บทที่ 17 เมืองแทนซาน
เมื่อเฮอร์ตี้พูดจบทุกคนต่างจมอยู่ในความคิดของตัวเอง
ยกเว้นเบ็ตตี้ที่ไม่เข้าใจว่าทุกคนกำลังพูดอะไรกัน
รีเบคก้าอดคิดถึงพวกอสูรที่ทำลายบ้านของนางไม่ได้ มันเกิดขึ้นจากคลื่นความมืด นางเคยคิดว่าพวกมันอาจหลงมาจากดินแดนรกร้างในกอนดอร์ผ่านกำแพงและบุกเข้ามาในดินแดนอันซุ เพราะสภาพแวดล้อมของดินแดนเซซิลนั้นคล้ายกับดินแดนรกร้างในกอนดอร์มาก ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหอสังเกตุการณ์สักที่ทำให้กำแพงที่กั้นอยู่พังลงมันก็เป็นไปได้ที่อสูรบางตัวจะเข้ามา
แต่ตอนนี้รีเบคก้าอดคิดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงเรื่องที่เลวร้ายกว่า ถ้าพวกมันไม่ได้มากจากกอนดอร์ แต่เกิดขึ้นในดินแดนเซซิล?
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกมัน...เป็นตัวบ่งชี้ถึงคลื่นความมืดครั้งต่อไป?
"เอ่อ...พวกเราไม่กังวลเรื่องนี้กันเกินไปหน่อยหรือ?" แอมเบอร์เป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบ เด็กสาวครึ่งเอล์ฟฝืนยิ้มและชี้ไปที่สมุดบันทึก "มันเป็นแค่สมุดบันทึกจากนักเวทย์นิรนามเพียงคนเดียว ความชัดเจนของมันอาจจะยังไม่เพียงพอด้วยซ้ำ เราจำเป็นต้องเชื่อมโยงมันกับคลื่นความมืดด้วยงั้นหรือ?"
กาเว่นไม่ได้ตำหนินาง เขาแค่พยักหน้า "ใช่ ข้าอาจจะกังวลเกินไป"
ท้ายที่สุดเขาก็เพียงแค่วิเคราะห์ข้อมูลสำคัญที่ได้รับสืบทอดมา เขารู้สึกดีไม่น้อยที่ได้พูดประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เมื่อเจ็ดร้อยปีที่แล้ว เขาเองยังตกใจกับเนื้อหาที่ตัวเองวิเคราะห์ไม่น้อย
"ใช่แล้ว" แอมเบอร์ถอนหายใจหลังเห็นกาเว่นพยักหน้า "ท่านบรรพบุรุษของพวกเจ้าตายไปเจ็ดร้อยปี เขาคงกำลังพยายามทำจิตใจให้คุ้นเคยกับโลกปัจจุบัน ข้ารู้ว่าเจ้าเคยเจอกับคลื่นความมืดด้วยตัวเอง มันอาจจะฝังลึกในจิตใจ...โอ๊ย!"
รีเบคก้าเอาไม้เท้าเคาะหัวแอมเบอร์ "อย่าหยาบคายกับท่านบรรพบุรุษนะ!"
กาเว่นมองไม้เท้าของรีเบคก้าด้วยสายตาแปลกๆ ในหัวของเขาเหมือนจำได้ลางๆว่านางเองก็เคยทำหยาบคายกับเขาโดนการเอาไม้เท้านั่นมาตีมือเขา...
"ไม่ว่าเรื่องไหนจะเป็นเรื่องจริงก็ตาม เราต้องรายงานเรื่องนี้ให้องค์ราชาทราบ เมื่อพวกเราไปถึงเซนต์ โซนิเอล" เฮอร์ตี้กล่าวขณะที่คืนสมุดบันทึกให้กาเว่น "สำหรับองค์ราชาจะเชื่อหรือไม่...มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะโน้มน้าวเขาได้"
กาเว่นเก็บซ่อนสมุดบันทึกเงียบๆราวกับเขากำลังคิดบางอย่างอยู่ในใจ
จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและจ้องมอง 'ดวงอาทิตย์' ขนาดใหญ่บนท้องฟ้า
ไม่มีอะไรบดบังท้องฟ้าเปิดกว้าง ดวงอาทิตย์ขนาดยักษ์อยู่บนจุกสูงสุดของท้องฟ้า มันได้นำพาแสงสว่างและแหล่งพลังงานเวทมนตร์มาสู่โลกนี้
บางที่มันอาจจะเป็นสิ่งที่ส่งผลให้กฎต่างๆในธรรมชาติของโลกนี้ต่างจากโลกที่เขาจากมา
ดวงตาของกาเว่นกวาดไปทั่วพื้นผิวดวงอาทิตย์ ริ้วรอยจางๆดูเหมือนจะเป็นพายุที่เกิดขึ้นบนผิวดาว เขาพยายามหาจุดสีแดงเข้ม แต่ไร้ประโยชน์เพราะมันเกิดขึ้นเพียงไม่นานก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตามลางสังหรณ์ของกาเว่นไม่ได้หายไป เขาผลักความกังวลไปด้านหลังจิตใจ เขาวางแผนเงียบๆว่าจะทำอะไรต่อไป
ก่อนอื่นเขาต้องตั้งหลักในโลกนี้ให้ได้ ไม่ว่าตระกูลของเขาจะทรุดโทรมและเก่าแก่แค่ไหน แต่อย่างน้อย....การมีจุดเริ่มต้นก็ดีกว่าการสร้างมันขึ้นมาใหม่จากป่าหรือสุสาน
หลังจากผ่านป่าทึบ การเดินทางของพวกเขาง่ายขึ้นมาก ไม่มีอสูรหรือปรากฎการณ์แปลกๆอะไรมารบกวนพวกเขาอีก พวกเขาจึงสามารถเดินทางไปบนถนนสายหลักได้อย่างปลอดภัยและได้พบกับกองคาราวานเล็กๆของพ่อค้า หลังจากให้เงินจำนวนหนึ่งความกังวลที่ต้องเดินเท้าผ่านหุบเขาได้หายไป แทนที่ด้วยการนั่งรถม้าไปยังแทนซาน
หัวหน้าพ่อค้าเป็นชาวเหนืออวบอ้วนจากดินแดนที่ร่ำรวย เขาข้ายสินค้าท้องถิ่นและสมุนไพรทางใต้ เขาบอกว่าเขาวางแผนจะเดินทางไปยังดินแดนเซซิลเพื่อทำการค้า แต่ก็ได้ยินก่อนว่าเกิดภัยพิบัตขึ้นที่ดินแดนเซซิล ทำให้เขาเลือกที่จะละทิ้งการเดินทางอีกครึ่งหนึ่ง ตอนแรกเขาไม่เต็มใจและกังวลที่จะให้กาเว่นและคนอื่นๆที่พกอาวุธนั่งบนรถม้า แต่เฮอร์ตี้พยายามเกลี้ยกล่อมด้วยทองจำนวนหนึ่ง
และแน่นอนทองนั้นเป็นสิ่งที่ได้ผลที่สุดในการเจรจาธุรกิจ
ในวันที่เจ็ดหลังออกจากดินแดนเซซิล ประตูเมืองแทนซานก็ปรากฎขึ้นด้านหน้าพวกเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่กาเว่นได้อยู่ใลก้ชิดกับเมืองที่มีคนของโลกนี้อาศัยอยู่ แน่นอนว่าเขาพึ่งปีนขึ้นมาจากโลงศพเพื่อดูดินแดนของเขา แต่มันกลับถูกทำลายและเผาโดยมังกรไปจนหมด เขาไม่สามารถหาสิ่งใดที่บอกถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ แต่การได้เห็นเมืองแทนซานตรงหน้าเขา...พูดตามตรงแล้วมันก็ไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้น
เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อยด้วยซ้ำ
มันเป็นเมืองที่ใหญ่อย่างรีเบคก้าบอก ยังไงก็ตามมันเป็นเพราะที่ราบอันกว้างใหญ่ ผืนดินอันอุดมสมบูรณ์ติดกับแม่น้ำ เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในแดนใต้ มีผู้อยู่อาศัยเกือบหมื่นคนบนพื้นที่ราบลุ่มรูปสามเหลี่ยม แม่น้ำไหลผ่านจากทิศตะวันตกก่อนแจกออกเป็นสองส่วนวิ่งผ่านทางเหนือและใต้ของเมือง มอบน้ำให้กับการเกษตรและทำหน้าที่เป็นเส้นทางสำหรับการเดินทางขนส่ง ทางด้านตะวันออกตั้งอยู่ติดกับเหมืองซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
สถานที่ที่อุดมสมบูรณ์ มีเหมืองและแม่น้ำเป็นเส้นทางคมนาคมควรเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ที่กาเว่นเห็นหลังจากที่เข้ามาในเมืองนั้นคือพลเมืองที่ดูต่ำต้อยหน้าซีดเซียว กระท่อมไม้นับไม่ถ้วนริมข้างถนนที่เต็มไปด้วยความสกปรกและส่งกลิ่นเหม็น
เนื่องจากอารยธรรมของโลกนี้ไม่ได้เจริญก้าวหน้าจนมนุษย์สามารถยึดครองพื้นที่ทางธรรมชาติได้ทั้งหมด จนสัตว์ต้องไปอยู่ในสวนสัตว์ และปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่ชานเมืองทำให้ทั้งเมืองถูกล้อมไว้ด้วยกำแพงเตี้ยๆซึ่งช่วยป้องกันอะไรได้บ้างเล็กน้อย พื้นที่ที่เสื่อมโทรมกองซ้อนทับกันอยู่ข้างกำแพง ราวกับเป็นตะไคร่น้ำที่กดทับแน่นเป็นชั้นๆ ไม่มีความสวยงามใดๆสำหรับบ้านที่ทรุดโทรมสำหรับพักพิง ต้านลม ต้านฝน ในขณะเดียวกันมีถนนกว้างทอดยาวจากประตูสู่ใจกลางเมืองแต่ทิวทัศน์ก็ไม่ได้น่ามองไปกว่าแต่อย่างใด
บนรถม้า กาเว่นสังเกตเห็นคนบนถนน เขาเห็นคนยากไร้แต่งกายด้วยกางเกงขาสั้นเดินตามข้างถนน มีส่วนน้อยที่สวมรองเท้า ขณะที่บางส่วนผูกเท้าไว้ด้วยเศษผาหรือไม่ใส่รองเท้าเลย ผู้ที่เดินอยู่กลางถนนสวมชุดที่สะอาดและสวมรองเท้า
พวกเขาไม่ได้มีการปฏิสัมพันธ์หรือมีความขัดแย้งอะไรกับคนอื่น พวกเขาเดินไปเงียบๆราวกับอยู่คนละโลก
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอาศัยในเมืองเดียวกัน เดินไปบนถนนสายเดียวกัน แต่เหมือนถูกแยกกันด้วยอะไรบางอย่าง
กาเว่นค้นหาผ่านความทรงจำของเซซิล แต่เขาพบว่าข้อมูลมีไม่มากพอที่จะสรุปได้ กาเว่น เซซิล เกิดในอาณาจักรกอนดอร์อันรุ่งโรจน์ ท่ามกลางดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ไม่เคยมีฉากแบบนี้ปรากฎขึ้น ต่อมาในระหว่างปรากฎการณ์คลื่นความมืดของกอนดอร์ กาเว่น เซซิล ได้พาประชาชนของเขาขึ้นมาทางเหนือระหว่างการเดินทางพวกเขาแบ่งปันทั้งความสุขและความทุกข์โดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น อาณาจักรอันซุถูกก่อตั้งขึ้นบนพื้นที่อันทุรกันดาร แม้แต่ราชาผู้ยิ่งใหญ่และขุนนางยังต้องวางอาวุธลงเพื่อไถไร่ทำนา เขาจะเคยเห็นฉากในปัจจุบันนี้ได้ยังไง?
นอกจากนั้น...กาเว่น เซซิล ได้ตายลงที่ชายแดนภาคใต้ตั้งแต่อายุสามสิบห้าปี เขาไม่เคยเห็นดินแดนที่เขาร่วมสร้างมาแบ่งแยกคนจนและรวยแม้แต่น้อย
ดังนั้นเขาจึงหันไปหาลูกหลานของตัวเองและถามออกมา
"ผู้คนที่เดินไปตามข้างถนนนั้นเป็นคนรับใช้และคนงานทาสในเหมือง" เฮอร์ตี้อธิบาย "ผู้คนที่เดินอยู่ถนนชั้นนอกคือคนที่ปราศจากความยากจน แต่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาติให้เดินบนถนนสายหลักเพราะพวกเขาไม่สามารถบริจาคเงินให้ได้เมื่อต้องซ่อมแซมถนน ผู้คนที่เดินอยู่กลางถนนคือ 'ชาวเมือง' ที่ถูกกฎหมายและพ่อค้า คนเหล่านี้จ่ายภาษีเลยได้รับอนุญาติให้เดินบนกลางถนน
กาเว่นจำได้ว่าพ่อค้าอวบอ้วนต้องมอบเหรียญให้ยามที่ประตู นั่นคือการเสียภาษีเข้าเมืองนั่นเอง
จากนั้นเขาก็คิดถึงทหารที่ถูกฝังในป่า ผู้ที่เป็นลูกของทาส
ความจริงที่เขาสามารถกวัดแกว่งดาบได้นั้นเป็นเพราะความเมตตาของรีเบคก้า อย่างไรก็ตามแม้เขาจะตายก็ไม่ได้รับอนุญาติให้ฝังศพในฐานะอัศวินเพียงเพราะเขายังไม่ได้ไถ่ถอนตัวเองจากการเป็นทาส
"ท่านบรรพบุรุษมีอะไรผิดปกติงั้นหรือ?" เฮอร์ตี้ซึ่งสังเกตุเห็นการแสดงออกของกาเว่นถามขึ้นมา
กาเว่นมองออกไปนอกรถพร้อมส่ายหัวเล็กน้อย "ไม่มีอะไร"
เขารู้สึกต่อต้านเล็กน้อยเพราะเขามองในมุมมองของคนที่มาจากโลกอื่น ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะตัดสินและทำ'สิ่งที่ถูกต้อง'
ความเข้าใจในโลกนี้ของเขายังไม่เพียงพอ
หลังจากไตร่ตรองสักพัก เขาหันไปมองที่เฮอร์ตี้และกล่าวออกมา "เจ้าวางแผนจะทำอะไรต่อไป"
เห็นได้ชัดว่าเฮอร์ตี้มีแผนอยู่แล้ว "เราจะมุ่งหน้าไปยังปราสาทของผู้ที่ปกครองเมืองแห่งนี้ลอร์ดแอนดรูวซึ่งถือว่าเป็นคนหนึ่งที่มีเหตุผล มันจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเราที่จะติดต่ออัศวินฟิลิปและหาผู้ที่หลบหนีออกมาก่อน หลังจากนั้นพวกเราจะตัดสินใจว่าจะเคลื่อนย้ายนก่อนหรือตรงไปยังเมืองหลวงเลย เรื่องที่ดินแดนเซซิลถูกทำลายไม่สามารถสื่อสารได้ด้วยผู้ส่งสารเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น แต่ต้องถูกถ่ายทอดไปยังองค์ราชาด้วยตัวของรีเบคก้าเอง"
กาเว่นไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งเพราะเขาเป็นผู้ที่มาจากโลกอื่น ตอนนี้มาอยู่ในร่างบรรพบุรุษของพวกนางที่ไม่สามารถให้คำแนะนำอะไรได้ "อืม พวกเราจะทำเช่นนั้น"