ตอนที่ 32: จัตุรัสคงอยู่ ความปวดหัวของเมฆา [ฟรี 13 มิ.ย. 63]
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 32: จัตุรัสคงอยู่ ความปวดหัวของเมฆา
“ถ้าเป็นพี่น้องกันจริง… ทำไมต้องผูกมัดด้วยคำสาบานด้วย? ถ้าไม่ใช่พี่น้องกัน คำสาบานจะมีประโยชน์อะไร?”
ยวินหยางโยนคำพูดเหล่านั้นอย่างไม่ใส่ใจด้วยการต่อว่าเบา ๆ แต่ในหูของฟางโม่เฟย พวกมันดังก้องดุจอสนีบาต
“ดังนั้น ท่านเลยฆ่าพวกเขาแล้วหนีออกมาพร้อมลูกสัตว์ร้ายวิเศษงั้นหรือ?” ยวินหยางถาม
“ข้าอยากฆ่าพวกเขา” ฟางโม่เฟยถอนหายใจอย่างขมขื่น “แต่ทำไม่ได้… ข้าไม่มีความสามารถมากพอ แถมเพิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสสามแห่ง เมื่อหาทางฟื้นตัวจากการโจมตีเกือบถึงตายเหล่านั้นได้ มีชายสามคนไล่ตามมา ข้าเกือบพบจุดจบแล้ว…”
“ดังนั้น ข้าต้องใช้ ‘ภักดี’…” ฟางโม่เฟยหัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน “มันคือวิถีวิเศษลับ เป็นอาวุธชั่วร้าย”
“เมื่อทำให้ทั้งสามบาดเจ็บสาหัส สติสุดท้ายของข้าคือวิ่งหนีพร้อมสัตว์ร้ายวิเศษ…” ดวงตาของฟางโม่เฟยแดงก่ำ เขาไม่ได้ร้องไห้ แต่ปวดร้าวที่ถูกพี่น้องหักหลัง “ข้าเสียเลือดบริสุทธิ์ไปตลอดทาง วิ่งหนีโดยไม่สนการฝึกฝนของตัวเอง”
“พูดตามตรง ข้าไม่แม้แต่จะจำได้ด้วยซ้ำว่าเข้าเมืองเทียนถังจนไปหมดสติอยู่หน้าร้านนั่นได้อย่างไร…” ฟางโม่เฟยถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเป “สามคนนั้น… พี่น้องหู ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นยังไงบ้าง ตอนที่ฟาดออกไป ข้าจำได้ว่ายั้งมือเอาไว้ด้วยการฟาดเพียงส่วนที่ไม่ถึงตายเท่านั้น”
ฟางโม่เฟยถอนหายใจ “ดังนั้น พวกเขาน่าจะไม่ได้รับอันตรายร้ายแรง”
“สามพี่น้องหู…” ยวินหยางพึมพำขณะก้มศีรษะแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นถามว่า “ท่านแสวงหาการแก้แค้นหรือเปล่า? อยากฆ่าพวกเขาหรือไม่?”
ฟางโม่เฟยมีคุณธรรมค้ำคออยู่ ความขัดแย้งปรากฏขึ้นในดวงตา
เพราะความโลภ มิตรภาพหลายสิบปีจึงถึงจุดแตกหักด้วยการแทงอย่างไม่ลังเลสองครั้งและการโจมตีหนึ่งครั้ง
ข้าอยากฆ่าพวกเขาหรือไม่งั้นหรือ?
“ท่านไม่ต้องตอบคำถามนี้หรอก” ร่องรอยความพึงพอใจวูบไหวผ่านดวงตาของยวินหยาง ความลังเลของฟางโม่เฟยทรยศต่อความสำคัญของเครือญาติ ถึงแม้จะไม่เที่ยงธรรมและถูกต้อง ถึงแม้พวกเขาจะลืมคำว่าเครือญาติก่อนผลประโยชน์ แต่ฟางโม่เฟยยังไม่มั่นใจว่าก้าวต่อไปจะลงมืออย่างไร
น้ำเสียงของยวินหยางแผ่วเบาลงขณะถามว่า “พี่ฟาง แผนในอนาคของท่านคืออะไร?”
ถึงแม้ฟางโม่เฟยจะไม่เข้าใจแรงจูงใจของยวินหยางก่อนหน้านี้ แต่ทุกอย่างชัดเจนเมื่ออีกฝ่ายถาม คิดจะแสวงหาการจ้างเขางั้นหรือ? ทั้งที่รู้ว่าเขาคือนักฆ่าของกลุ่มคนในโลกใต้ดินน่ะหรือ?
“อนาคตหรือ? ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำ” ฟางโม่เฟยหัวเราะขมขื่น “ข้าสามารถรู้สึกถึงความเสียดายต่อลมปราณพื้นฐานได้อย่างชัดเจนหลังจากบาดเจ็บสาหัส เกรงว่ามันจะไม่ฟื้นคืนชั่วชีวิตนี้”
ยวินหยางตอบอย่างสงบว่า “นั่นมันก็แค่สิ่งที่ท่านคิด แต่ข้าทำการคาดเดาเกี่ยวกับอนาคตของพี่ฟางเอาไว้บางส่วนแล้ว”
ความสงสัยของฟางโม่เฟยก่อตัวขึ้น “เจ้าน่ะหรือ? ช่วยบอกมาหน่อยสิ”
“ท่านมีทางเลือกไม่มาก อย่างแรกคือนี่ เมื่อบาดแผลของพี่ฟางหายดีแล้ว ท่านออกจากที่นี่แล้วเดินทางในโลกวิชายุทธ แลกเปลี่ยนสัตว์ร้ายวิเศษและเป็นนักฆ่าในความมืดต่อไป ทว่า เส้นทางนี้เต็มไปด้วยความยากลำบากและความเสี่ยงมาก อีกอย่าง เหมือนที่พี่ฟางกล่าว แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับไปสู่จุดสูงสุดอีกครั้งเมื่อลมปราณพื้นฐานได้รับความเสียหายในครั้งนี้ ข้าเชื่อว่าพี่ฟางรู้ดีว่าจะพบกับความตายด้วยดมคาบเข้าสักวัน”
ฟางโม่เฟยถอนหายใจขณะยวินหยางกล่าวจบ ในฐานะผู้ฝึกยุทธในโลกวิชายุทธ ความจริงนี้ก็คือความจริง บางครั้ง คนเราสามารถตายได้อย่างไร้เหตุผล ถูกฆ่าด้วยการโจมตีที่ไม่รู้จักและคนที่ไม่รู้จัก
“อย่างที่สอง พี่น้อง… ร่วมสาบานของท่าน พวกเขาไม่ปล่อยไว้แน่ ในเมื่อหนีรอดออกมาจนไม่เป็นไปตามแผนของอีกฝ่าย พวกเขาจะคิดหาทางกำจัดท่าน คงทราบเรื่องนี้ดีอยู่แล้วสินะ”
ยวินหยางกล่าวช้า ๆ “บนเส้นทางแรก ท่านจะยังเดินทางในโลกวิชายุทธจนกระทั่งพบกับจุดจบ อีกเส้นทาง ท่านออกจากโลกวิชายุทธแล้วใช้ชีวิตตัวคนเดียว ทว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะทำแบบนั้น… ท่านมีรากฐานไม่เพียงพอ”
ฟางโม่เฟยถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก นั่นก็ถูก เขายังรวบรวมทรัพยากรได้ไม่มากพอ มีเพียงความตายที่รออยู่หากจากไปตอนนี้
“มีทางเลือกที่สามอยู่ อยู่รับใช้ข้า” คำพูดของยวินหยางชัดเจน “เริ่มจากตัดผลประโยชน์ทั้งหมดทิ้งไปก่อน สนแต่ร่างกายของท่านเพียงอย่างเดียว มันสามารถฟื้นฟูได้อย่างราบรื่นต่อให้อยู่เฉย ๆ ก็ตาม ท่านประสบกับเรื่องนี้อยู่แล้ว”
“ท่านสามารถคงตัวตนนักฆ่าจากกลุ่มคนในโลกใต้ดินต่อได้หากต้องการ ข้าไม่ก้าวก่าย แต่ทุกสิ่งที่ท่านทำจะต้องได้รับอนุญาตจากข้าเสียก่อน”
สายตาของฟางโม่เฟยจดจ้องขณะครุ่นคิดถึงทางเลือกอีกฝ่าย
ขณะเงยหน้าขึ้นจนเห็นรอยยิ้มเจื่อนบนใบหน้าของยวินหยาง เขาพลันหัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขันแล้วกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่ายังมีความเป็นไปได้อีกทางที่เจ้าไม่ได้พูดถึง ถ้าข้าเลือกไม่อยู่ อาจจะไม่รอดไปถึงหน้าประตูใช่ไหมล่ะ?”
สายตาของยวินหยางเฉยชา
“ลูกสัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้าอยู่ในมือของยวินหยางแล้ว ทันทีที่ข่าวนี้แพร่งพรายออกไป นายน้อยยวินจะไม่รู้คืนวันอันสงบสุขอีก ข้าในตอนนี้เป็นคนเดียวที่ทราบข้อมูลชิ้นโตนี้” ฟางโม่เฟยกล่าว
“ถูกต้อง” ดวงตาของยวินหยางกึ่งหลับขณะกล่าวว่า “ข้อมูลนี้สำคัญกับข้ามาก”
“เอาล่ะ ข้าจะอยู่!” ฟางโม่เฟยตัดสินใจอย่างไม่ลังเล
“นายน้อยยวินเป็นคนมีปัญญาที่สามารถพิชิตโลกให้อยู่ในการควบคุมได้ ในฐานะคนคนหนึ่ง เจ้าเป็นนักคิดเก่งกาจผู้ขุดคุ้ยได้ลึก ด้วยอายุเพียงเท่านี้ย่อมต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงส่งแน่นอน ยิ่งกว่านั้น เจ้ามีสัตว์ร้ายวิเศษระดับที่เก้าที่จะกลายเป็นกองกำลังให้กับเทียนเสวียนเมื่อถึงเวลา ข้าเดินทางในโลกวิชายุทธมาชั่วชีวิตแต่กลับไม่ได้อะไร จะสำคัญตรงไหนหากช่วงเวลาที่เหลืออีกไม่กี่ปีจะหันมารับใช้นายน้อย?”
ไม่ใช่เพราะยวินหยางอาจจะฆ่าเขาหากเลือกที่จะไปหรือเพราะจะเผชิญหน้ากับหายนะโหดเหี้ยมในโลกวิชายุทธเพราะรากฐานการฝึกฝนที่ลดลง แต่เป็นเพราะฟางโม่เฟยรู้สึกว่าสภาพจิตใจตัวเองได้เปลี่ยนไปแล้ว
การทรยศของพี่น้องทำให้วิญญาณป่นปี้ พลังชีวิตและการแก้แค้นยามที่เคยท่องในโลกวิชายุทธแล้วคล้อยตามมาตลอดมลายหายไปสิ้นแล้วเช่นกัน ตอนนี้เขารู้สึกเพียงแค่ความว่างเปล่า
บางที การอยู่กับนายน้อยยวินคือการพักที่จำเป็นต่อชีวิต คือจุดเปลี่ยน ผ่านไปสักพัก ฟางโม่เฟยเต็มใจที่จะลืมสามพี่น้องหูผู้ทรยศเขาจนตอนนี้กลายมาเป็นศัตรูขมขื่นแล้ว
ขณะมองฟางโม่เฟยผู้กำลังกล่าวคำสาบาน ยวินหยางยังคงไม่สบายใจขณะพูดแผ่วเบาว่า “พักผ่อนและฝึกฝนอยู่ที่บ้านไปก่อน ท่านสามารถช่วยเหล่าเหมยเกี่ยวกับงานบ้านได้เช่นกัน ข้าต้องให้ท่านฟื้นตัวและพัฒนาก่อน เมื่อบาดแผลหายดีแล้ว ข้ามีสิ่งสำคัญให้ท่านทำ”
“ได้ นายน้อย”
…
ราตรีเย็นเยือกดุจน้ำเย็น
ยวินหยางนั่งอยู่ใต้กันสาดดอกไม้ขณะมองสวรรค์ ความคิดเตลิด คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของฟางโม่เฟยแทบทำให้การฝึกความคิดออกนอกลู่นอกทาง “นายน้อยยวินเป็นคนมีปัญญาที่สามารถพิชิตโลกให้อยู่ในการควบคุมได้”
ปัญญานี้เป็นของเก้าใหญ่ เป็นของข้าและพี่น้องทุกคน
เสือดำคราสสามตัวและแมวอสนีหนึ่งตัวนั่งอยู่ใต้เท้าอย่างเชื่อฟัง ดูเหมือนแฝดสี่ไม่มีผิด เสือดำคราสสามตัวมองยวินหยางเป็นบางครั้ง สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย
พี่ใหญ่ของพวกข้าไปไหน? ทำไมถึงหายไปหลายวันแบบนี้?
เสียงฟิ่วดังขึ้นขณะเงาสีขาวขนาดเล็กพุ่งมาจากนอกกำแพงก่อนมาถึงที่เท้าของยวินหยางด้วยความเร็วปานสายฟ้า มันส่งเสียงร้องแผ่วเบา น้ำเสียงถึงกับเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
นายท่าน ทำไมถึงทิ้งข้าไว้ในที่แบบนั้น ผู้หญิงคนนั้นลูบข้าจนจะตายอยู่แล้ว!
“แม้แต่เจ้าก็รู้สึกว่าการกระทำของนางผิดสินะ มานี่มา ข้ามีบางสิ่งจะให้” ยวินหยางวางมือข้างหนึ่งบนก้อนขนขนาดเล็กขณะอากาศแห่งชีวิตบริสุทธิ์ไหลเข้าไป
สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กร้องเหมียวอย่างมีความสุข พลังงานนี้น่าทึ่งจริง ๆ ! มันน่าทึ่งนัก!
“ส่วนอาหาร ไปหาเอง” ยวินหยางตบศีรษะของลูกแมวตัวน้อยแล้วกล่าวว่า “เจ้าต้องทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าทำไม่ได้… จะไม่มีความกรุณาแสนดีแบบนี้อีกแล้ว…”
เสือดำคราสตัวเล็กพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนดมมือของยวินหยางด้วยจมูกขนาดเล็กก่อนไปหาพี่น้องแล้วเล่นหยอกล้อกันอย่างรุนแรง ผ่านไปสักพัก มันหันหลังแล้วพุ่งออกไปในราตรีอีกครั้ง
…
ยวินหยางตื่นขึ้นจากการทำสมาธิอันยาวนาน
ขณะรู้สึกได้ว่าลมปราณวิเศษในร่างกายแข็งแกร่งมากขึ้น แสงสว่างสุดบรรยายมาจากดวงตาขณะยื่นมือออกไป นิ้วทั้งห้าวางลงบนโต๊ะช้า ๆ โดยไร้สุ้มเสียง นิ้วทะลวงโต๊ะหนาสามนิ้วไปอย่างง่ายดาย ก่อเกิดเป็นรูเด่นชัดห้ารูโดยมีขี้เลื่อยกระจายไปทั่ว
ยวินหยางยังคงวางมือบนโต๊ะและโคจรลมปราณช้า ๆ ลมปราณวิเศษเต้นอยู่ภายใน ภาพขุนเขาปรากฏขึ้นอย่างเลือนลางบนฝ่ามือ ขุนเขาสูงตระหง่าน บนยอดปกคลุมด้วยหมอก ทว่า ภาพกลับเด่นชัดราวกับมองลงมาจากด้านบน มีเพียงยอดเขาเท่านั้นที่ยังปกคลุมไปด้วยหมอกหนา
“สักวันข้าจะสามารถทะลวงถึงระดับที่หนึ่งขั้นสูงสุด” ยวินหยางพูดกับตัวเอง “ไม่ช้า ข้าจะไปถึงสวรรค์ชั้นแรกในการฝึกฝน”
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเปลี่ยนวิธีการฝึกฝน อย่างช้า ๆ ร่างกายของยวินหยางพร่าเลือนคล้ายความฝันจนกระทั่งหายไปในเมฆที่ลอยล่องไปมาช้า ๆ จากนั้นเมฆลอยรอบห้องนอน เปลี่ยนแปลงเป็นรูปทรงต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ต่อให้มีช่องว่างที่บางเท่าเล็บมือ เมฆก็สามารถเคลื่อนผ่านได้อย่างง่ายดาย นี่คือวิถีและทักษะวิเศษที่เป็นของเมฆายิ่งใหญ่เพียงผู้เดียว
เป็นเวลาเนิ่นนาน เมฆสั่นไหวก่อนแยกออกขณะยวินหยางปรากฏขึ้นบนโต๊ะอีกครั้งในสภาพเหงื่อเต็มร่าง เขาหอบหายใจ ใบหน้าซีดเซียว
“สามอึดใจ นั่นนานที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้” ยวินหยางถอนหายใจ “ก่อตัวขึ้นมาได้แต่ไม่นานนัก เรียกว่าไม่เป็นชิ้นเป็นอันเลย!”
วิชาศักดิ์สิทธิ์อนันต์ทรงพลัง การเข้าสู่อาณาจักรการฝึกฝนเร็วขึ้นหนึ่งพันเท่าเมื่อเทียบกับวิธีการฝึกฝนธรรมดา การทะลวงเข้าสู่สวรรค์ชั้นแรกด้วยวิธีการฝึกฝนปกติจะใช้เวลาอย่างต่ำหนึ่งปีเต็มไม่ว่าจะมีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดแค่ไหนก็ตาม
ยวินหยางเพียงใช้เวลาสี่วันแต่กลับไม่พอใจ
“ข้าไม่สามารถรักษามันไว้ได้นานนัก!”
ยวินหยางถอนหายใจ “ดูท่าข้าต้องหาเวลาไปหาสารอาหารให้ลุ่ยลุ่ยบ้างแล้วล่ะ”
ในจิตใต้สำนึก ลุ่ยลุ่ยกำลังแกว่งไกวร่างขนาดเล็กอย่างเกียจคร้านและเบื่อหน่าย กระแสลมปราณวิญญาณบริสุทธิ์ไหลออกมาในเวลาอันรวดเร็ว
ยวินหยางรู้สึกถึงอาการปวดหัวที่กำลังเข้ามาอีกครั้งเมื่อคิดที่จะหาสารอาหารให้มันเพิ่ม
ลุ่ยลุ่ยยินดีกับหยก หินวิเศษ คริสตัลวิเศษและสมบัติที่คล้ายกันนั้นเป็นอย่างยิ่ง มันยังหมายความว่าลุ่ยลุ่ยชอบทุกสิ่งที่เต็มไปด้วยลมปราณวิญญาณ สิ่งที่กักเก็บและสั่งสมมานับพันล้านปี
ปัญหาก็คือเขาจะสามารถหาของเหล่านี้โดยการใช้โชคมหาศาลแค่ไหน? ลุ่ยลุ่ยกินของที่เขาได้มาเมื่อคราวก่อนไปหมดแล้ว ขณะที่อีกครึ่งเอาไปขายเพื่อเติมเต็มความต้องการทางเศรษฐกิจให้มั่นคง ตอนนี้ เขาไม่เหลืออะไรแล้ว
ยวินหยางไม่อยากออกไปฆ่าเพื่อให้ได้อากาศแห่งความอยุติธรรมมา เขาคือเมฆายิ่งใหญ่จากเก้าใหญ่ มันคงไม่ดีนักหากเขาออกไปฆ่าคนชั่วทุกวัน ส่วนเป้าหมาย ตอนนี้ยวินหยางไม่มีความสามารถพอจะแน่ใจได้ว่าสามารถรอดจากทุกสถานการณ์ได้!
น่าปวดหัวอะไรอย่างนี้!
ยวินหยางขมวดคิ้วมานานมาก เขาเริ่มวางแผนทีละก้าวอีกครั้ง
“ทุกก้าวคือความเป็นความตาย…”
…
[1] จากชื่อตอน จัตุรัส (方) และ เมฆา (云) เป็นการเล่นคำจากชื่อของฟางโม่เฟยและยวินหยาง