บทที่ 15 หายไปในกลุ่มควัน
ในแสงสลัวๆ กาเว่น เบ็ตตี้ แอมเบอร์และจอมเวทย์นิรนามกำลังนั่งเป็นวงกลมอยู่ในกระท่อมไม้ ด้านหน้าของพวกเขาคืออาหารกลางวันง่ายๆอย่างขนมปัง ไส้กรอกทอดและสตูว์ผักที่เตรียมโดยเบ็ตตี้
ทุกอย่างเป็นภาพขาวดำ
กาเว่นไม่มีความตั้งใจที่จะกินอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า แม้การทำอาหารในดินแดนเงาจะเป็นไปได้ แต่เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์กินบางอย่างจากโลกนี้
ข้างๆเบ็ตตี้และแอมเบอร์ก็ยังไม่ได้หยิบอะไรกินเช่นกัน
นักเวทย์ที่นั่งอยู่อีกฝั่งไม่ได้กระตุ้นให้พวกเขากิน เขาเพียงกินอาหารเงียบๆ
ความเงียบสงบแปลกๆแทรกซึมเข้ามาในกระท่อมไม้
กาเว่นเป็นคนแรกที่ทำลายความเงียบลง "เจ้าอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว?"
"นานมาก" นักเวทย์นิรนามวางส้อมและมีดลงพร้อมกล่าวอย่างสุภาพ "ข้าอยู่ที่นี่มาเกือบสองปีหลังจากออกจากสมาคมจอมเวทย์"
"เจ้าเป็นสมาชิกของสมาคมด้วยงั้นรึ?" กาเว่นถามด้วยความแปลกใจ "ข้าคิดว่าเจ้าเป็นนักเวทย์เถื่อนเสียอีก"
"เดิมทีข้าเป็นสมาชิกระดับสองของสมาคม" นักเวทย์นิรนามกล่าวขึ้นเบาๆ "ตามมาตรฐานของสมาคม ข้าคงเป็นนักเวทย์ที่แย่มาก จุดแข็งของข้าคือการคำนวณและตรรกศาสตร์ แต่เรื่องคาถานั่นข้าไม่ได้เรื่องเท่าไร จึงไม่มีใครต้อนรับข้าในสมาคมเท่าไรนัก"
"พวกเขาเลยไล่เจ้าออก?" แอมเบอร์รู้ว่านักเวทย์ที่แท้จริงมีคุณค่ามากแค่ไหน ต่อให้เขาไม่ได้เป็นจอมคาถาที่ดี แม้เขาจร่ายได้แค่เวทย์ลูกไฟเล็กๆก็ไม่น่าจะมีใครไล่เขาออกอยู่ดี
"ข้าออกมาด้วยความต้องการของตัวเอง" นักเวทย์นิรนามกล่าวพร้อมส่ายหัว ก่อนจะหันไปมองเบ็ตตี้ "เพื่อลูกสาวของข้า เพื่อรักษานางข้าต้องจากมา"
เบ็ตตี้มองไปที่นักเวทย์นิรนามด้วยสายตาอันว่างเปล่าก่อนจะพยักหน้างงๆ
กาเว่นไม่ได้กดดันอะไรอีก เขามองไปที่นักเวทย์พร้อมเอามือจับลงไปบนด้ามดาบยาว "เจ้าน่าจะรู้ว่าพวกเรามาทำอะไรที่นี่ พวกเราไม่มีเวลาให้เสียอีกแล้ว"
ในที่สุดท่าทีของนักเวทย์ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ร่างของเขาสั่นเล็กน้อยก่อนที่เขาจะก้มหัวลง "...ข้า ข้าไม่เข้าใจที่ท่านพูด"
เบ็ตตี้มองกาเว่นด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย
กาเว่นขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็เอามืออกจากปลายดาบพร้อมถอนหายใจ "ข้าจะให้เวลาเจ้าสักครู่"
นักเวทย์นิรนามพยักหน้าพร้อมกินอาหารต่อไปอย่างเงียบเชียบ บางทีก็หันหน้ามองเบ็ตตี้เป็นระยะ
ในที่สุดเขาก็กินอาหารจนเสร็จสิ้น กาเว่นไม่สามารถรอได้อีกต่อไป
นักเวทย์เงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางของเบ็ตตี้ แม้เขาจะไม่ได้มองนาง แต่มองสิ่งที่ไกลออกไป ร่างกายของเขาโซเซขณะพยายามยืนขึ้น
สุดท้ายเบ็ตตี้คือคนที่เข้าไปช่วยพยุงเขา
"พ่อ ข้าต้องไปแล้ว" เด็กสาวตัวเล็กจับข้อศอกของนักเวทย์จนมั่นใจว่าเขายืนได้อย่างมั่นคงแล้ว นางเดินไปที่ฝั่งของกาเว่น "ท่านหญิงรีเบคก้าและมาดามเฮอร์ตี้กำลังรอข้าอยู่ รวมถึงนายท่านของข้าก็ได้กลับมาแล้ว"
ริมฝีปากของนักเวทย์สั่นเทา ในที่สุดเขาก็พยักหน้าเบาๆก่อนที่ท่าทีของเขาจะสงบลง เขาสอนอย่างระมัดระวัง "อย่ากินอาหารจากคนแปลกหน้า" "เข้านอนตรงเวลา" "อย่าลืมฟังนายของเจ้า" "อย่าสู้กับเด็กคนอื่น"
ความเป็นเหตุผลค่อยๆหายไป กาเว่นรู้ว่านักเวทย์แค่พูดจาอย่างเลื่อนลอยเท่านั้น
ร่างของนักเวทย์ค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ แต่มีบางอย่างลุกไหม้ในเงาจางๆ กาเว่นกำลังรอช่วงเวลานี้ เขาดึงดาบออกมาอย่างรวดเร็ว
แอมเบอร์รีบดึงเบ็ตตี้เข้ามากอดอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องดวงตาของนาง
กาเว่นเจาะดาบของเขาผ่านเปลวไฟที่ลุกไหมอยู่ในอกของนักเวทย์ ไฟเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง การกลายร่างเป็นวิญญานร้ายของนักเวทย์นิรนามได้หยุดลง ร่างจางๆแข็งตัวอย่างรวดเร็วก่อนที่เปลวไฟจะเผาผลาญเขาให้กลายเป็นศพที่ไหม้เกรียม
ประมาณครึ่งนาทีก่อนที่ร่างนั้นจะกลายเป็นเถ้าถ่าน
เสียงแตกดังมาจากกระท่อม ก่อนที่มันจะพังลงมาอย่างรวดเร็ว แสงทะลุผ่านกำแพงและหลังคาที่ร่วงลงมา
กาเว่นลากแอมเบอร์และเบ็ตตี้หนีออกมาจากบ้านด้วยความรวดเร็ว ทันทีที่พวกเขาอยู่ข้างนอกกระท่อมก็พังทลายลงทั้งหมด
สุดท้ายมันถูกไฟไหม้กลืนกินในระยะเวลาเพียงสั้นๆ
แอมเบอร์จับศอกกาเว่นและชี้ไปที่ฐานของกระท่อมพร้อมร้องออกมา "ดูนั่นสิ!"
กาเว่นมองอย่างตั้งใจ ภายใต้เถ้าถ่านของกระท่อม มีแสงส่องสว่างออกมา มันดูเป็นวงจนที่ซับซ้อนขนาดใหญ่
"นี่อาจจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชึวิตการเป็นนักเวทย์ของเขา" กาเว่นผงกหัวของเขาเล็กน้อย "อาจมีบางอย่างผิดพลาดกับคาถาทำให้เขาต้องเจอกับชะตากรรมแบบนี้"
ขณะที่เขาพูด เงาของเบ็ตตี้มีแสงบายอย่างลอยออกมาวนรอบตัวของนางสองสามรอบก่อนจะบินไปหากาเว่นและแอมเบอร์
แอมเบอร์มองไปที่มือของตัวเอง ตอนนี้สีทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ การถูกปฎิเสธจากดินแดนเงาของพวกเขาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
วัตถุเงาเริ่มก่อตัวขึ้นจากหมอกบางๆ ตอนนี้สิ่งมีชีวิตดั้งเดิมของดินแดนเงาสามารถได้กลิ่นสิ่งที่มาจากโลกกายภาพ พวกมันรวมตัวกันราวกับไฮยีน่าที่ได้กลิ่นเลือด
"พวกเราต้องหนีแล้ว!" แอมเบอร์กล่าว "พวกเราไม่ไม่ได้รับการต้อนรับที่นี่อีกต่อไป!"
กาเว่นกำลังสำรวจซากกระท่อมครั้งสุดท้าย เขาพยายามแสงที่ปรากฎขึ้นเข้าไปในความทรงจำของเขา จากนั้นเขาก็ถูกดึงข้อศอกโดยแอมเบอร์ "รีบไปกันเถอะ!"
หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกปวดหัวกับแสงแห่งโลกความเป็นจริงที่ปรากฎต่อหน้าเขาอีกครั้ง
หมอกร้ายหายไปและท่าทึบก็กลับคืนสู่สภาพเดิม รีเบคก้าและเฮอร์ตี้ พวกนางใช้พลังช่วยเหลือกันและกันอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันไบรอนเองก็พยุงตัวเองด้วยดาบในมือ เขาพยายามปกป้องหญิงสาวทั้งสองให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตามทหารสองนายที่รอดชีวิตได้ล้มอยู่บนพื้น
เบ็ตตี้ดูดีที่สุดในกลุ่ม นางกำลังถือกระทะยืนอยู่ข้างๆรีเบคก้า ใบหน้าของนางว่างเปล่า
หลังจากเฮอร์ตี้เห็นกาเว่น นางลุกขึ้นทันที "ท่านบรรพบุรุษ พวกเราดีใจที่ท่านปลอดภัย!"
จากนั้นนางก็เห็นแอมเบอร์สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ "หัวขโมยนี่ยังไม่หนีไปอีกหรือ?"
"เฮ้! นี่มันเลือกปฏิบัติชัดเจนเกินไปแล้ว" แอมเบอร์ตะโกนขึ้นมาราวกับเป็นแมวที่โดนเหยียบหาง "ข้าพึ่งเดินทางไปดินแดนเงากับบรรพบุรุษของพวกเจ้าเพื่อช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากความตาย เหอะมีดีแต่นม ไม่มีสมอง..."
เฮอร์ตี้ไม่คิดว่าหัวขโมยตัวน้อยจะพูดดูถูกนางเช่นนี้ ท่าทีของนางเปลี่ยนไปทันที "ระวังปากด้วย! เจ้ามันหยาบคายมาก! เจ้ารู้ไหมจะเกิดอะไรขึ้นถ้าดูหมิ่นขุนนาง..."
กาเว่นรีบตัดบททันที "หยุดทะเลาะกันได้แล้ว แอมเบอร์ไม่ได้โกหก พวกเราพึ่งไปแก้ปัญหาด้วยกัน แต่เรื่องที่นางดูถูกเจ้านั่นก็ผิดอยู่ดี..."
ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ "ท่านบรรพบุรุษ ท่านให้อภัยแอมเบอร์เพราะนางพูดถึงข้อดีของท่านป้า..."
เฮอร์ตี้รู้สึกเหมือนอยากตายให้ได้เสียตรงนี้
โชคดีที่นางไม่ใช่ผู้หญิงไร้เหตุผล หลังจากกาเว่นอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น ความเข้าใจผิดทั้งหมดก็จางหายไป
โดยเฉพาะสิ่งที่แอมเบอร์และกาเว่นเจอมาในดินแดนเงาทำให้ทุกคนแปลกใจไม่น้อย แม้แต่อัศวินไบรอนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องเวทมนตร์มากนักยังฟังอย่างตั้งใจ
มันเป็นประสบการณ์ที่ยากจะจินตนาการถึง
"เจ้าสามารถเข้าไปในดินแดนเงาได้จริงๆ?" ความกังวลแรกของเฮอร์ตี้คือความสามารถพิเศษของแอมเบอร์ นางเงยหน้ามองด้วยความสงสัยราวกับพยามยามค้นหาคำตอบบนใบหน้าของเด็กสาวครึ่งเอล์ฟ "มีเพียงจอมเวทย์เงาเพียงไม่กี่คนหรือ'ผู้ที่ถูกเลือก'โดยเทพแห่งเงาเท่านั้นที่มีความสามารถนี้ เจ้าทำได้ยังไง?"
"ข้าถูกเลือกโดยเทพแห่งเงาไง พอใจไหม?"
เฮอร์ตี้จ้องที่นาง "อย่าโกหก ผู้ที่ถูกเลือกจะถูกจัดการด้วยดาบของไบรอนง่ายๆได้ยังไง?"
"พอได้แล้ว" กาเว่นหยุดเฮอร์ตี้ "ข้าให้สัญญากับนางไว้แล้วว่าจะไม่ถามอะไร นางจะบอกเองเมื่อนางพร้อม"
ทุกคนถูกสั่งสอนให้เคารพบรรพบุรุษ ในเมื่อกาเว่นกล่าวออกมา เฮอร์ตี้ก็ทำได้แค่ยอมแพ้
"มาฝังคนที่ตายก่อนเถอะ" เมื่อหมอกจางลง ความอบอุ่นก็กลับคืนสู่ร่างทุกคน เมื่อเห็นว่าทุกคนเริ่มกลับมาแข็งแรง กาเว่นก็ลุกขึ้นยืนทหารที่เสียชีวิตเพราะวิญญานแตกสลาย "เขาต่อสู้อย่างกล้าหาญ เขาควรถูกฝังในฐานะนักรบ"
ทหารทั้งสองคนที่รอดชีวิตมองกาเว่นด้วยความตกใจ "อะไรรึ? ข้าพูดอะไรผิดหรือเปล่า?"
"เขาเป็นลูกของทาส" ไบรอนเดินมาข้างๆ "ด้วยความกรุณาของนายหญิงทำให้เขาสามารถเข้ากองทัพเพื่อไถ่อิสรภาพของตัวเอง แต่เพราะเขาอยู่ในกองทัพเพียงครึ่งปีเขาจึงยังเป็นทาสจึงไม่สามารถฝังในฐานะนักรบได้"
กาเว่นขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองรีเบคก้า "เป็นอย่างนั้นหรอกรึ?"
ความวิตกกังวลปรากฎบนใบหน้าของรีเบคก้าทันที ราวกับว่านางได้ทำความผิดไป "ข ขอโทษ! แต่ข้าคิดว่าความเป็นทาสไม่ได้...ไม่ยุติธรรมดังนั้นข้าจึงเปิดโอกาสให้พวกเขาเป็นอิสระภาพโดยการรับใช้กองทัพ ข้ารู้ว่ามันผิดกฎแต่..."
คิ้วที่ขมวดของกาเว่นคลายลง "ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้า"
จากนั้นกาเว่นก็คุกเข่าและหาเหรียญจากในเสื้อและสอดมันเข้าในกระเป๋าเสื้อของทหารที่ตายแล้ว
เหรียญนั่นถูกวางบนหน้าอกของ กาเว่น เซซิล โดยชาลีร์ที่หนึ่ง ตอนที่เขาถูกฝัง
เมื่อเห็นเหรียญนั่น แอมเบอร์รู้ในทันที "พระเจ้าช่วย...อย่างน้อยก็ได้ครึ่งคฤหาส์..."
อย่างไรก็ตามกาเว่นไม่ได้คิดเรื่องนั้น เขาเคลื่อนไหวตามความทรงจำของเขา จากนั้นเขาก็ปัดมือแล้วลุกขึ้น "ตอนนี้หนี้ที่ผูกกับวิญญานของเขาได้ถูกไถ่ถอนแล้ว ฝังเขาเสีย"
ไบรอนลังเล "แต่กฎ..."
กาเว่นมองตาไบรอน "ข้าคือกฎ"