราณกรองความรู้สึกจุกอันรุนแรงไว้ คอยตรวจสอบสภาวะภายในร่างและคอยเยียวยาฟื้นฟู
ตุ๊บๆๆ ผั๊วะ อีกฝ่ายใช้ร่างของเขาเป็นกระสอบทราย ทั้งชกทั้งเตะถีบ ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ลำตัว
“อืม นับว่าใจแข็ง กลับไม่ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ” ชายคนนั้นกล่าว
ฉงฮุ้ยจินประมาณว่าอีกฝ่ายน่าจะมีพลังปราณอยู่ที่ระดับสาม แต่ไม่ได้ใส่พลังปราณในการชกเขามากนัก ด้วยคงเกรงว่าเขาจะตายไปเสียก่อน
“เจ้าเห็นไหมว่าพวกของเจ้าทำอะไรกับเป่าตง หักแขนของเขา ทั้งยังทำลายศูนย์รวมปราณ ข้าจักให้เจ้าได้ลิ้มรสนี้เช่นกัน ก่อนที่จะส่งไปให้พวกของเจ้าไถ่ตัว หวังว่าพวกนั้นคงยังเห็นค่าของเจ้าอยู่นะ” เป่าหลงกล่าว
เป่าหลงซ้อมฉงฮุ้ยจินอยู่นาน เขาต้องแกล้งทำเป็นสลบอยู่เป็นระยะเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต แม้ว่าร่างกายภายนอกของเขาจะดูทรุดโทรม แต่อวัยวะภายในของเขากลับอยู่ในสภาพที่เกือบเต็มร้อยด้วยอำนาจปราณของเขา
“เฮอะ เป่าตง เจ้าก็หักแขนของมันเถอะ เช่นเดียวกับที่พวกนั้นทำกับเจ้า” เป่าหลงกล่าว
“ข้าอยากตัดแขนมันด้วยซ้ำ” เป่าตงกล่าว กัดฟันกรอดด้วยความแค้น
“ถ้าเจ้าทำเช่นนั้น ข้าเกรงว่าเราคงไม่ได้ค่าไถ่คืน” เป่าหลงกล่าวอย่างใจเย็น ขณะที่ใช้หมัดต่อยลงไปยังจุดศูนย์รวมปราณที่ท้องน้อยของฉงฮุ้ยจิน มั่นใจว่าศูนย์รวมปราณของเขาต้องแหลกสลายแน่นอน
ใช่แล้วศูนย์รวมปราณของฉงฮุ้ยจินถูกทำลาย แต่พลังปราณของเขาไม่ได้สลายตัวไปดังเช่นคนอื่นๆ มันค่อยซ่อมแซมศูนย์รวมปราณอย่างช้าๆ ตามจุดประสงค์ของพลังปราณแบบนี้ที่ถูกสร้างขึ้นมา
เป่าตงทำการหักแขนฉงฮุ้ยจินด้วยตนเองไม่ได้ในเมื่อต้องดามแขนตัวเองอยู่ จึงสั่งลูกน้องที่อยู่ด้านข้างให้ทำแทน
“เฮ้ยพวกเอ็ง เอามันลงมาแล้วทุบกระดูกแขนมันให้เละ ให้มันกลับไปแล้วต้องตัดแขนทิ้งอย่างเดียว” เป่าตงสั่ง
ฉงฮุ้ยจินถูกนำตัวลงมา แล้วถูกจับกดวางพาดแขนทั้งสองข้างบนพื้นและทุบด้วยท่อนไม้อย่างโหดเหี้ยม
ปึ๊ก ปึ๊ก ปึ๊ก ปึ๊ก ปึ๊ก ปึ๊ก เขาถูกฟาดด้วยท่อนไม้จนแขนแหลกเละดูผิดรูป
“เอาล่ะ พอแล้ว เดี๋ยวสินค้าขาไม่ออก อย่าให้เวลาตอนส่งสินค้าคืนแล้วดูผิดปกติ” เป่าหลงห้ามเมื่อเห็นว่าถ้าทำต่อไป แขนทั้งสองข้างของฉงฮุ้ยจินต้องขาดเละอย่างแน่นอน
เขาถูกทิ้งนอนคว่ำหน้าไว้ในห้องนั้น ก่อนที่พวกนั้นจะจากไปพร้อมกับล็อคห้องเอาไว้
ฉงฮุ้ยจินรวบรวมพลังปราณดึงเศษกระดูกทุกชิ้นที่แตกเข้ามารวมกัน ยังดีที่เขาใช้ปราณดึงมันไว้ตั้งแต่ต้นทำให้กระดูกเขาแกร่งกว่าปกติ ไม่เช่นนั้นตอนนี้กระดูกของเขาคงป่นเป็นผง
จากนั้นเขาก็ใช้ปราณซ่อมแซมเส้นเลือดเส้นประสาทเส้นเอ็นกล้ามเนื้อผิวหนังทุกส่วนบนร่างกาย แต่ก็มีเซลล์จำนวนมากที่แหลกสลาย ทั้งยังมีเลือดคั่งอยู่ด้วย ซึ่งเขาก็ทำอะไรมากไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้น
เขาทำอะไรไม่ได้มาก ร่างกายของเขาอ่อนแอเป็นอย่างมากในตอนนี้จากการถูกซ้อมอย่างหนัก ถึงแม้ว่าพลังปราณของเขายังแข็งแกร่งอยู่ก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ปล่อยให้เหตุการณ์จบลงแบบนี้อย่างแน่นอน
เมื่อนึกทบทวนหาว่าตัวเขาเองพอจะทำอะไรได้บ้าง เขาก็นึกถึงอาคมเซียนร่างจิตเทียมที่ได้เรียนรู้จากเซียนจางหยาง
เขาเริ่มรวบรวมพลังเซียนด้วยการโคจรพลังเซียนตามแบบของสำนักเจ็ดเมฆา ซึ่งเขาค่อนข้างคุ้นเคยในช่วงเวลาหลายวันนี้จากการที่ต้องช่วยเหลือชิวเยว่โคจรพลังเซียน
เขาโคจรพลังเซียนไปรอบร่างกายรอบแล้วรอบเล่าจนถึงรอบที่สิบซึ่งกินเวลาไปนับชั่วโมง เขาก็เห็นว่ามากพอที่จะสร้างร่างจิตเทียมได้แล้ว เขาจึงเปลี่ยนเป็นร่ายอาคมร่างจิตเทียม เลือกใช้พลังปราณเป็นร่าง และรออย่างเงียบงันกว่าสิบนาที เพื่อให้ร่างจิตเทียมนั้นเกิดปฏิกิริยา
ทำไมจึงต้องรอนานเช่นนั้น คำตอบก็คือรอให้มีวิญญาณผ่านมาสิงสู่ ซึ่งวิญญาณนั้นก็คือวิญญาณที่ล่องลอยไปมาอยู่บริเวณนั้นนั่นเอง ซึ่งหากเป็นเซียนคนอื่นๆแล้ว พวกเขาจะมีขอบเขตดักวิญญาณกว้างขวางนับเป็นกิโลเมตร พวกเขาจะสามารถจับวิญญาณได้ในทันที ต่างจากฉงฮุ้ยจินที่มีขอบเขตดักวิญญาณรัศมีเพียงสามเมตร เขาจึงจำเป็นต้องรอให้มีวิญญาณจรผ่านหลงเข้ามาในรัศมีกับดัก
เมื่อเวลาผ่านไปสิบกว่านาทีสุดท้ายร่างจิตเทียมนั้นก็เปล่งแสงสว่างขึ้น เขาจึงดำเนินการขั้นต่อไปนั่นคือการประจุพลัง ซึ่งก็ต้องใช้พลังปราณของเขาเติมเข้าไปในร่างจิตเทียมนั้น เพื่อให้ร่างจิตเทียมนั้นมีพลังในการทำงาน
ร่างจิตเทียมนั้นสามารถที่จะสร้างให้มีรูปร่างแบบไหนก็ได้ ซึ่งเซียนส่วนใหญ่มักสร้างเป็นรูปมนุษย์เพื่อที่จะสามารถแสดงท่าต่อสู้ได้อย่างง่ายๆ แต่สำหรับฉงฮุ้ยจินแล้วการจะสร้างให้มีร่างเป็นมนุษย์นั้นต้องใช้พลังเซียนจำนวนมาก ที่เขาสามารถสร้างได้ตอนนี้ก็เป็นเพียงก้อนกลมขนาดเท่ากับกำปั้นเท่านั้น ซึ่งเขากำหนดให้มันสามารถเปลี่ยนรูปทรงได้ตามต้องการ
และในเมื่อมันถูกสร้างขึ้นจากปราณ ดังนั้นเขาจึงไม่กำหนดน้ำหนักให้กับมันเช่นเดียวกับที่เซียนนิยมใช้ เพราะว่าถ้ามันมีน้ำหนักพลังการโจมตีของมันก็จะมีมากขึ้นและการทำให้มันมีน้ำหนักนั้นผลที่ตามมาก็คือมีสีทึบขึ้น แต่สำหรับฉงฮุ้ยจินแล้วการให้น้ำหนักก็คือการเพิ่มพลังเซียน ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจในเรื่องน้ำหนัก ร่างจิตเทียมของเขาจึงไร้น้ำหนักและโปร่งใส
และด้วยเหตุนี้เพื่อให้มันมีความสามารถในการทำงาน เขาจึงกำหนดให้มันใช้ความสามารถหนึ่งของพลังปราณของเขาโดยตรง นั่นคือความสามารถในการดึง เพราะว่าการดึงนั้นไม่ต้องใช้น้ำหนักช่วย
และด้วยความสามารถอีกอย่างของพลังปราณของเขาก็คือการอยู่ทนนาน เขาจึงไม่มีปัญหาในการปล่อยให้ร่างจิตเทียมของเขานั้นอยู่ในสภาพนั้นเป็นเวลานาน
เมื่อชั่วโมงที่สอง เขาก็ได้ตัวที่สอง และชั่วโมงที่สามก็ได้ตัวที่สาม และเมื่อได้ตัวที่สี่เขาก็ต้องพักทำสมาธิเพื่อฟื้นคืนพลังปราณ เมื่อพลังปราณของเขาลดเหลือเพียงหนึ่งในสิบ
พลังปราณของเขาฟื้นคืนขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อเขาใช้คาถาประกอบกับจุดที่มั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นวิชาไหนๆก็ตาม จุดหลักนั้นจะต้องมีอักขระและเสียงประกอบเหมือนกันทั้งหมด การท่องคาถาประกอบอักขระแบบนี้เขาได้เสี่ยงใช้ในครั้งนี้และก็ได้ผลเป็นอย่างดี ทุกครั้งเมื่อการโคจรพลังมาถึงจุดสำคัญเหล่านี้ผ่านอักขระและเสียงประกอบ มันจะมีเพิ่มความเร็วและพลังขึ้นอีกมาก จากที่ควรใช้เวลานานทั้งวันก็เหลือเพียงหกชั่วโมงต่อรอบ
เมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ร่างจิตเทียมสองตัวที่อยู่ด้านนอกประตูก็ส่งข้อมูลมาให้เขาผ่านทางจิต ทำให้เขาเห็นภาพของคนสองคนเดินมาทางบ้านร้างที่เขาอยู่
“ไม่น่าเชื่อว่าพวกนั้นไม่ยอมจ่ายแม้สักตำลึงไถ่ตัวเจ้าฉงฮุ้ยจินนี่ แต่ก็ว่านะเจ้านี่เป็นเพียงแค่หัวหน้าหน่วยเล็กๆหาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้” ชายคนหนึ่งกล่าว
“ถ้าเจ้านี่รู้เข้าคงแค้นใจตาย ฮ่าฮ่าฮ่า” อีกคนหัวเราะ
“ถ้าเช่นนั้นเราก็บอกให้มันรู้ก่อน ให้มันแค้นใจก่อนลงไปสู่ปรภพ” คนแรกกล่าว
“ดีๆ ข้าเห็นด้วย” อีกคนสนับสนุนพร้อมกับหัวเราะ