ตอนที่แล้วบทที่ 202 - ฤดูกาลที่สอง (5) [14-07-2020]
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 204 - คุณสมบัติของนักสำรวจ (1) [18-07-2020]

บทที่ 203 - ฤดูกาลที่สอง (6) [16-07-2020]


บทที่ 203 - ฤดูกาลที่สอง (6)

สี่วันหลังจากที่ช่วงการทุบตีเริ่มขึ้นในที่สุดเร็นก็ได้มาถึงชั้นที่ 0 ฉันได้ตัดสินใจที่ลุยในชั้นที่ 60 พร้อมๆกับเขา นับตั้งแต่ที่ฉันต้องเก็บไอเทมจากบอสมาทั้งหมดถ้าหากพาเร็นมาด้วยฉันก็สามารถที่จะเก็บหุ่นไล่กาสมาชิกปาตี้ไว้และฝึกเร็นไปด้วยในเวลเดียวกัน มันเหมือนกันการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แน่นอนว่าฉันไม่ได้ลืมที่จะบอกเร็นเรื่อง 'คุณ มอนสเตอร์ สิบครั้งต่อวัน...' และช่วยให้เขาได้ซื้อพวกมัน

แม้ว่าเร็นจะขาดคุณสมบัติไปเล็กน้อยแต่มันก็ดูเหมือนว่าการที่เขาเป็นนักสำรวจคนสุดท้ายในโลกของเขาแถมยังช่วยปกป้องเด็กๆเอาไว้ทำให้เขาได้รับความชื่นชอม แถมในตอนนี้เขายังกลายเป็นฮีโร่อีกด้วย เขาจึงสามารถจะซื้อไอเทมชิ้นนี้ได้

"...ทำไมเธอไม่เปลื่ยนชื่อเจ้านี่ล่ะ!?"

"ชินจะโชคร้ายเอานะถ้าชินเปลื่ยนชื่อสินค้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว"

"อย่ามาโกหกสิ"

"มันเป็นเรื่องจริงนะ แม้ว่าของชิ้นนี้มันจะค่อนข้างใหม่ มันก็ไม่ได้มีปัญหา... แต่ว่าอเลนี่ได้บอกว่าฉันเปลื่ยนชื่อมันไม่ได้แม้แต่ฉันก็ยังต้องตาย เธอบอกว่ามันเกี่ยวกับวัฏจักรอะไรซักอย่างที่จะมาได้ยาก... ฉันคิดว่ามันน่าจะมีจิตวิญญาณระดับพิเศษอยู่ภายในมัน แต่ว่ามันก็หายากที่จะเข้าใจในวิญญาณที่ฉันไม่รู้จัก...."

เดี๋ยวนะ โรเล็ตต้าไม่ได้รู้ถึงความหมายที่อยู่เบื้องหลังชื่อนี้!? ความแตกต่างระหว่างโรเล็ตต้ากับอเลนี่ไม่ใช่นอยๆนะ.... มันแทบจะทำให้ฉันร้องให้ เมื่อเห็นโรเล็ตต้าเอียงหัว ฉันได้ลูบหัวเธอเบาๆ

"โรเล็ตต้า ฉันมีความสุขนะที่โรเล็ตต้าคือโรเล็ตต้า อย่าเปลื่ยนนะ...อย่าน้อยก็อย่าเปลื่ยนในตอนที่ฉันไม่อยู่"

"อะ อะไรกัน? ถึงชินจะพูดหวานๆแบบนั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะให้ชินหรอกนะ เอะเฮะเฮะ... นี่ นี่ไงล่ะ"

แม้ว่าเธอจะพูดแบบนั้นหูของเธอก็กระดิกไปมาและหยิบไอเทมที่เหมือนโพชั่น ตั๋ว และหุ่นไล่กาสมาชิกปาตี้ยื่นมันมาให้ฉัน ฉันรู้สึกห่วงว่าเออาจจะถูกไล่ออกจากหัวหน้ากิลด์ผู้ดูแลแน่ๆหากเป็นแบบนี้ หรือไม่บางทีโรเล็ตต้าอาจจะต้องการแบบนั้น

จากนั้นในตอนที่ฉันหยิบจัดไอเทมที่ได้รับมาจากโรเล็ตต้าด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เร็นก็ถามฉัน

"เจ้าชายฉันมีบางอย่างอยากจะถามนะ"

"อะไรล่ะเร็น"

"นายช่วยอธิบายให้ฉันเข้าใจเกี่ยวกับไอเทมนี้หน่อยสิ...?"

ฉันได้หยุดจัดไอเทมและเงียบลงไป หูของเร็นได้ตั้งขึ้นมาซึ่งดูเหมือนจะพูดว่า 'ผมกำลังฟังอยู่คุณครู' เมื่อเห็นใบหน้าที่จริงจังของเขา ฉันได้พูดอย่างจริงจัง

"....นี่ไม่ใช่อะไรที่จะเอามาโม้กันได้หรอกนะเร็น ไม่มากๆเลย! ฉันหมายความว่ามันไม่ใช่สิ่งที่คนที่เข้าใจจะเอามันมาโม้ได้เลย แต่ว่า....ให้ตายสิ"

"จะ ใจเย็น เจ้าชาย อ๊ากกกกก!"

เร็นกับฉันได้ต่อสู้กับบอสประจำชั้นและจบมันด้วยความรวดเร็ว พวกเขาได้โจมตีมันแค่ครั้งหรือสองครั้งและจบมัน หลังจากที่ใช้เสียงคำรามเยือกแข็งซึ่งเพิ่มพลังของเรา 5 นาทีพวกเราก็ได้เอาชนะบอสประจำชั้นสองครั้ง แม้ว่ามันจะยิ่งเยี่ยมเข้าไปอีกหากเร็นใช้เสียงคำรามสิงโตทองคำ แต่เขาบอกว่าเขาจะสามารถใช้มันได้เฉพาะตอนที่ใช้การประจักษ์แห่งไดฟิคเท่านั้น เมื่อพิจารณาจากพลังของมันแล้วมันก็คือสิ่งที่เราเข้าใจได้

"สิงโตทองคำเป็นบรรพบุรุษของฉัน นี่เป็นเกียรติจริงๆเลนนล่ะ แม้ว่าฉันจะไม่เข้าใจทำไมท่านถึงได้มาหาฉันแทนที่จะเป็นพ่อของฉันที่เป็นฮีโร่ก็ตาม"

"เดี๋ยวนะ บรรพบุรุษ?"

"ตามตำนานกล่าวว่าเขาได้รับพรจากเทพและมีพลังในกลายแปลงร่างเป็นสิงโตทองคำในการต่อสู้ ด้วยร่างกายของสัตว์และสติปัญญาของมนุษย์ เขาได้เป็นผู้ปกครองทั้งทวีปในฐานะนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด สิ่งที่ฉันเผยออกมามันเป็นเพราะว่าฉันไม่สามารถรับพลังของเขามาได้สมบูรณ์ นี่มันน่าอายมากๆ"

ฉันไม่รู้จะตอบกลับไปยังไงดีเลยหยักหน้ารับและแนะนำเขา

"ถ้างั้นเราก็ควรจะไปสนุกกับช่วยการทุบตีกันต่อเพื่อที่นายจะใช้พลังของเขาได้ดียิ่งขึ้น"

"เจ้าชายนายมันปีศาจ! แต่ว่าขอโทษนะ ฉันต้องไปกินข้าวกับเด็กๆนะ"

"เอ๊ะ?"

ใช่สิ เร็นไม่ได้อยู่คนเดียวนี่นา เขาจะต้องดูแลชีวิตของเด็กๆทั้ง 7 คน ฉันได้หยักหน้ารับด้วยความอึดอัดใจ

"ปะ ไปเถอะ ถ้างั้นไว้เจอกันทีหลังนะเร็น"

"แล้วนายจะมาด้วยไหม ฉันจะบ้าตายเพราะเอลฟ่าชอบร้องไห้อยากเจอนายนะ เธอไม่หยุดพูดเกี่ยวกับเจ้าชายเลย"

"อืม ไว้ก่อนละกัน เดี๋ยวฉันจะเอาของขวัญไปฝากด้วย"

"หืม โอเค งั้นฉันจะบอกเอลฟ่าว่าเจ้าชายจะมาในอีก 4 วันนะ"

"เอ๊ะ เดี๋ยวเร็น"

เร็นได้ออกจากดันเจี้ยนก่อนที่ฉันจะทันได้หยุดเขา เวรเอ้ยเขาไม่สนฉันเลย ในเมื่อมันเป็นแบบนี้ถ้าหากฉันไม่ไปหาเอลฟ่าภายในสี่วันนี้เธอได้โกรธฉันแน่ หลังจากได้บอกกับตัวเองว่าฉันจะต้องมอบรางวัลให้กับเร็นในช่วงทุบทีให้เต็มที่แล้ว ฉันก็เดินทางกลับบ้านกิลด์

"พ่อ"

"ไอน่า"

ไอน่าได้วิ่งเข้ามากอดฉันในทันทีที่ฉันเข้ามาในบ้านกิลด์ แม้ว่าเธอจะบินได้ตามที่เธอต้องการ แต่เธอก็ชอบจะวิ่งเหมือนเดิมของเธอ มันทำให้สัมผัสได้เลยว่าเธอก็ชอบที่จะวิ่งมากอดพ่อแม่ของเธอคนก่อน

"ฉันได้ยินมาว่าหนูพยายามอย่างหนักเลยนี่"

"อื้อ หนูพยายามอย่างหนักแล้วกลายมาเป็นระดับทองแล้วด้วยล่ะ"

หรือก็คือเธอได้ผ่านชั้นที่ 50 แล้ว ฉันรู้ว่าเธอจะไปได้เร็วแต่ไม่คิดว่าเธอจะเร็วขนาดนี้ แถมฉันยังรู้สึกได้เลยว่าพลังเยือกแข็งของเธอแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ฉันได้ค่อยๆลูบหัวของเธอและพูดออกไป

"ดูเหมือนว่าอีกไม่นานไอน่าก็ทันพ่อแล้วนะ ทำได้ดีมากเลยไอน่า มันจะต้องยากมากแน่เลย"

"ไม่เลยสักนิด มันสนุกมาก ตอนนี้หนูสามารถควบคุมน้ำแข็งได้ดีแล้ว"

ขนิงสิ พลังทั้งหมดของไอน่าได้รับการสนับสนุนจากระบบของดันเจี้ยน มันไม่ได้ผิดนะที่จะบอกว่าไอน่าได้รับประโยชน์อย่างมากจากทักษะของดันเจี้ยน ถ้าเธอยังคงพยายามอย่างหนักเธอไปเธอก็คงจะสามารถติดต่อกับคนธรรมดาโดยที่ไม่ต้องกลัวจะทำร้ายใคร ใช่แล้วเธอเพียงแค่จะต้องพยายามอีกนิด

เมื่อได้คิดเธอวันที่เธอจะเป็นอิสระ ฉันก็กอดไอน่าแน่นๆและลูบแก้มของเธอ

"สู้ๆนะไอน่า"

"อื้อ ขอบคุณนะพ่อ"

ด้วยการที่เราปฏิบัติต่อกันเหมือนพ่อและลูกจริงๆทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอได้กลายมาเป็นลูกของฉันจริงๆ แม้ว่านั่นมันจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันราวกับว่าฉันกำลังสะกดจิตตัวเอง

ความจริงแล้วฉันรู้สึกตใจในตอนแรกที่ไอน่าเรียกฉันว่าพ่อ แต่ในตอนนี้ฉันไม่ได้คิดว่ามันแย่เลย ไอน่าได้ผานความยากลำบายมามากและสูญเสียคนที่เธอรักไปมามาย ถ้าฉันมีสิ่งที่เธอต้องการ ฉันก็ยินดีที่จะให้มันกับเธอ

"หนูจะพยายามให้หนักขึ้น หนูจะแข็งแกร่งกว่านี้และปกป้องคุณพ่อ"

"...นั่นแม่บอกหรอ?"

"อื้อ ไอน่ากับแม่จะปกป้องพ่อ"

เธอนี่มันฮวาหยา เธอวางแฟนที่จะทำให้ฉันเป็นเจ้าหญิงหรือยังไง? ฉันสาบานกับตัวเองว่าจะแก้แค้นและบอกกับไอน่า

"อย่ากดดันตัวเองนะไอน่า พ่อจะเสียใจถ้าไอน่าบาดเจ็บ เข้าใจนะ?"

"อื้อ จากนั้นแม่ ไอน่า แล้วก็พ่อจะได้มีความสุขด้วยกัน"

แม้ว่าคำพูดของเธอจะทำให้ฉันมีความสุข แต่ฮวาหยากับฉันไม่ใช่สามี ภรรยากันจริงๆ และฉันก็จะบอกให้ไอน่าได้รู้ในสักวันหนึ่ง เมื่อคิดถึงท่าทางที่เธอจะแสดงออกมาเมื่อได้รู้ทำให้ฉันเผลอถอนหายใจออกมาเอง แน่นอนว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของอนาคต เนื่องจากว่าอนาคตมันยังไม่ได้ชัดเจนนักมันจึงเหมือนว่าฉันจะกังวลในส่วนนี้มากเกินไปแล้ว ดังนั้นฉันทำเพียงแค่กอดไอน่าไว้แน่นๆโดยไม่พูดอะไร

จากนั้นฉันก็ส่งไอน่าคืนให้ฮวาหยาและเดินกลับเข้าไปในบ้านกิลด์ เร็นได้มาถึงนี่สักพักแล้ว ฉันได้เตรียมตัวที่จะอัด... เพื่อฝึกเขา

ช่วงการทุบตีก็เหมือนกับในหลายๆสัปดาห์ที่ผ่านมา

"นายเปิดช่องว่าง"

"อึก ฉันรู้อยู่แล้วว่านายจะโจมตีตรงนั้น"

"การแสดงช่องว่างโดยเจตนาและหลอกล่อศัตรูมันเป็นเทคนิคที่ดี แต่ว่านายอย่าลืมสิว่ามันก็มีคนที่สามารถมองผ่านพื้นฐานนี้ได้ง่ายๆเหมือนกัน"

"ฉันยังไม่แพ้ ก๊าซซซซซซ"

องค์ประกอบสำคัญในการต่อสู้ระหว่างคนสองคนคือการอ่านการเคลื่อนไหวก้าวต่อไปของศัตรู ถ้าหากใครสามารถมองออกได้อย่างปรุโปร่ง คนๆนั้นก็จะเป็นคนที่กุมชัยชนะเอาไว้ได้ แน่นอนว่าแม้จะอ่านการเคลื่อนไหวได้ก็ตามแต่หากขาดพลังและความเร็วมันก็ไร้ประโยชน์

"ทุกคนกำลังทำอะไรกัน?"

"มันยังไม่ชัดอีกหรอ เรากำลังดูนายสู้ไง"

"อัดเขา...ถึงตายเลยหรอ ถ้าเขาตายก็บอกฉันนะ สิงโตทองคำเป็นวัตถุดิบที่ดี"

"ฉันจะไม่ตาย"

ไม่ว่าเร็นจะเคารพในเดซี่มากแค่ไหนแต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ยอมเป็นอันเดต เร็นได้กัดฟันแน่นและตั้งท่าสู้อีกครั้ง

"มา เข้ามาเลยเจ้าชาย"

"ถ้านายยิ่งเร่งมันก็จะจบเร็วกว่ารอบที่แล้วอีกนะ"

"ฉันจะโชว์ให้นายดูว่านายคิดผิด"

แน่นอนว่าหลังจากนั้นเร็นก็ถูกล้มลงในเวลาเพียง 35 วินาที ยังไงก็ตามขั้นตอนการทุบตีก็ได้ก้าวหน้าไปอย่างราบรื่น

ยังไงก็ตามทุกอย่างในชีวิตนี่มันก็ไม่ได้ดูจะราบรื่นไปหมด มันมีสิ่งที่จะต้องได้รับการจัดการไม่ว่ายังไงก็ตาม หลังจากที่ฉันได้รับไอเทมจากชั้นที่ 60 จนครบฮวาหยาก็แนะนำออกมา

"มันถึงเวลาแล้วที่ทุกคนต้องรู้"

"เกี่ยวกับดันเจี้ยนหรอ"

"แล้วก็เกี่ยวกับพวกเราและอันตรายที่โลกกำลังจะเจอ มันถึงเวลาแล้วที่จะแสดงจุดยืนของกิลด์เรา"

ตามคำพูดของเธอฉันนึกออกว่าฉันเคยรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว ในตอนที่ฉันพูดไปครั้งแรกเธอได้บอกว่าเธอต้องการจะสร้างองค์กรนักสำรวจดันเจี้ยนเพื่อแก้ปัญหาที่โลกกำลังเผชิญ องค์กรที่เธอพูดนั้นไม่ได้ต่างจากกิลด์รีไวเวิร์ลในตอนนี้เลย ถ้าจะมีที่ต่างก็คือหัวหน้ากิลด์เป็นฉันเท่านั้นเอง

"สมาชิกทั้งหมดของรีไวเวิร์ลแข็งแกร่งมากพแล้ว ตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว พวกเราจะไม่ยอมเสียอิทธิพลภายนอกแน่ ไม่ว่าจะเป็นปีกแห่งเสรี ผู้พิทักษ์ หรือประเทศต่างๆ ที่สำคัญไปกว่านั้นเราจะไม่ชอบให้คนทำสิ่งโง่ๆกันต่อไป โลกจะจบลงและสูญเสียกำลังทางทหารจำนวนมากหากยังหวังผลกำไรระยะสั้นกันอยู่"

"เธอพูดถูก เราเหลือเวลาเพียงแค่ 23 เดือนเท่านั้น"

นี้มันไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร ฉันได้คิดเรื่องนี้มานานแล้วก่อนที่ฮวาหยาจะพูดออกมาซะอีก ยังไงก็ตามมันยังมีอุปสรรคอีกมากที่จะทำมันในตอนนี้

"พวกเขาจะเชื่อเราหรอ มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องไร้สาระนะ"

"สิ่งที่โลกกำลังเจออยู่ก็ไร้สาระเหมือนกัน สิ่งที่เราจะบอกออกไปก็ไม่ได้ทำให้มันไร้สาระไปมากกว่านี้หรอกน่า"

"นั่นก็จริง"

"คำพูดที่ออกมาจากคนที่แข็งแกร่งนะมันทรงพลังนะ แน่นอนว่าก็ยังต้องมีคนที่รับผิดชอบอยู่เบื้องหลังเหมือนกัน และนายก็เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก"

"หยุดยอฉันได้แล้วน่า"

นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะมีเพียงแค่ฉันกับฮวาหยาเท่านั้นที่คุยกัน พวกเราได้รวมทุกๆคนในบ้านกิลด์และเล่ารายละเอียดออกไป เมื่อพวกเราได้เปิดเผยถึงการมีอยู่ของดันเจี้ยน ปัญหาใหญ่ที่สุดจะเจอเลยก็คือการแต่งตั้งนักสำรวจ จะต้องมีผู้คนนับล้านที่ต้องการเป็นนักสำรวจแน่ๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนกลุ่มนั้นจะกลายเป็นผู้มีอิทธิพล

"พวกเราต้องตั้งเงื่อนไขไว้ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมนักสำรวจทุกๆคน สิ่งที่เราต้องการคือนักสำรวจทรงพลังจำนวนมาก"

"ใช่แล้ว เราจะไม่ทำให้นักสำรวจใหม่เข้ามาในกิลด์รีไวเวิร์ลทั้งหมด รีไวเวิร์ลจะเลือกเฉพาะคนที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ คุณสมบัติก็คือคนที่มีสมอง จากนั้นก็ความแข็งแกร่งและศักยภาพในการพัฒนาในอนาคต"

"อื้อ เป้าหมายคือการเพิ่มจำนวนนักสำรวจ อย่างน้อยที่สุดในส่วนนี้พวกเราจะต้องทำให้แน่ใจโดยการใช้พันธะสัญญาวิญญาณควบคุมพวกเขา พวกเราไม่สามารถปล่อยตำแหน่งนักสำรวจที่มีจำกัดให้กับใครก็ได้"

สำหรับตอนนี้พวกเราได้ตัดสินใจที่จะแบนผู้ที่ไม่มีพลังจากการเป็นนักสำรวจ แน่นอนว่ามันยังคงเป็นไปได้ที่อาจจะมีคนธรรมดาที่มีพรสวรรค์เป็นพิเศษ ฉันก็เป็นแบบนั้นในตอนแรก ยังไงก็ตามโอกาสมันน้อยจนเกินไป การเอาคนที่มีพลังมามันจะดีกว่ามาก เพราะพวกเขาจะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มจำนวนนักสำรวจได้เร็วกว่ามาก

"พันธะสัญญาณที่เราจะทำกับคนอื่นๆก็เป็นสิ่งสำคัญ"

"เราต้องยอมใส่สิ่งที่ควรยอม เราไม่สามารถจะบังคับให้พวกเขาทิ้งชีวิตในตอนที่ศัตรูของโลกมาได้และเราก็ไม่สามารถบังคับให้พวกเขาปีนดันเจี้ยนตลอดเวลา"

"พวกเราทำได้เพียงแค่เลือกผู้ใช้พลังที่พร้อมจะต่อสู้กับมอนสเตอร์ บุคลิกของคนเราไม่สามารถจะเปลื่ยนกันได้ง่ายๆ"

"เหมือนอย่างแรส มิเชลในฝรั่งเศษ หือ"

"เราต้องการแค่สองอย่างเท่านั้น อย่างแรกมุ่งมั่นที่จะปีนดันเจี้ยน สองนักสำรวจที่พวกเราแต่งตั้งจะต้องได้รับการอนุมัติจากเรา เพียงแค่นี้การเพิ่มจำนวนนักสำรวจบนโลกก็จะสำเร็จและช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้"

"เอ็ดเวิร์ดถ้าอย่างนั้นเราก็จะต้องเพิ่มรายละเอียดลงไปในข้อแรกเพื่อที่จะให้พวกเขามั่นใจว่าเราไม่ได้ควบคุมพวกเขา"

ในขณะที่ทุกคนกำลังวุ่นกับการปีนดันเจี้ยนและการฝึก พวกเขาก็ยังสละเวลามาช่วยกันในเรื่องพันธะสัญญาและวิธีในการบอกโลกถึงเรื่องนี้ ยุยก็ยิ่งมีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้มามีส่วนร่วม

"ถ้าหนูยังไม่ได้เป็นนักสำรวจ หนูคงไม่ได้มานั่งคุยเรื่องสำคัญแบบนี้ เอะเฮะๆ หนูมีความสุขจังที่ได้ช่วยพี่"

"เธอช่วยพี่เสมอแหละยุย"

"พี่....!"

"ใจเย็นก่อน"

รูเดียได้ยื่นมือเข้ามาขวางระหว่างฉันกับยุย เธอกล้ามาขวางความรักความเข้าใจระหว่างพี่ชายและน้องสาวได้ยังไง

ยังไงก็ตามสัญญาฉบับนี้ได้ผ่านการทบทวนหลายรอบและคุยกันหลายครั้งจนได้ข้อสรุปออกมา ในขณะเดียวกันฉันก็ได้เสร็จสิ้นการเก็บไอเทมทั้งหมดบนชั้นที่ 60 แล้วทำให้แต้มพลังเวทย์และเสน่ห์ของฉันเพิ่มขึ้นอย่างละ 15 จากนั้นฉันก็ได้ไปฆ่าอัศวินพลังสายฟ้า บอสประจำชั้นของบียอนที่เป็นการรวมกันของมนุษย์หนูทมิฬและอัศวินลิซาร์ดแมน แต่มันก็ราวกับว่าฉันยังคงไม่พอใจ ฉันได้ทะลวงช้นที่ 61 ของดันเจี้ยนที่หนึ่ง บียอนชั้นที่ 11 ชั้นที่ 62 ชั้นที่ 12 ชั้นที่ 63 และชั้นที่ 13 ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์

ในตอนนี้ฉันกำลังปีนดันเจี้ยนชั้นที่ 64 อยู่ พันธะสัญญาก็ได้เสร็จสิ้นแล้ว ในฐานะหัวหน้ากิลด์รีไวเวิร์ลและนักสำรวจดันเจี้ยนที่หนึ่งและบียอน ฉันได้ยืนอยู่ต่อหน้าทั่วทั้งโลก

"เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 2 ปี พวกเราจะต้องปกป้องโลก เราไม่สามารถมาเสียเวลาไปอย่างไร้ค่าได้อีกแล้ว"

วันเวลาที่ผู้คนได้พยายามที่จะหยุดการโจมตีของมอนสเตอร์ที่จู่ๆก็โผล่ออกมามันนานมากแล้ว ตอนนี้มันถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะปรากฏตัว

"ถ้าคุณมั่นใจในพลังของคุณเชิญมาเคาะประตูกิลด์รีไวเวิร์ลได้ทุกเมื่อ ดันเจี้ยนจะช่วยให้คุณกลายเป็นนักรบที่ยอดเยี่ยมซึ่งสามารถจะจัดการทั้งมอนสเตอร์และดันเจี้ยนที่มาบุกโลกของเรา"

นับแต่นี้ไปมนุษย์จะต้องสวนกลับ ผู้ใช้พลังทั้งหมดจะกวาดล้างมอนสเตอร์ที่บุกเข้ามาในโลกจากทุกๆมุมโลก สงครามระหว่างมนุษยชาติกับมอนสเตอร์ยกที่สองได้เริ่มขึ้นแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด