AtW ตอนที่ 21 งานเลี้ยงที่แสนน่าเบื่อ
AtW ตอนที่ 21 งานเลี้ยงที่แสนน่าเบื่อ
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย
พระราชวังในตัวเมืองฮาเวสนั้นดูหรูหรามากกว่าที่อาเบลจะจินตนาการไว้มาก ในใจกลางของสวนพระราชวังเองมีน้ำพุขนาดใหญ่ประดับตกแต่งอยู่ น้ำพุที่ถูกตกแต่งนี้เองมีไฟสีสมที่ดูลึกลับถูกฉายออกมาเหนือผิวน้ำอยู่ตลอดเวลา
เหล่าบริวารรับใช้ที่อยู่ในพระราชวังเองจะต้องแต่งกายด้วยชุดสีดำที่ดูสุภาพทุกคน ทหารยามเองก็ต้องแต่งกายด้วยชุดเกราะครึ่งตัวพร้อมกับถือดาบยาวที่เหมือนๆ กันทุกคน ดูเหมือนว่าพวกทหารยามทุกคนจะผ่านการฝึกฝนที่ระดับ 4 หรือมากกว่านั้น พระราชวังแห่งนี้แสดงให้เห็นถึงความมีอำนาจของผู้ครองเมืองได้อย่างดีเยี่ยม
ภายในพระราชวังแห่งนี้มีอาชีพหลักๆ อยู่ด้วยกันทั้ง 3 อาชีพ: นักรบ, อัศวิน และนักฆ่า ถ้าไม่คำนึงถึงอาชีพแล้วพวกเขาต่างก็ผ่านการฝึกฝนพลังลมปราณมาทั้งสิ้น พวกคนเหล่านี้ล้วนแต่มีความสามารถในการต่อสู้ที่เหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก
นักรบเองเป็นเหมือนกับอาชีพที่พบได้มากที่สุดแล้ว ส่วนใหญ่พวกเขาจะมีพลังลมปราณที่ใช้ในการต่อสู้ระยะประชิดมากกว่าคนทั่วไป นักรบส่วนมากจะถูกฝึกฝนให้ใช้อาวุธได้หลายๆ แบบอาธิเช่น ดาบ, ค้อน หรือใช้ได้แม้กระทั่งหอกยาว
อัศวินเองเป็นอาชีพที่มีความสามารถในการต่อสู้ที่น่าจะมากที่สุดในบรรดาทั้งสามอาชีพแล้ว ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่จะเติบใหญ่จนเป็นอัศวินจะต้องผ่านการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก และเหล่าอัศวินส่วนมากจะมีอุปกรณ์ของสวมใส่ที่ดีที่สุดอยู่เสมอ ต่างจากพวกอาชีพอื่นๆ อัศวินส่วนมากจะขี่ม้าศึกและสวมใส่ชุดเกราะครบทั้งตัวตั้งแต่ส่วนหัวยันส่วนเท้า
อาชีพที่พบเห็นได้น้อยที่สุดก็คือนักฆ่านั่นเอง นอกเหนือจากคนเหล่านี้จะต้องฝึกฝนวิชาการต่อสู้แล้วพวกเขายังจะต้องฝึกฝนวิชาซ่อนเร้นอำพรางตัวอีกด้วย เหล่านักฆ่านั้นจะฝึกฝนให้ตัวเองมีพลังการโจมตีที่รุนแรงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่การโจมตีที่รุนแรงของพวกเขาเองก็กินพละกำลังกายของพวกเขาไปเยอะเช่นกัน
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะรับตำแหน่งดยุคเหมือนกับดยุคดาร์เมลได้ กษัตริย์ทุกรุ่นที่ปกครองบ้านเมืองนั้นจะต้องคอยลดอำนาจของพวกเหล่าขุนนางและชนชั้นสูงอยู่ตลอดเวลา เพื่อลดอำนาจพวกเขาแล้วกษัตริย์จึงได้ออกกฎข้อบังคับอะไรบางอย่างออกมา อาธิเช่น ห้ามให้ผู้หญิงสืบทอดยศถาบรรดาศักดิ์ การลดตำแหน่งของเหล่าขุนนางที่ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง ทุกๆ ครั้งที่มีการสืบทอดตำแหน่งขุนนางผู้ที่ไร้ที่ดินเป็นของตัวเองจะถูกลดตำแหน่งไปหนึ่งระดับ แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นบ่อยๆ นั้นก็คือการแอบอ้างตนเพื่อสืบทอดตำแหน่งจากขุนนางทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วนั่นเอง ด้วยความโลภและหลายสิ่งหลายอย่างทำให้มีขุนนางและชนชั้นสูงอยู่มากในดินแดนแห่งนี้
การที่เหล่าขุนนางจะเลื่อนตำแหน่งนั้นจะต้องทำผลงานอะไรที่ยิ่งใหญ่และเข้าตาของท่านดยุคนั่นเอง แต่มันเป็นเรื่องที่ยากอยู่พอสมควร ในตอนนี้เมืองยังคงสงบสุข การที่จะสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์นั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ดังนั้นแล้วขุนนางแทบทุกคนจึงเลือกที่จะรีบมาพบกับท่านดยุคทันทีที่ถูกเรียกตัวนั่นเอง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เหล่าขุนนางทั้งหลายก็มีความเห็นไม่ลงรอยกับกษัตริย์เท่าไรนัก ตระกูลขุนนางใหญ่ๆ ยังคงสะสมและเพิ่งพลังอำนาจอย่างไม่หยุดหย่อน ในขณะที่กษัตริย์เองก็ไม่ยอมเช่นกัน เขาหาโอกาสที่จะจัดการเหล่าขุนนางที่กล้าท้าทายอำนาจของกษัตริย์อยู่เสมอเพื่อรักษาอำนาจในการบริหารบ้านเมืองเอาไว้นั่นเอง
ถ้าหากอยากจะรู้ว่าท่านคาร์เมลนั้นมีระดับตำแหน่งที่สูงแค่ไหนก็ต้องเทียบจากขนาดเมืองที่เขาปกครองอยู่นั่นเอง เมืองขนาดใหญ่สามารถบอกได้ถึงอำนาจและระดับตำแหน่งของเจ้าเมืองเจ้าเมืองคนนั้นได้เป็นอย่างดี ดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของดยุคดาร์เมลแบบเมืองฮาเวสเมืองนี้คงจะมีขุนนางยศไวเคานต์เป็นผู้ดูแลรักษาเมือง [หมายเหตุ:การจัดอันดับขุนนางแบบอังกฤษตามระบบศักดินาจะจัดลำดับดังนี้ อัศวิน,ลอร์ด<บารอน<ไวเคานต์<เอิร์ล<มาร์ควิส<ดยุค]
แน่นอนว่าเรื่องตำแหน่งขุนนางพวกนี้ยังคงอยู่ห่างไกลจากตัวอาเบลมาก อัศวินมาแชลเองได้รับที่ดินเป็นของตัวเองจึงทำให้เขาไม่ได้สนใจในระบบศักดินาของพวกขุนนางเท่าไรนัก ตอนนี้ทั้งอาเบลและอัศวินมาแชลเองกำลังอยู่ในรถม้าที่เดินทางมาถึงพระราชวังแล้ว
หลังจากที่อาเบลเห็นทหารองครักษ์ในพระราชวังแล้วอาเบลก็อดคิดถึงสิ่งที่อัศวินมาแชลเคยเล่าให้เขาฟังไม่ได้เลย อัศวินมาแชลเคยบอกว่าขุนนางที่มีตำแหน่งใหญ่โตบางคนสามารถมีอำนาจได้มากถึงขนาดที่สามารถต่อต้านความต้องการของกษัตริย์ได้เลย ขุนนางที่มีตำแหน่งใหญ่โตนั้นจะมีนักรบที่มีความสามารถสูงติดอันดับหนึ่งในร้อยคอยเป็นทหารองครักษ์ปกป้องพวกเขาอยู่เสมอ แม้นักรบอันดับท้ายๆ ก็มีพลังความสามารถพอๆ กับกองทัพที่มีทหารถึง 1000 คนแล้ว
ตอนนี้ฝูงชนที่มางานเลี้ยงเองก็ได้รวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่แล้ว ถึงจะเป็นงานเลี้ยงที่จัดในพระราชวังแต่อาเบลเองก็รู้สึกผิดหวังกับอาหารในงานเลี้ยงงานนี้ เพราะว่าตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูหนาวนั่นเองบนโต๊ะอาหารนั้นจึงมีแต่เค้ก, เนื้อย่าง และไวน์เพียงเท่านั้น
ก่อนที่งานเลี้ยงค็อกเทลนี้จะเริ่มอย่างเป็นทางการไวเคานต์ดิ้กเคนก็ได้ก้าวออกมาและเริ่มพูดเปิดงานเลี้ยง แม้ว่างานเลี้ยงงานนี้จะเต็มไปด้วยผู้คนแต่ไวเคานต์ดิ้กเคนก็สามารถส่งเสียงที่มีอยู่ของเขาให้ไปถึงหูทุกคนในห้องโถงใหญ่ของพระราชวังนี้ได้ ไวเคานต์ดิ้กเคนใช้เสียงของเขาผ่านพลังลมปราณการต่อสู้นั่นเอง อัศวินมาแชลเคยเล่าให้อาเบลฟังว่างานเลี้ยงแบบนี้มีไว้เพื่อให้ผู้ที่สนับสนุนเจ้าของงานเลี้ยงนั้นมารวมตัวกัน แน่นอนว่าถ้าหากมีคนมาร่วมงานเลี้ยงเยอะมากเท่าไรนั้นแสดงถึงความมั่งคั่งและพลังอำนาจของผู้จัดงานนั่นเอง ความมั่งคั่งและพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่นั้นเองสามารถบอกได้เป็นอย่างดีว่าผู้ดูแลเมืองนั้นมีความสามารถในการจัดการดีแค่ไหน
งานเลี้ยงค็อกเทลนี้เป็นงานเลี้ยงที่น่าเบื่อที่สุดที่อาเบลเคยเข้าร่วมมา อาเบลไม่รู้จักใครเลยในห้องโถงแห่งนี้ หลังจากที่อัศวินมาแชลได้แนะนำอาเบลให้กับเพื่อนๆ ของเขาได้รู้จัก อาเบลก็กลับมาที่มุมห้องโถงอย่างเงียบๆ เพื่อจะมองไปที่เวทีของงานเลี้ยงงานนี้ ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่งานเลี้ยงงานนี้จะเตรียมอาหารไม่ได้มากมายอะไรนัก คนส่วนมากในงานเลี้ยงล้วนแต่จิบไวน์ในมือและพูดคุยกันเฉยๆ ไม่มีใครสนใจที่จะกินอาหารในงานเลี้ยงอย่างจริงๆ จังๆ
อาเบลยังคงอยู่ในงานเลี้ยงที่แสนน่าเบื่อต่อไป ในตอนนี้เสียงเพลงที่บรรเลงในงานเลี้ยงก็ฟังดูเหมือนเพลงกล่อมเด็กมากขึ้นเรื่อยๆ คนภายในงานเลี้ยงเองก็คุยแต่เรื่องที่แสนน่าเบื่อเช่นเดียวกัน อาเบลเริ่มรู้สึกหนักที่เปลือกตาของเขา เปลือกตาของอาเบลหนักขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ในที่สุดอาเบลจะหลับลงไปอย่างช้าๆ หลังจากที่งานเลี้ยงจบลงอาเบลก็ถูกอัศวินมาแชลปลุกให้ตื่นขึ้นมา
อัศวินมาแชลกำลังล้อเลียนอาเบลระหว่างทางที่กลับบ้านพักตากอากาศของพวกเขา คงไม่มีใครเชื่อแน่นอนว่าอัศวินฝึกหัดระดับห้าจะใช้เวลาในตอนกลางวันเที่ยวเล่นในเมืองส่วนตอนกลางคืนก็หลับลงกลางงานเลี้ยงค็อกเทลแบบนี้
เช้าวันรุ่งขึ้นอัศวินมาแชลพาอาเบลขึ้นรถม้าเพื่อที่จะกลับไปที่ปราสาทแฮรี่ ผู้ดูแลบ้านโรบิ้นเองออกมาส่งอัศวินมาแชลที่ประตูด้านหน้าบ้านพักด้วยเช่นกัน อาเบลเองเงยหน้าขึ้นมองโรบิ้นก่อนที่จะโบกมือลาเธอ
ในขณะนั้นเองผู้รับใช้ที่ทำหน้าที่สะกดรอยตามอาเบลที่รอคอยอาเบลกลับมาทั้งคืนในสวนหลังบ้านก็รู้แล้วว่าอาเบลนั้นกำลังจะออกจากเมืองเมืองนี้ไป ทันใดนั้นเองผู้รับใช้คนนี้จึงรีบกลับไปรายงานโจชัวทันที
"อะไรนะ? เด็กนั้นมุ่งหน้าออกทางประตูทิศใต้อย่างงั้นหรอ? นายแน่ใจนะ?" โจชัวถามหลังจากที่ได้ฟังรายงานทั้งหมดจากผู้รับใช้คนนั้น "ถ้าหากนั่นเป็นความจริง ไปรวบรวมพวกคนมาให้ฉันซะ"
พ่อของโจชัวเองเป็นขุนนางในตำแหน่งลอร์ด พ่อของโจชัวเป็นคนที่เก่งการจัดการเรื่องเกี่ยวกับพวกธุรกิจต่างๆ เขาเป็นเจ้าของร้านค้ามากถึง 10 แห่งบนถนนสายหลักของเมืองฮาเวสแห่งนี้ และเขาเป็นคนที่ถือหุ้นมากถึง 50 เปอร์เซ็นจากตลาดเสื้อผ้าในเมืองฮาเวสอีกด้วย ชายคนนี้เป็นนักธุรกิจที่แท้จริง ถึงแม้เขาจะมีรายได้่ที่มากมายขนาดไหนแต่สุดท้ายแล้วรายได้ส่วนใหญ่ก็ถูกใช้ไปกับลูกชายเพียงคนเดียวของเขานั่นคือโจชัวนั่นเอง โจชัวได้เข้าเรียนโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนที่มีศักยภาพสูงที่สุด ตอนที่โจชัวอายุ 19 เขาสามารถเป็นอัศวินฝึกหัดระดับ 4 ได้ พ่อของโจชัวใฝ่ฝันไว้ว่าสักวันหนึ่งลูกชายคนเดียวเพียงของเขาคนนี้จะชนะการต่อสู้และได้รับศักดินาในที่สุด
ด้วยความฝันสูงสุดของผู้เป็นพ่อนี้เองทำให้พ่อของโจชัวไม่เคยลังเลเลยที่จะทำทุกอย่างเพื่อพัฒนาการที่ดีขึ้นของโจชัว ถ้ายกตัวอย่างก็คงจะเป็นดาบแห่งหนึ่งร้อยทักษะที่โจชัวมีอยู่นั้นก็เป็นของที่พ่อของเขาซื้อให้กับโจชัว เพื่อให้โจชัวนั้นสามารถที่จะใช้ดาบเล่มนี้ในการเรียนของเขาต่อไปได้ แต่การที่โจชัวพ่ายแพ้ให้กับการเดิมพันกับซัคและสูญเสียดาบเล่มนี้ไป โจชัวยังไม่ได้บอกผู้เป็นพ่อเลย สิ่งแรกที่โจชัวคิดหลังจากเกิดเรื่องราวทั้งหมดขึ้นก็คือการแก้แค้นนั่นเอง ถ้าหากโจชัวสามารถแก้แค้นได้สำเร็จแล้วเขาจะบอกผู้เป็นพ่อในภายหลังนั่นเอง
โจชัวรวบรวมผู้รับใช้ที่ทรงพลังที่สุดที่ครอบครัวของเขาจะหาได้มาถึง 12 คนด้วยกัน ตอนนี้ทุกคนกำลังอยู่บนม้าศึกพร้อมกับดาบยาวแล้ว โจชัวไม่รอช้าขึ้นมาศึกตัวสีแดงเพลิงทันที เป้าหมายของพวกเขาทั้ง 13 คนคือประตูทางทิศใต้ของเมืองฮาเวสนั่นเอง
อัศวินมาแชลกำลังนั่งอยู่ในรถม้าของเขา ตอนนี้เขากำลังเพลิดเพลินไปกับไวน์รสชาติดีที่ได้มาจากเพื่อนในระหว่างที่อยู่ในเมืองฮาเวสนั่นเอง แม้ว่ารถม้าที่เดินทางนั้นจะสั่นไหวขนาดไหนแต่อัศวินมาแชลก็สามารถที่จะถือแก้วไวน์ของเขาได้อย่างคล่องแคล่วและมั่นคงเสมอ ด้วยเหตุนี้เองไวน์ในแก้วของอัศวินมาแชลจึงไม่หยดลงพื้นเลยแม้แต่หยดเดียว แต่ในทางตรงกันข้ามอาเบลพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทรงตัวให้เหมือนกับอัศวินมาแชลในรถม้าคันนี้ ดูเหมือนว่าการเดินทางกลับด้วยรถม้าครั้งนี้จะดูสั่นไหวไปมามากเป็นพิเศษ แทบไม่มีวิธีใดเลยที่อาเบลจะสามารถดูดซับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นในการเดินทางครั้งนี้ได้ เมื่ออาเบลได้ออกจากเมืองที่นั่งในรถม้าก็ได้เริ่มสั่นไหวอย่างไม่หยุดยั้ง ถ้าหากเป็นอาเบลที่ถือแก้วไวน์ก็คงจะห้ามไม่ให้ไวน์ในมือนั้นหกไม่ได้เลย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นอาเบลก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาพยายามที่จะเลียนแบบวิธีการที่อัศวินมาแชลใช้ทรงตัวตลอดเวลาที่อยู่ในรถม้าคันนี้ ไม่เพียงแต่อัศวินมาแชลจะสามารถทรงตัวได้ เขายังสามารถถือแก้วไวน์ในมือโดยไม่หกสักหยดได้อีกด้วย
รถม้าที่อาเบลและอัศวินมาแชลนั่งอยู่เป็นรถม้าที่ช้าและเก่ามากแล้ว ความเร็วของรถม้าเองไม่ประสานกับความเร็วของม้าเท่าไรนัก ด้วยความช้าของรถม้าเองทำให้ชายฉกรรจ์ทั้ง 13 คนตามรถม้าคันนี้ทันในที่สุด รอยยิ้มที่ชั่วร้ายเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโจชัวเมื่อเขาสังเกตเห็นรถม้าของอาเบลแล้ว
"น่าสนใจดีนิ ดูเหมือนว่ามีคนกำลังตามรถม้าเรามาอยู่นะ" อัศวินมาแชลพูดขึ้น เขาลดแก้วไวน์ลงและเผยให้เห็นรอยยิ้มอันเยือกเย็นบนใบหน้าของเขา
อาเบลรู้สึกเหมือนมีอะไรแปลกๆ จากแรงสั่นสะเทือนในพื้นดินที่เพิ่มมากขึ้น อาเบลมองไปที่อัศวินมาแชล เนื่องจากอาเบลมางานเลี้ยงค็อกเทลที่เมืองฮาเวสเขาจึงไม่ได้เอาดาบยาวของเขามาด้วยนั่นเอง สิ่งเดียวที่อาเบลมีนั่นก็คือหน้าไม้ของเขา
"ไปหยุดรถม้าคันนั้นซะ ฉันจะจัดการคนข้างในเอง" โจชัวได้พูดกับเหล่าผู้รับใช้ทั้ง 12 คนของเขา
ถ้าหากโจชัวเห็นรถม้าจากทางด้านหน้าเขาจะต้องเห็นสัญลักษณ์ของขุนนางและจะไม่ทำตามแผนของเขาต่ออย่างแน่นอน
เหล่าคนรับใช้ทั้ง 12 คนได้พุ่งเข้าใส่คนขับรถม้าของอัศวินมาแชล อัศวินมาแชลที่รู้เหตุการณ์ด้านนอกเองก็ยังไม่ได้ดูกังวลอะไรเลย อัศวินมาแชลเริ่มพูดออกไปว่า "รถม้าคันนี้เป็นของตระกูลแฮรี่ ผู้ที่มาโจมตีจะต้องได้รับโทษหนักอย่างแน่นอน"
แต่ถึงอัศวินมาแชลจะพูดเพื่อเตือนพวกเหล่าคนรับใช้แล้ว แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่าอัศวินมาแชลนั้นแท้จริงมีนามสกุลคือแฮรี่นั่นเอง ด้วยเหตุนี้เองพวกคนรับใช้จึงโจมตีรถม้าต่อไป
หลังจากที่ได้สั่งการเหล่าคนรับใช้แล้วโจชัวเองก็เร่งความเร็วของม้าเขาไปที่ด้านหน้าของรถม้าคันนี้ แต่ทันใดนั้นเองโจชัวก็สังเกตเห็นตรายูนิคอร์นสีขาวที่อยู่หน้าของรถม้าคันนี้ นั่นทำให้โจชัวนั้นสั่นไปทั้งตัว เขารู้ได้ทันทีว่าตอนนี้ตัวเขาเองกำลังโจมตีขุนนางที่อยู่ในรถม้าอยู่ ตอนนี้โจชัวรู้แล้วว่าอีกฝ่ายนั้นมีพลังขนาดไหน
แต่ตอนนี้โจชัวอยู่บนถนนที่ไม่อาจย้อมกลับได้แล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความคิดของโจชัวได้อีกต่อไป โจชัวตัดสินใจจะโจมตีรถม้าคันนี้ต่อไป ความโกรธแค้นของโจชัวนั้นยังคงเต็มอยู่ในใจของเขาเอง ถ้าหากโจชัวสามารถที่จะฆ่าช่างตีเหล็กอายุน้อยคนนั้นพร้อมกับคนขับรถม้าได้ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นฆาตกรอีกต่อไป
"ฆ่าพวกมันให้หมด" โจชัวสั่งออกมาอย่างเลวทราม
เหล่าผู้รับใช้ทั้ง 12 คนยังคงลังเล ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่เคยฆ่าใครมาก่อน และพวกเขาเองก็ไม่คิดจะฆ่าใครด้วยเช่นกัน สิ่งที่พวกผู้รับใช้เคยทำที่สุดก็คือการทรมานผู้คนตามคำสั่งของผู้เป็นนายเท่านั้นเอง แต่ถึงจะไม่อยากทำแต่คำสั่งของผู้เป็นเจ้านายก็ได้ออกมาแล้ว พวกเหล่าผู้รับใช้เองจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกซะจากใช้ดาบยาวของพวกเขาทำตามคำสั่งต่อไป
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย