บทที่ 133 ข้าพึ่งพาแต่ตัวเอง
เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงสบตากันอย่างมีเลศนัย ในขณะเดียวกัน ซูรั่วเสวี่ยที่อยู่อีกด้านก็เผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา หลังจากที่มีหลายสิ่งเกิดขึ้น กลับกลายเป็นว่าแท้จริงแล้วเจียงอี้ก็เป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยเช่นกัน?
หากดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเจียงอี้และเจียงนี่หลิวจะเป็นพี่น้องกันเสียด้วย
“ฝ่าบาท?”
ข่าวที่น่าตกตะลึงนี้ราวกับสายฟ้าซึ่งฟาดลงกลางใจของ จีทิงยวี่, เจียงเฮิ่นซุ่ยและคนที่เหลือ แม้ว่าจีทิงยวี่จะเคยคาดเดาไว้แล้วว่าเจียงอี้อาจจะมีสายสัมพันธ์บางอย่างกับตระกูลเจียงอันยิ่งใหญ่ แต่คาดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วเขาจะเป็นถึงบุตรชายของเจียงเปี๋ยหลีคนนั้น
หลังจากที่ไตร่ตรองถึงความสามารถและพรสวรรค์อันน่าหวาดหวั่นของอีกฝ่ายแล้ว การแสดงออกทางสีหน้าของจีทิงยวี่ก็ซีดขาวลงราวกับศพ ตอนนี้นางได้ตระหนักแล้วว่าตัวเองได้ทำการตัดสินใจในสิ่งที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตไปแล้ว
เจียงนี่หลิวและจ่างซุนอู๋จี้มีสัมผัสที่เฉียบแหลมมาก ใบหน้าของพวกเขามืดมนอย่างถึงที่สุด บิดาของเขา เจียงเปี๋ยหลี จะต้องทราบเรื่องที่เขาทำไว้จึงได้ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะให้หน่วยองครักษ์พิฆาตเทวะมารับตัวเจียงอี้
แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทัศนคติที่เจียงเหรินถูมีต่อเขาต่างหาก
ในอาณาจักรเสินหวู่มีคำกล่าวที่ว่า ‘เจียงเหรินถูเป็นดั่งเงาและตัวแทนความตั้งใจของเจียงเปี๋ยหลี’ ในตอนนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าเจียงเหรินถูไม่ได้ให้ความสนใจต่อเจียงนี่หลิวซึ่งเป็นทายาทโดยชอบธรรม
แต่กลับคุกเข่าต่อหน้าเจียงอี้ซึ่งเป็นเพียงบุตรนอกสมรสต่อหน้าผู้คนมากมาย เจียงนี่หลิวทราบดีว่าการกระทำเช่นนี้หมายอะไรถึง
ภายในใจของจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตกยังคงให้ความสำคัญกับอีเพียวเพียว?
ดวงตาของจ่างซุนอู๋จี้เผยให้เห็นความเคียดแค้น ราวกับว่ารำลึกได้ถึงบางสิ่ง จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงเบา
“ข้าควรที่จะเดาได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ หลังจากที่อีเพียวเพียวจากไป ท่านจอมพลก็เข้าสู่การเก็บตัวเป็นเวลาหนึ่งปี หลังจากที่ออกมา เขาก็เปลี่ยนชื่อเมืองจากเดิมที่ใช้ชื่อว่าเมืองทัพทหารตะวันตกเป็นเมืองเจียงอี”
“คำว่า ‘เจียงอี’ คงจะมาจากการรวมกันของชื่อ ‘เจียง’ เปี๋ยหลี และ ‘อี’ เพียวเพียว”
ฟึ่บบ
ในขณะที่ฝูงชนกำลังตกอยู่ในความโกลาหลนั้น เจียงเหรินถูก็ลุกขึ้นยืน เขาระเบิดกลิ่นอายอันทรงพลังออกมา จากนั้นก็จับจ้องไปยังเจียงนี่หลิวด้วยสายตาดั่งพยัคฆ์ที่มองเหยื่อ
“ตามคำสั่งของท่านจอมพล ให้นำตัวองค์ชายนี่หลิวกลับไปหามารดา… ฝ่าบาท โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วย!”
เจียงนี่หลิวลอยอยู่ไม่สูงจากพื้นมากนัก เจียงเหรินถูเดิมก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ด้วยการขยับเพียงเล็กน้อย เขาก็ทะยานขึ้นไปถึงรถม้าสงครามในพริบตา โดยไม่ทันได้ตั้งตัว เจียงเหรินถูก็หวดใส่ขาของเจียงนี่หลิวอย่างไร้ปรานี
“แกร๊ก!”
“อ๊ากกก!”
เสียงหักของกระดูกดังออกมาให้ได้ยิน ขาทั้งสองข้างของเจียงนี่หลิวหักในทันที จากนั้นเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาก็ดังตามออกมา
สีหน้าของเจียงเหรินถูยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขายกร่างของเจียงนี่หลิวขึ้นและโยนไปด้านหน้าของรองแม่ทัพแห่งหน่วยองครักษ์พิฆาตเทวะผู้หนึ่ง จากนั้นก็หันไปมองจ่างซุนอู๋จี้และกล่าว
“นายน้อยอู๋จี้ ข้าไม่สามารถแตะต้องท่านได้เนื่องจากท่านเป็นทายาทของตระกูลจ่างซุน แต่เมื่อท่านมีเวลา ท่านก็ควรที่จะเดินทางไปยังเมืองเจียงอีเพื่อขอประทานอภัยจากท่านจอมพล มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
หลังจากที่กล่าวจบ เจียงเหรินถูก็โบกมือขณะที่ใช้พลังบังคับให้จ่างซุนอู๋จี้ออกมาจากรถม้าสงครามศักดิ์สิทธิ์โบราณ จากนั้นเขาก็ใช้มือเหวี่ยงรถม้าลงไปด้านล่าง ในเวลาเดียวกัน ทหารจำนวนหนึ่งก็ก้าวออกมาและนำรถม้าสงครามออกไป
“โฮกกกก!”
จ่างซุนอู๋จี้ไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองแตะพื้นเบื้องล่าง เพราะเขากลัวว่าเจียงอี้จะมาสังหารเขาทันทีเมื่อลงถึงพื้น เขาเรียกมังกรสีน้ำเงินออกมาและกระโดดขึ้นไปบนหลังของมันก่อนที่จะจากไปอย่างรวดเร็ว
“พวกเจ้า จงไปนำตัวคนขององค์ชายนี่หลิวและนายน้อยอู๋จี้ไปยังเมืองเจียงอีเพื่อรอคำตัดสินจากท่านจอมพล หากใครกล้าขัดขืนก็ฆ่าทิ้งได้เลย!”
เจียงเหรินถูกลับลงมาบนพื้นและออกคำสั่งกับเหล่าทหาร หน่วยองครักษ์พิฆาตเทวะหลายร้อยคนก้าวออกมาและเริ่มทำการจับกุมคนของตระกูลเจียงและตระกูลอู๋จี้ที่เหลือรอดอยู่ในทันที
หลังจากที่ภารกิจเสร็จสิ้น เจียงเหรินถูก็กลับมาคุกเข่าต่อหน้าเจียงอี้อีกครั้งและกล่าว “ฝ่าบาท โปรดตามกระหม่อมกลับเมืองด้วยเถิด ท่านจอมพลอยากจะพบท่านมากเหลือเกิน”
“เฮ้ออ..”
ฝูงชนดึงสติกลับมา แม้ว่าจะไม่มีใครกล้าพูดเสียงดัง แต่ก็มีหลายคนที่อดไม่ได้จนต้องถอนหายใจออกมา พวกเขาตกใจสุดขีด ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนแต่มาจากตระกูลใหญ่ พวกเขาจะไม่รู้ได้เยี่ยงไรว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเจียงเหรินถูคืออะไร
เขากำลังช่วยเหลือเจียงเปี๋ยหลี… โดยการแสดงความปรารถนาดีต่อเจียงอี้!
แม้ว่าเจียงเปี๋ยหลีจะสั่งให้ทำลายขาทั้งสองข้างของเจียงนี่หลิว แต่เจียงเหรินถูก็สามารถทำในที่ลับตาคนได้ไม่ใช่หรือ? การลงโทษเจียงนี่หลิวต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้ก็เท่ากับว่าเป็นการบดขยี้ศักดิ์ศรีของเขา ต่อไปนี้เขาจะยังได้รับความเคารพในฐานะเชื้อพระวงศ์อีกหรือ? ในอนาคตเขาจะยังปกครองกองทัพทหารตะวันตกอันเกรียงไกรได้อย่างไร?
นี่ยังไม่นับจ่างซุนอู๋จี้ เจียงเหรินถูกล่าวแนะนำแกมบังคับให้เขาไปขออภัยจากเจียงเปี๋ยหลีราวกับว่าไม่สนใจตระกูลจ่างซุนที่คอยหนุนหลังเขา อีกทั้งยังจับตัวคนของพวกเขาอีก การกระทำนี้ช่างอุกอาจนัก
ในฐานะที่เป็นถึงหัวหน้าแม่ทัพของกองทัพทหารตะวันตกและยังเป็นคนสนิทของเจียงเปี๋ยหลี คนอย่างเขาจะลดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าเจียงอี้ได้อย่างไร ต้องทราบก่อนว่าแม้แต่บิดาของจ่างซุนอู๋จี้ผู้ซึ่งเป็นประมุขของตระกูลจ่างซุน เจียงเหรินถูก็ยังไม่เคยคุกเข่าต่อหน้าเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เห็นได้ชัดว่าการกระทำทั้งหมดทั้งมวลของเขาก็เพื่อสร้างความประทับใจให้กับเจียงอี้… หรือจะพูดให้ถูกก็คือ เขากำลังช่วยเหลือเจียงเปี๋ยหลีทางอ้อม!
"ฮ่า-ฮ่า-ฮ่า—!"
จู่ๆเจียงอี้ที่เฝ้าดูอยู่เงียบๆก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ท่าทางของเขาดูคล้ายกับคนไร้สติ เขาหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่น่าแปลกที่เสียงหัวเราะของเขาฟังดูไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย มันกลับเต็มไปด้วยอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
จนในที่สุดเขาก็หันไปมองเจียงเหรินถูหลังจากที่หัวเราะอยู่นาน จากนั้นก็กล่าวด้วยความเย็นชา “ข้ามีนามว่าเจียงอี้ เป็นเพียงแค่ปุถุชนคนธรรมดา ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์อะไรทั้งสิ้น!”
“ท่านแม่ทัพ ท่านจำผิดคนแล้ว โปรดลุกขึ้นเถิด ข้าไม่สมควรได้รับการคุกเข่าจากท่าน”
“หืม?”
ฝูงชนตกตะลึงอีกครั้ง เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงมองหน้ากันขณะที่ยิ้มออกมาด้วยความขมขื่นราวกับคาดเดาปฏิกิริยาของเจียงอี้ไว้แล้ว
เจียงเหรินถูลุกขึ้นยืน แต่หน่วยองครักษ์พิฆาตเทวะก็ยังคุกเข่าอยู่ที่เดิม ใบหน้าอันดุดันของเขาเผยให้เห็นความประหลาดใจเล็กน้อยขณะที่มองไปยังใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของเจียงอี้และถอนหายใจเบาๆ
“ฝ่าบาท ท่านยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในปีนั้น ข้าขอสาบานว่ามันไม่ได้เป็นเหมือนที่ท่านคิด หากท่านอยากรู้ความจริง เช่นนั้นก็ตามกระหม่อนกลับไปเถิด ข้ามั่นใจว่าท่านจอมพลจะต้องเตรียมคำอธิบายที่น่าพอใจให้กับท่านได้แน่”
มุมปากของเจียงอี้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันเย้ยหยันขณะเอ่ยตอบ “ท่านแม่ทัพ หยุดพูดเถอะ ข้า เจียงอี้ เป็นเพียงแค่เด็กกำพร้าที่ไม่มีพ่อแม่และมันจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป! ขอให้ท่านจงกลับไปเสีย ข้าพึ่งพาแต่ตัวเองมาทั้งชีวิตและไม่ต้องการความเห็นใจจากใครทั้งสิ้น!”
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ สายตานับไม่ถ้วนต่างก็จับจ้องมายังร่างของเจียงอี้ พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความอ้างว้างและเงียบเหงาจากชายหนุ่มผู้นี้ราวกับว่าเขาคือคนที่ถูกโลกทั้งใบทอดทิ้ง
เจียงอี้หัวเราะออกมาเล็กน้อย แต่มันกลับเต็มไปด้วยความเย็นยะเยือก
ดวงตาของซูรั่วเสวี่ยเผยให้เห็นความเศร้าสร้อย จู่ๆนางก็เอื้อมไปจับมือของเจียงอี้โดยไม่รู้ตัว การกระทำนี้ไม่ได้มีความหมายพิเศษแอบแฝง นางเพียงแค่อยากจะมอบความอบอุ่นให้กับเขาบ้างก็เท่านั้น
ฟึ่บบ!
แต่ทันใดนั้นเองร่างของเจียงเหรินถูก็ทะยานเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าหวาดกลัว มือข้างหนึ่งของเขายื่นไปข้างหน้า เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการที่จะนำตัวเจียงอี้กลับไปแม้ว่าจะต้องใช้ไม้แข็งก็ตาม
แต่ในขณะที่เจียงเหรินถูอยู่ห่างจากเจียงอี้เพียงแค่สิบเมตร จู่ๆไข่มุกปริศนาก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของอีกฝ่าย เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันแสนอันตรายจากมัน ตัวเขาที่ผ่านความเป็นความตายมาอย่างโชกโชนก็รีบหยุดฝีเท้าโดยสัญชาตญาณ
ใบหน้าของเจียงอี้ดูมืดมน ประกายแสงอันตรายแวบผ่านม่านตาของเขาพร้อมกับจิตสังหารที่ใกล้จะปะทุออกมา
“นำคนของพวกเจ้ากลับไปซะ! หากว่ายังดึงดันไม่เลิก นายน้อยผู้นี้ก็จะทำให้พวกเจ้าทั้งหมดถูกกลบฝังอยู่ที่นี่!”