บทที่ 18 ไวส์เคานท์แอนดรูว
ถ้ามีสถานที่ใดในเมืองที่สามารถบรรเทาความผิดหวังของกาเว่นได้และอนุญาติให้เขาได้สัมผัสกับความงดงามแบบคลาสิกและวัฒนธรรมอันดีงาม คงมีแค่เขตอันร่ำรวยตอนเหนือของเมือง ถนนหลายสายและกำแพงรอบนอกที่กั้นพื้นที่สลัมด้านอกเอาไว้ มันเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างสะอาดสำหรับผู้คนที่'ได้รับความเคารพ' อาศัยอยู่
มีอาคารสองชั้นที่สร้างอย่างดงาม แต่ละหลังทำจากหินสีเทาอ่อนและไม้ซีดาร์ มีปลาแห้งและเนื้อสัตว์ถูกตากอยู่บนระเบียงชั้นสองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย
ถึงแม้ว่าแทนซานจะเป็นแค่เมืองที่ห่างไกลจากเมืองขนาดใหญ่ ผู้คนที่อยู่ในเขตอันร่ำรวยต่างภาคภูมิใจที่ได้เป็นพลเมืองของแทนซาน
มีผู้คนที่เป็นอิสระและสามารถจ่ายภาษีได้ พวกเขามีงานดีๆทำในเมือง เช่นเจ้าของไร่หรือหัวหน้าคนงานในเหมือง
วันนี้ผู้คนที่น่านับถือเหล่านั้นยังคงยืนอยู่บนระเบียงบ้านตัวเอง พวกเขากำลังทำปลาแห้งและตากเนื้อสัตว์ พูดคุยเรื่องที่เกิดขึ้นล่าสุดกับเพื่อนบ้านเหมือนปกติ แน่นอนหัวข้อพูดคุยล่าสุดย่อมไม่พ้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับดินแดนเซซิล
เมืองแทนซานและพื้นที่โดยรอบเป็นที่ดินของ ไวส์เคานท์แอนดรูว (บรรดาศักดิ์ของทางยุโรปที่อยู่ต่ำกว่าเคานท์ จากนี้ทางผู้แปลขอเรียกสั้นๆว่าลอร์ดแอนดรูว) อาณาเขตของที่นี่มีขนาดใกล้เคียงกับดินแดนเซซิล แม้จะมีพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่กั้นระหว่างทั้งสองดินแดน แต่ก็ยังมีถนนที่ตัดผ่านทำให้ข่าวสารที่เกิดขึ้นในดินแดนเซซิลกระจายไปทั่วเมืองแทนซาน
เรื่องแรกกลุ่มที่หนีมานำโดยอัศวินและทหารจำนวนหนึ่ง อีกเรื่องคือข่าวว่าดินแดนเซซิลถูกทำลายลงด้วยฝูงอสูร
ข่าวที่น่ากลัวนี้ตอนแรกทุกคนคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องเล่าจากนักเล่านิทาน แต่เมื่อเห็นผู้ลี้ภัยและทหารที่สถาพไม่ดีเท่าไรหนีเข้ามาในเมือง ลอร์ดแอนดรูวก็ได้ออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เขาจะออกข้อบังคับอย่างเข้มงวด แต่เขายังเพิ่มการลาดตระเวนพื้นที่รอบๆเมืองอีกด้วย เรื่องเล่าที่น่าหวาดกลัวจึงกลายเป็นความจริง
ข่าวร้ายเริ่มจากการพูดเล่นในหมู่ชาวเมือง...ไปสู้การพูดคุยอันจริงจัง พวกเขาพูดถึงจุดจบของตระกูลเซซิลโดยไม่รู้ว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเซซิลจริงๆพึ่งเดินทางผ่านหน้าบ้านพวกเขาไป
โดยไม่คำนึงถึงความยากจนของคนในเมือง บ้านของลอร์ดแอนดรูวยังคงดูสวยงามอยู่เสมอ ความจริงเนื่องจากดินแดนอันอุดมสมบูรณ์และประชากรที่มีฐานะจำนวนหนึ่ง ความมั่งคั่งที่มีทำให้ตระกูลสามารถสร้างปราสาทอันงดงามยิ่งกว่าป้อมปราการเก่าๆที่รีเบคก้าอาศัยอยู่ตั้งแต่เป็นเด็กได้
หลังจากยามรักษาความปลอดภัย ลอร์ดแอนดรูวได้เชิญกาเว่นและคนอื่นๆเข้ามาในปราสาท พวกเขาถูกพาไปยังห้องนั่งเล่นที่กว้างขวางสว่างไสว พวกเขานั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ยาวรอลอร์ดแอนดรูวมาพบ
นั่งอยู่บนโซฟากำมะหยี่ขนาดใหญ่อันสะดวกสบาย มองดูชุดน้ำชาสีเงินที่ตั้งอยู่โต๊ะ กาเว่นอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคนจนที่เขาเห็นในเมือง โลกแห่งเวทมนตร์และดาบนั้นทำให้โลกความจริงของเขาเปิดกว้างขึ้นไม่น้อย
"ท่านบรรพบุรุษ" รีเบคก้าที่นั่งข้างๆเอาศอกสะกิดกาเว่นเบาๆ "เราจะแนะนำท่านยังไงดี?"
"อย่างที่พวกเราคุยกันก่อนหน้านี้ บอกตรงๆ" กาเว่นพูดโดยไม่กระพริบตา "เมื่อมาถึงที่นี่พวกเราไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว"
"ท่านบรรพบุรุษ" เฮอร์ตี้เรียกพร้อมยื่นริมฝีปากไปทางแอมเบอร์ "ท่านคิดว่า...เหมาะสมแล้วหรือที่ให้นางมาที่นี่?"
แอมเบอร์นั่งอยู่ตรงข้ามกาเว่น นางกำลังศึกษาชุดน้ำชาสีเงินด้านหน้าอย่างจริงจัง วิธีการเรียนรู้ของนางคือเทชาและเก็บถ้วยชาเข้าไปในเสื้อของนาง จากนั้นภายในช่วงเวลาสั้นๆช้อนสีเงินก็ถูกเก็บเข้าไปในเสื้อของนางด้วย
กาเว่นมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม "แอมเบอร์!"
"อ้ะ!" หัวขโมยตัวน้อยอุทานออกมาเบาๆ ก่อนจะเอาของที่เก็บไปมาวางบนโต๊ะเหมือนเดิม ถ้วยชาสองถ้วย ช้อนเงินสามช้อน จานสีเงิน นาฬิกาพก แว่นตาข้างเดียวที่พ่อบ้านที่พาพวกเขามาที่นี่สวมใส่อยู่
กาเว่น"?!"
เด็กหญิงโดเรม่อน? ไม่ทราบว่าเจ้าทำบ้าอะไรอยู่กันแน่?!
กาเว่นรู้สึกช่วยไม่ได้ เขาแตะดาบที่ข้างเอวและเมื่อพบว่ามันยังอยู่ดี เขารู้สึกขอบคุณหัวขโมยตรงหน้าที่เมตตาไม่ขโมยดาบของเขาไปตอนที่นางเข้ามาในสุสาน...
"นางเป็นพยานสำคัญเรื่องการคืนชีพของข้า" กาเว่นพยายามพูดกลบเกลื่อน เขาพยามทำใบหน้าให้จริงจัง "และเจ้าไม่คิดหรือว่านางจะทำอะไรอีกถ้าเราปล่อยให้นางคลาดสายตา?"
เฮอร์ตี้พยักหน้าเห็นด้วย
ทันใดนั้นลอร์ดแอนดรูวก็เดินเข้ามาในห้องนั่งเล่น
พ่อบ้านผลักประตูไม้ขนาดใหญ่ ชายร่างสูงผอมเดินเข้ามาในห้อง เขาสวมชุดทางการสีดำบางๆ ผมสั้นสีน้ำตาลของเขาถูกทำให้เรียบเกือบติดหนังหัว หนวดทั้งสองข้างของเขาถูกจัดทรงอย่างพิถีพิถัน แม้หน้าของเขาจะซีดผิดปกติไปเล็กน้อย แต่รูปร่างที่ดูอ่อนแอเป็นเรื่องปกติของพวกขุนนาง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้มีความพรสวรรค์หรือความสามารถทางร่างกาย
การจะใช้พลังที่เหนือจากความสามารถของพวกเขา พวกเขาต้องใช้ยาทางเวทมนตร์จำนวนมาก ซึ่งผลข้างเคียงจะปรากฎขึ้นบนผิวหนังของเขาพวกเขา
พวกเขาภูมิใจกับมันมากและมองว่าผิวของพวกเขาเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความเป็นขุนนาง
ลูกหลานตระกูลเซซิลที่ยังคงปฏิบัติตามคำสอนของบรรพบุรุษ ฝึกฝนทักษะการต่อสู้หรือเวทมนตร์อย่างหนัก กลายเป็นสิ่งแปลกประหลาดสำหรับชนชั้นสูง แต่มันช่วยไม่ได้ตั้งแต่ตระกูลเซซิลตกต่ำลง ลืมเรื่องยาวิเศษไปได้เลย แม้แต่หลุมในปราสาท รีเบคก้าก็ไม่มีเงินพอที่จะซ่อมแซมมัน
"อา ท่านหญิงเฮอร์ตี้ผู้งดงามและท่านหญิงรีเบคก้าข้าต้องขอโทษจริงๆที่มาช้า" ลอร์ดแอนดรูวกล่าวด้วยเสียงดังและไพเราะ ใบหน้าของเขาดูเหมือนขอโทษอย่างจริงใจ "แต่ข้ายุ่งเกินไปจริงๆ ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นในดินแดนเซซิลกระจายไปทั่วอาณาเขตของข้า ข้าต้องใช้เวลาในการจัดการป้องกันและฟังรายงานหน่วยลาดตระเวน"
กาเว่นขนลุกและกระซิบถามทันที "เดี๋ยวนี้ขุนนางต้องพูดด้วยน้ำเสียงอันไพเราะและการแสดงออกเช่นนี้งั้นหรือ?"
รีเบคก้าลดเสียงของนางลง "ท่านบรรพบุรุษ ท่านเคยเป็นขุนนางชั้นสูง ตอนนั้นท่านไม่ได้ทำแบบนี้งั้นหรือ?"
"ปกติพวกเรามักจะนั่งอยู่ในร้านเหล่า พูดโม้เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองทำกันมากกว่า"
"...งั้น ข้าเดาว่าวัฒนธรรมตอนนี้คงต่างออกไปแล้ว แน่นอนว่าการพูดของลอร์ดแอนดรูวนั้น เอ่อ....พิเศษออกไปจากคนอื่นเล็กน้อย"
"พวกเราเข้าใจว่าท่านกำลังยุ่ง" เห็นรีเบคก้ากำลังยุ่งอยู่กับการคุยกับท่านบรรพบุรุษ เฮอร์ตี้รู้สึกว่าตัวเองต้องเป็นคนรับหน้าแทน นางลุกขึ้นทันที "แต่ข้าขอเตือนท่านควรเรียกรีเบคก้าในฐานะไวส์เคานท์เตส (เหมือนไวส์เคานต์แต่เป็นผู้หญิง) เพราะนางได้รับสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลมาตั้งแต่ปีที่แล้วหรือจะเรียกนางว่าท่านหญิงเซซิลก็ได้"
ดูเหมือนโลกนี้ไม่ได้เข้มงวดในการเรียกถึงคนในสังคมชนชั้นสูงมากเท่าไร พวกเขาสามารถพูดถึงด้วยชื่อหรือตระกูลก็ได้
หลังจากเฮอร์ตี้จ้องมองในที่สุดรีเบคก้าก็รู้ตัว นางลุกขึ้นและทักทายลอร์ดแอนดรูวที่ลุกขึ้นเช่นกัน มันแสดงให้เห็นถึงการเคารพขุนนางที่อยู่ในระดับเดียวกัน "ลอร์ดแอนดรูวขอบคุณสำหรับการต้อนรับของท่าน"
"ด้วยความยินดีท่านหญิงเซซิล" หลังจากคำเตือนที่นุ่มนวลของเฮอร์ตี้ แอนดรูวก็นึกถึงเหล่าสตรีในแวดวงชั้นสูงก่อนที่จะตัดสินใจเรียกรีเบคก้าด้วยชื่อตระกูลแทน "ข้าเสียใจอย่างสุดซึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นในดินแดนเซซิล มันเป็นหายนะอย่างแท้จริง ยังดีที่ทายาทของตระกูลยังคงอยู่"
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นเป็นการพูดคุยแสดงความห่วงใยตามธรรมเนียม เห็นได้ชัดว่ารีเบคก้าไม่ถนัดด้านนี้เท่าไร นางจึงเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว "่กอนที่ปราสาทจะแตก อัศวินฟิลิปได้พาทหารไปช่วยเหลือประชาชน พวกเขาหนีมาที่นี่ ตามกฎหมายที่ตั้งขึ้นโดยบรรพบุรุษผู้ก่อตั้ง พวกเขาควรจะได้รับการช่วยเหลือจากท่าน ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนงั้นหรือ?"
"แน่นอนกฎหมายที่ตราขึ้นโดยบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งนั้นศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าดินแดนของข้าจะเล็ก แต่ก็สามารถช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่มีปัญหาได้" แอนดรูวพยักหน้า "อัศวินผู้กล้าหาญเต็มไปด้วยอาการบาดเจ็บ ข้าส่งเขาไปพักที่โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งแสง ส่วนเหล่าพลเรือนผู้น่าสงสารข้าจัดให้เขาอยู่ส่วนตะวันออกและใต้ของเมือง ตอนนี้ยังไม่มีใครตายเพราะความหิวโหยและความหนาว"
สิ่งที่แอนดรูวพูดแสดงให้เห็นว่าเขาดูแลคนพวกนั้นเป็นอย่างดี แน่นอนวมันเป็นเรื่องที่สมควรทำ เพราะท้ายที่สุดผู้ลี้ภัยเหล่านั้นจะกลายเป็นหนี้ที่รีเบคก้าต้องจ่าย'เงินรางวัล' ให้กับแอนดรูวตามจำนวนคน
อนึ่งกฎที่ว่า 'ควรช่วยเหลือเพื่อนบ้านที่ทุกข์ยากและขุนนางควรปกป้องให้ที่อยู่และปกป้องคนที่มาจากตระกูลอื่นในช่วงเวลาที่วิกฤติ" เขียนอยู่ในกฎหมายอาณาจักร 'ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือควรจ่ายรางวัลตามความจำเป็นสำหรับผู้ที่ให้การช่วยเหลือ' กาเว่นรู้เรื่องนี้ดี
เพราะเป็นเขาและชาร์ลีที่1ตั้งขึ้นมาด้วยกัน...
แม้รีเบคก้าจะเป็นเด็กแต่นางรู้เรื่องนี้ดี นางมีท่าทีเคร่งขรึมเพราะนางไม่รู้ว่านางจะจ่ายหนี้ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันได้หรือไม่
รีเบคก้ารู้สึกช่วยไม่ได้ นางได้แต่มองกาเว่นด้วยความคิดที่กล้าหาญ
ท่านบรรพบุรุษ...เขาต้องสวมใส่ของโบราณ...ทำไมไม่ลองขอให้เขาขายชุดของเขาดูล่ะ?