บทที่ 132 ถวายบังคมฝ่าบาท
“ตึง-ตึง-ตึง!”
ในตอนเช้าตรู่ เสียงอึกทึกครึกโครมดังสนั่นมาจากด้านนอกของหุบเขาหมื่นมังกรและสร้างความหวาดวิตกให้กับทุกคนที่อยู่ในเวรยาม แม้แต่รองเจ้าสำนักฉีก็ยังโผล่ออกมาจากกระโจมของนางพร้อมกับสีหน้าอันมืดมน
เสียงดังกล่าวค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ พื้นดินรอบข้างสั่นสะเทือน สัตว์อสูรประเภทมังกรจำนวนมากที่หลบซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาล้วนแต่รีบหลบหนีด้วยความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่ามันเป็นความหวาดกลัวที่แสดงออกมาตามสัญชาตญาณ
“กองทัพ?”
เฉียนว่านก้วนที่นอนหลับอยู่ในกระโจมลุกพรวดขึ้นมาด้วยความตกใจ เขาทราบดีว่าทางเข้าหุบเขาหมื่นมังกรมีเพียงช่องทางเดียว หากกองทัพขนาดมหึมาวางแผนที่จะโจมตีและล้อมกรอบที่นี่ไว้ จะไม่มีพวกเขาแม้แต่คนเดียวที่สามารถหลบหนีออกไปได้
พรึ่บ!
หน่วยสอดแนมของตระกูลเฉียนวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด เขาคุกเข่าต่อหน้าเฉียนว่านก้วนและรายงานด้วยความร้อนรน
“ท่านประมุขน้อย! ที่ด้านนอกมีกองทัพนับหมื่นนาย อีกทั้งยังเป็นหน่วยองครักษ์พิฆาตเทวะของกองทัพทหารตะวันตกขอรับ!”
“หน่วยองครักษ์พิฆาตเทวะ?”
ดวงตาของเจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนเผยให้เห็นความตกตะลึง แต่ในไม่ช้าเขาก็ฉีกยิ้มกว้าง จากนั้นก็กล่าวด้วยท่าทีสบายๆ “พวกเจ้าสบายใจเถิด หากข้าเข้าใจไม่ผิด คนกลุ่มนี้คงมารับตัวลูกพี่ แต่… ข้ากำลังสงสัยว่าลูกพี่กำลังทำอะไรอยู่ด้านในกันแน่?”
“รับตัวเจียงอี้หรือขอรับ?”
หน่วยสอดแนมของตระกูลเฉียนเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ เขาเองก็รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของเจียงอี้เช่นกัน แต่เจียงเปี๋ยหลีผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นจะออกคำสั่งให้กองทัพขนาดใหญ่มารับตัวบุตรนอกสมรสเลยหรือ? ต้องทราบก่อนว่าหน่วยองครักษ์พิฆาตเทวะคือหน่วยที่แข็งแกร่งที่สุดของกองทัพทหารตะวันตก!
“ถูกต้อง!”
เฉียนว่านก้วนกล่าวออกมาด้วยความมั่นใจ “ข้าไม่คิดเลยว่าแม่นางอีเพียวเพียวจะมีความสำคัญอยู่ภายในใจของเจียงเปี๋ยหลีสูงถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าแท้จริงแล้วเรื่องราวระหว่างเจียงอี้และเจียงเปี๋ยหลีคงจะมีความเข้าใจผิดกัน”
“การกระทำของเขาในครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าหากใครกล้าแตะต้องเจียงอี้ คนผู้นั้นก็จะต้องเผชิญกับความพิโรธของเขา!”
“ตึง-ตึง-ตึง!”
ไม่นานนักหน่วยองครักษ์พิฆาตเทวะก็ได้เคลื่อนทัพมาถึงหุบเขาหมื่นมังกร พวกเขาทั้งหมดต่างก็มีลักษณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นม้าศึก ชุดเกราะหรือแม้แต่กระบี่ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นสีดำทั้งสิ้น อีกทั้งพวกเขายังถือหน้าไม้สีแดงไว้ในมือและเล็งไปทางผู้คนที่อยู่ภายในหุบเขา
“พวกเจ้ากำลังทำอะไร? ข้าคือรองเจ้าสำนักแห่งสำนักจิตอสูร นายเหนือหัวของพวกเจ้าและเจ้าสำนักของข้าต่างก็มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน จะเป็นการดีกว่าหากพวกเจ้าจะไม่กระทำสิ่งใดที่เป็นการข้ามเส้น!”
รองเจ้าสำนักฉีตระหนักได้ว่ามีหน้าไม้จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเล็งมาทางรองเจ้าสำนักทั้งสาม นางจ้องเขม็งไปทางกองทัพทหารตะวันตก เจียงเปี๋ยหลีคงไม่กล้าที่จะมองข้ามสถานะของพวกนางใช่หรือไม่? ทำไมทหารเหล่านี้ถึงได้ปฏิบัติกับพวกนางเยี่ยงนี้?
อย่างไรก็ตาม ทางด้านของรองเจ้าสำนักฉีก็ไม่กล้าที่จะบุ่มบ่าม ประการแรก นางกลัวว่าจะเผลอไปกระตุ้นโทสะของเจียงเปี๋ยหลี ประการที่สอง นางไม่มีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาตัวรอดจากหน้าไม้สังหารเทพเหล่านี้ได้
“ตึง-ตึง!”
จู่ๆกองทัพก็แยกออกเป็นสองทางพร้อมกับคนผู้หนึ่งที่ก้าวออกมา เขาสวมชุดเกราะของแม่ทัพและยังมีกระบี่ยาวอยู่ที่ด้านข้าง เขาใช้สายตากวาดมองไปยังทุกคนก่อนที่จะหยุดอยู่ที่ร่างของรองเจ้าสำนักฉีและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา “เจียงอี้อยู่ที่ไหน?”
“เจียงอี้?”
ฝูงชนต่างก็รู้สึกประหลาดใจ มีหลายคนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจียงอี้ผู้นี้เป็นใคร แต่บรรดาอาจารย์และผู้คุ้มกันของสำนักต่างก็ทราบดีว่าเจียงนี่หลิวและเจียงอี้มีเรื่องบาดหมางกัน แต่พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าเจียงเปี๋ยหลีจะนำกองทัพขนาดใหญ่ออกมาเพื่อกำจัดเจียงอี้เพียงคนเดียว?
การแสดงออกทางสีหน้าของรองเจ้าสำนักฉีเต็มไปด้วยความสับสน แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แม้แต่รองเจ้าสำนักอีกสองท่านก็เริ่มมีโทสะอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
“ข้ารู้ๆ!”
ทันใดนั้นเองร่างที่เต็มไปด้วยชั้นไขมันก็วิ่งฝ่าฝูงชนออกมาและกล่าวกับแม่ทัพแห่งหน่วยองครักษ์พิฆาตเทวะ
“ท่านแม่ทัพเจียงเหรินถู เจียงอี้ยังอยู่ภายในสุสานราชันสวรรค์และคาดว่าจะออกมาในอีกสี่ชั่วโมง แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”
“สี่ชั่วโมง?”
ดวงตาที่ดูคล้ายกับพยัคฆ์ของเจียงเหรินถูกวาดมองไปรอบๆและตะโกน
“ทหารทุกนายรับคำสั่ง! จงปิดทางเข้าออกของหุบเขาทั้งหมด หากใครกล้าเคลื่อนไหวก็ฆ่ามันได้เลย!”
“เจ้า…!!”
รองเจ้าสำนักฉีโกรธมากจนผมของนางตั้งชัน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหน้าไม้สังหารเทพจำนวนนับไม่ถ้วน นางก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เลยแม้แต่คำเดียว จนในที่สุดก็ทำได้เพียงแค่สะกดข่มความโกรธและยืนอยู่อย่างเงียบๆ
‘เมื่อปราชญ์ต้องเผชิญหน้ากับทหาร เหตุผลใดๆก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป’
เจียงเหรินถูมีชื่อเสียงด้านความโหดเหี้ยม นอกเหนือจากเจียงเปี๋ยหลีแล้ว เขาก็กล้าท้าทายแม้กระทั่งขุนนางชั้นสูงของอาณาจักรเสินหวู่
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฝูงชนรู้สึกว่าเวลาเพียงแค่สี่ชั่วโมงยาวนานราวกับสองปี แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดรู้สึกสบายใจเมื่อถูกเพ่งเล็งด้วยหน้าไม้จากเหล่าทหารที่ปลดปล่อยจิตสังหารออกมาตลอดเวลา พวกเขารู้สึกราวกับว่าสามารถตายได้ทุกเมื่อ
ครื้นนน!
ในที่สุดรอยแยกก็ปรากฏขึ้นบนกำแพงหินของสุสานราชันสวรรค์ หลังจากนั้นไม่นานแสงสว่างก็เริ่มขยายตัวจนดูคล้ายกับเมื่อวันที่สุสานเปิดออก
ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!
ในวินาทีเดียวกับที่มิติของสุสานราชันสวรรค์เปิดออก ร่างเงาจำนวนนับไม่ถ้วนก็รีบพุ่งทะยานกันออกมาราวกับผึ้งแตกรัง
ฟิ้ววว!
ในระหว่างนั้นเอง รถม้าสงครามศักดิ์สิทธิ์โบราณก็เผยโฉมและทะยานออกมาด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง
ฟุบบ!
วินาทีต่อมา ชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมสีเขียวก็วิ่งไล่หลังมาพร้อมกับระเบิดกลิ่นอายสังหารอันรุนแรงและเข้าปกคลุมทุกคนที่ออกมาจากสุสาน ร่างของเขาพุ่งไปด้านหน้าด้วยความเร็วอันน่ากลัว
ฝ่ามือของเขาปรากฏแสงสีดำและเหวี่ยงใส่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจื่อฝู่ขั้นสูงสุดผู้หนึ่ง
“เกิดอะไรขึ้น?!”
การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันทำให้ฝูงชนที่รออยู่ภายนอกตื่นตกใจ แม้แต่รองเจ้าสำนักฉีและเจียงเหรินถูก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “หยุดเดี๋ยวนี้!”
รองเจ้าสำนักฉีและรองเจ้าสำนักที่เหลืออีกสองคนไม่สนใจว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายขนาดไหนในสุสานราชันสวรรค์ แต่เมื่อการล่าสมบัติสิ้นสุดลงแล้ว ทุกอย่างจะต้องกลับมาอยู่ภายในความดูแลของพวกเขา
แน่นอนว่าชายหนุ่มที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวคือเจียงอี้ เขาออกค้นหาเจียงนี่หลิวและจ่างซุนอู๋จี้ทันทีหลังจากที่สุสานเปิดออก แต่น่าเสียดายที่ทั้งสองคนนั้นไหวตัวเร็วเกินไป เขาจึงไม่มีโอกาสที่จะสังหารพวกเขา นั่นคือสาเหตุที่เขาเปลี่ยนเป้าหมายมาไล่ล่าผู้บัญชาการหลิวแทน
“เหอะ!”
เจียงอี้เค้นเสียงในลำคอเมื่อได้ยินเสียงตะโกนของรองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆ ถึงอย่างนั้นจิตสังหารของเขาก็ไม่ได้ลดลง กลับกันมันยิ่งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น จากนั้นเขาก็ตบไปที่หน้าของผู้บัญชาการหลิวอย่างไม่ลังเล
ปังงง!
เสียงระเบิดดังสนั่นพร้อมกับร่างของผู้บัญชาการหลิวที่ลอยกระเด็นออกไป ไม่เพียงเท่านั้น แรงระเบิดยังส่งผลต่อคนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงและทำให้มีผู้คนมากมายล้มตาย
ตู้มม!
ผู้บัญชาการหลิวผู้น่าสงสาร ร่างของเขาลอยกระเด็นไปไกลและถูกชโลมไปด้วยเลือดอย่างน่าเวทนา เห็นได้ชัดว่าเขาตายคาที่ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“เจ้ากล้าดียังไง?!”
เจียงเหรินถูโกรธแค้น จิตสังหารไหลทะลักออกมาจากร่างของเขา มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะจินตนาการถึงพลังอันกล้าแข็งของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว อีกทั้งคนผู้นี้ยังเป็นแม่ทัพที่ปลิดชีวิตของศัตรูมานับไม่ถ้วน เพียงแค่จิตสังหารและแรงกดดันที่เขาปลดปล่อยออกมาก็ทำให้ฝูงชนแทบจะต้องทิ้งตัวลงคุกเข่าในทันที
“ท่านลุงเหรินถู!”
เมื่อเจียงนี่หลิวสังเกตเห็นเจียงเหรินถูและหน่วยองครักษ์พิฆาตเทวะ ใบหน้าของเขาก็เผยให้เห็นถึงความหวังในทันที เขารีบบังคับให้รถม้าสงครามมุ่งหน้าไปหาเจียงเหรินถูและตะโกน “ท่านลุงเหรินช่วยข้าสังหารคนผู้นั้นเร็วเข้า มันสังหารคนของตระกูลเจียงไปมากมายเหลือเกิน!”
“หืม?”
ดูเหมือนว่าในที่สุดเจียงเหรินถูจะตระหนักได้แล้ว เขาเหลือบมองเจียงนี่หลิวจากนั้นก็เบนสายตาไปที่เจียงอี้และเอ่ยถาม
“ท่านคือเจียงอี้?”
หลังจากที่เจียงอี้สังหารผู้บัญชาการหลิว ร่างของเขาก็ถูกแรงกดดันบังคับให้ต้องก้าวถอยหลัง เขาสบตากับเจียงเหรินถูจากระยะไกลและกล่าวอย่างไม่แยแส “ข้านี่แหละเจียงอี้ ทำไม? เจ้าเองก็จะมาฆ่าข้าด้วย?”
“หยุดก่อน!”
จ่างซุนอู๋จี้ที่นั่งอยู่ในรถม้าสงครามศักดิ์สิทธิ์โบราณสัมผัสถึงความผิดปกติ เจียงนี่หลิวเองก็เช่นกัน ไม่เพียงแค่น้ำเสียงของเจียงเหรินถูจะไม่ดุร้ายเหมือนก่อนหน้านี้ แต่มันฟังดูสุภาพมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็สงสัยตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมหน่วยองครักษ์พิฆาตเทวะถึงได้มาอยู่ที่นี่?
ดวงตาของเจียงนี่หลิวกระตุกเล็กน้อยและดูเหมือนว่าจะคิดอะไรออก เขาบังคับให้รถม้าสงครามเปลี่ยนทิศทางและหยุดอยู่กลางอากาศ ในตอนนี้ใบหน้าของเขาเริ่มซีดขาวลงและจ้องมองไปยังร่างของเจียงเหรินถูด้วยความเคร่งเครียด
ฟุบ!
ทันใดนั้นเจียงเหรินถูก็รีบลงจากม้าศึกและคุกเข่าต่อหน้าเจียงอี้ก่อนที่จะตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เจียงเหรินถูขอถวายบังคมฝ่าบาท ด้วยคำสั่งจากท่านจอมพล ข้ามาที่นี่เพื่อรับตัวท่านกลับไปยังเมืองเจียงอี!”
ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!
เหล่าทหารจากหน่วยองครักษ์พิฆาตเทวะต่างก็ลงจากหลังม้าและคุกเข่าอย่างพร้อมเพรียง “ถวายบังคมฝ่าบาท! ขอเรียนเชิญฝ่าบาทเสด็จกลับสู่เมืองเจียงอี!”
เสียงของทหารกล้านับหมื่นดังออกมาในเวลาเดียวกันทำให้ฝูงชนรู้สึกราวกับว่าแก้วหูของพวกเขาแทบจะฉีกขาด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่คนเหล่านี้เพิ่งกล่าวออกมา
ทางด้านของคนที่รู้จักกับเจียงอี้ พวกเขาทั้งหมดรู้สึกราวกับกำลังตกอยู่ในภวังค์ โดยเฉพาะเจียงนี่หลิวและจ่างซุนอู๋จี้ที่ตกตะลึงอย่างสมบูรณ์
แม่ทัพเจียงเหรินถูไม่ได้คุกเข่าต่อหน้าเจียงนี่หลิวและไม่ได้มาพาเขากลับเมือง แต่ดูเหมือนว่า เขาจะมารับตัวเจียงอี้? ยิ่งไปกว่านั้นเขายังไม่สนใจเจียงนี่หลิวที่เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ!