บทที่ 131 กับเจ้า ข้าไม่มีความลับใด
ในระหว่างช่วงเวลาที่พวกเขาหลบซ่อนอยู่ในถ้ำ จ้านอู๋ซวงและคนจากตระกูลจ้านก็ไม่มีคำถามเรื่องที่เจียงอี้ทำลงไปเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เจียงอี้กระโดดลงมาจากท้องฟ้าได้อย่างไรหรือเขาทำลายตราประทับผู้ปกครองได้อย่างไร
แม้ว่าพวกเขาจะสงสัยมากเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น แต่พวกเขาก็รู้ว่ามันเป็นความลับของเจียงอี้ ยิ่งคนรู้น้อยยิ่งดี นอกจากนี้ ใครกันที่ไม่มีความลับบ้าง?
เมื่อจ้านอู๋ซวงและคนอื่นๆไม่ได้ถามเขา เจียงอี้ก็คงจะไม่โง่อธิบายในสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับแก่นแท้พลังสีดำ รวมไปถึงความลับของหินวิญญาณเพลิงด้วย ยิ่งคนรู้น้อยยิ่งดีเพราะมันคือไพ่ตายของเขา
เขาและซูรั่วเสวี่ยออกจากถ้ำแล้วออกไปข้างนอก หลังจากเดินไปได้ไม่ไกล ซูรั่วเสวี่ยก็ไม่สามารถทนมันได้อีกต่อไป นางพูดขณะที่กำลังวิ่งอยู่ "เจียงอี้ เจ้าจะไม่อธิบายอะไรให้ข้าฟังหน่อยเหรอ?"
"ข้าจะต้องอธิบายอะไร?"
เจียงอี้หันกลับมาและเหลือบสายตาไปที่ซูรั่วเสวี่ย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขารู้ว่ามันคงยากสำหรับซูรั่วเสวี่ยที่จะยับยั้งตัวเองในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเพราะนางไม่สามารถพูดอะไรต่อหน้าตระกูลจ้านได้
"ปัง!"
ซูรั่วเสวี่ยเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเจียงอี้ นางยกกำปั้นออกมาแล้วชกไปที่หลังของเขา ในไม่ช้านางก็เสียใจกับการกระทำของนางและหันหน้าหนี การกระทำเหล่านี้นั้นสนิทสนมเกินไป อาจเกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายว่าเป็นการพลอดรักกัน
เจียงอี้หยุดหยอกล้อนาง เขายิ้มกว้างและอธิบายด้วยเสียงเบาๆว่า "ข้าไม่รู้ว่าเหตุผลที่แน่ชัดมันคืออะไร ไม่เพียงแต่ข้าจะไม่ตายในตอนที่ข้าพุ่งเข้าไปในกับดักมรณะเท่านั้น แถมนั่นคือสุสานที่แท้จริงของราชันแห่งสวรรค์และร่างของราชันสวรรค์หมื่นมังกรก็อยู่ในนั้นด้วย สุดท้าย ข้าก็ได้รับสมบัติเมื่อตอนที่ข้าอยู่ในสุสาน ข้าเผาพื้นของเจดีย์ก่อนที่ข้าจะหนีออกจากที่นั่นได้ "
"สมบัติ? มันเป็นสิ่งที่เจ้าใช้ตอนทำลายตราประทับผู้ปกครองหรือ?"
ใบหน้าอันงดงามของซุรั่วเสวี่ยนั้นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางหยุดและโพล่งคำถามของนางก่อนที่จะรู้ตัวว่าตัวนางเองอาจจะสอบสวนเขามากเกินไป นางพูดอย่างงุ่มง่ามว่า "เอ่อ…เจ้าไม่ต้องตอบคำถามของข้าก็ได้ถ้าหากว่าเจ้าไม่อยากพูดมันออกมา"
"ฮ่าฮ่า! กับเจ้าแล้ว ข้าไม่มีความลับใดๆ!"
เจียงอี้หยุดเดินทันทีและหยิบไข่มุกสีแดงออกมาจากหน้าอกของเขา เขาเดินไปหานางแล้วพูดว่า "นี่แหละคือสมบัติที่ว่า!"
"เอ๊ะ..."
หลังจากฟังสิ่งที่เจียงอี้พูดแล้ว ซูรั่วเสวี่ยก็สั่น แก้มของนางเปลี่ยนเป็นสีแดง ในความเห็นของนาง คำพูดของเจียงอี้ดูเหมือนจะบอกใบ้นาง หากไม่มีความลับระหว่างชายกับหญิง ไม่ใช่ว่าพวกเขาคือคู่รักกันหรอกหรือ?
แต่เมื่อนางเหลือบมองไปที่เจียงอี้อย่างรวดเร็ว นางก็เห็นว่าดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจและไม่มีอะไรอื่น นางรู้สึกได้ทันทีว่านางคิดมากเกินไป นางรู้สึกอายมากและใบหน้าก็เคร่งขึมและตะคอกอย่างเย็นชา "เก็บมันไปเถอะ ข้าไม่ได้ต้องการจะเห็นมันเสียหน่อย"
"ฮะ!"
เจียงอี้กระพริบตาอย่างงงงวย เขาไม่เข้าใจและไม่ได้มีเจตนาอื่นใด เขาเป็นหนี้บุญคุณซูรั่วเสวี่ยอยู่เสมอ นางเกือบตายในขณะที่ช่วยเขาในครั้งนี้ สำหรับเขา ซูรั่วเสวี่ยเป็นคนที่เขาไว้ใจได้อย่างเต็มที่ เมื่อนางถามถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะต้องบอกรายละเอียดอย่างหมดจรดโดยไม่ปิดบังอะไรจากนาง
แต่นางไม่เพียงแต่จะปฏิเสธที่จะดูมันเมื่อเจียงอี้ควักสมบัติออกมาให้นางเห็น แต่นางกลับโกรธเช่นนั้น? นั่นทำให้เขางงมาก เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขาคิดกับตัวเองอย่างเงียบๆ และเห็นด้วยกับสิ่งที่เขียนในหนังสือ การทำความเข้าใจหัวใจของผู้หญิงก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร มันยากที่จะคาดเดาเช่น ลม ฝนและหมอก
"ไปได้แล้ว เจ้าโง่!"
ซูรั่วเสวี่ยหยุดชั่วครู่ก่อนจะเดินหนีไปข้างหน้าเหมือนผีเสื้อ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารและนางก็พูดอย่างเกรี้ยวกราด "เจียงอี้ เจ้าเคยพูดเรื่องนี้ก่อนหน้านี้ เจ้าจะช่วยข้าฆ่าใครก็ตามที่รังแกข้า เช่นนั้นก็ช่วยข้าแก้แค้นเดี๋ยวนี้ ช่วยข้าจัดการเจียงนี่หลิวและคนของเขาทั้งหมดซะ"
ในวันนั้นผู้บัญชาการหลิวเกือบจะทำลายกระดูกสันหลังของซูรั่วเสวี่ย นางถูกบังคับให้ต้องดื่มผงผนึกแก่นแท้ซึ่งทำให้นางทรมานแสนสาหัส ซึ่งนางไม่สามารถเลือกที่จะมีชีวิตหรือเลือกที่จะตายได้ ถ้าเจียงอี้ไม่ได้ปรากฎออกมาและมาช่วยนาง นางคงถูกเจียงนี่หลิวทำให้มีมลทินไปแล้ว
นางสะอิดสะเอียนเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่านางไม่ใช่ผู้หญิงที่สุภาพและอ่อนโยนที่จะรู้สึกรันทดกับชีวิตของตัวเองและร้องไห้เมื่อถูกรังแก กลิ่นอายสังหารที่นางแผ่ออกมานั้นทำให้นางดูเหมือนปีศาจตัวน้อย
เจียงอี้ก็พร้อมที่จะแก้แค้นแม้ว่าซูรั่วเสวี่ยไม่ได้พูดออกมา นิสัยของเขาได้รับอิทธิพลจากเจียงหยุนไฮ่เป็นอย่างมาก สิ่งนี้สามารถเห็นได้จากวิธีที่เขาไม่เคยมีความเมตตาใดๆเมื่อเขาลงมือ
เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดี เขารู้สึกว่าถ้าไม่แก้แค้นก็จะไม่ถูกเรียกว่าเป็นคน เขาไม่ได้คิดว่าคนๆหนึ่งจะเป็นคนดีหากเขาเลือกที่จะใจดีกับศัตรูของเขา เขา…กลับคิดว่าคนผู้นั้นโง่เสียด้วยซ้ำ!
...
เมื่อเจียงอี้ลงมือ ทั่วทั้งสุสานราชันสวรรค์ก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวซึ่งทำให้ทั่วทั้งสุสานเกิดพายุเลือดได้
การเผชิญหน้าของจอมยุทธทุกคนที่พบกับเจียงอี้ไม่เคยลงเอยด้วยดี ผู้ที่ฉลาดพอที่จะยอมแพ้ พวกเขาจะสามารถรักษาชีวิตของพวกเขาไว้ได้ ตราบใดที่พวกเขามีสิ่งของมีค่าใดๆ สิ่งเหล่านั้นก็จะถูกยึดไป สำหรับผู้ที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์และพยายามที่จะสวนกลับไป พวกเขาส่วนใหญ่มักจะกลายเป็นศพ
แน่นอนว่าตราบใดที่พวกเขายังเป็นคนจากตระกูลเจียงหรือตระกูลจ่างซุน หรือถ้าพวกเขาเป็นจอมยุทธที่อยู่ด้วยในวันนั้น จุดจบของพวกเขาคงจะไม่น่ายินดีนักหากซูรั่วเสวี่ยจดจำพวกเขาได้
ภายในไม่กี่วัน เจียงอี้และซูรั่วเสวี่ยเดินทางมากกว่าหนึ่งพันกิโลเมตร เกือบหนึ่งร้อยชีวิตถูกพรากไปโดยน้ำมือของเจียงอี้และเขาก็รวบรวมสิ่งประดิษฐ์ระดับสมบัติได้มากกว่าสิบชิ้น
นอกจากนั้นเขายังได้รวบรวมสิ่งประดิษฐ์มากมาย ซึ่งมีดาบยาวสีเงิน เมื่อเขาเห็นว่าซูรั่วเสวี่ยชอบดาบเล่มนั้นมากแค่ไหน เขาก็มอบให้นางไปโดยไม่ลังเล
"ฟึ่บบ!"
เป็นวันที่สิบสี่นับตั้งแต่พวกเขาเข้าไปในสุสานของราชันแห่งสวรรค์ พวกเขาไล่ล่ากลุ่มคนที่วิ่งหนีเอาชีวิตรอดในป่า ในบรรดาผู้ที่กำลังหนีไป…หนึ่งในนั้นคือผู้บัญชาการหลิวจากกองทัพทหารตะวันตก
พวกเขาเพิ่งเจอคนกลุ่มนั้น พวกเขาทั้งคู่ไล่ตามพวกนั้นมานานกว่าสองชั่วโมงและสังหารคนมากกว่าสิบคนไปพร้อมกัน อย่างไรก็ตามทักษะการต่อสู้ของผู้บัญชาการหลิวและหัวหน้าหน่วยไม่กี่คนนั้นแข็งแกร่งและรวดเร็วเกินไปสำหรับพวกเขาสองคน จึงเป็นธรรมดาที่จะไล่ตามคนพวกนั้นไม่ได้สักที
ระดับการบ่มเพาะของเจียงอี้นั้นต่ำเกินไป แม้ว่าเขาจะรวบรวมแก่นแท้พลังสีดำทั้งหมดไว้ที่เท้าของเขา เขาก็ทำได้เพียงเพิ่มความเร็วได้เทียบเท่ากับจอมยุทธที่อยู่ขั้นที่ห้าหรือหกของขอบเขตจื่อฝู่ หากเขาไม่ครอบคลุมกลุ่มคนข้างหน้าด้วยเจตจำนงแห่งการสังหารและลดความเร็วของพวกเขา พวกเขาก็จะไม่มีวันตามทัน
"เราลืมเรื่องนี้ไปก่อนได้หรือไม่? เรายังมีโอกาสมากมายที่จะฆ่าพวกเขาในอนาคต!"
เจียงอี้ถอนหายใจอย่างผิดหวังเมื่อเขาเห็นระยะห่างระหว่างพวกเขากับกลุ่มคนพวกนั้นค่อยๆห่างออกไป แต่อย่างไรก็ตาม ซูรั่วเสวี่ยยังคงไล่ล่าพวกมันอย่างไม่หยุดยั้ง ดวงตาที่งดงามของนางจับจ้องไปที่ผู้บัญชาการหลิว นางจำได้อย่างขึ้นใจว่าเขาเป็นคนที่หักกระดูกสันหลังของนางในวันนั้น
"พรึบ"
แสงสีม่วงส่องประกายแวววาวในดวงตาของนางและยิงไปข้างหน้า แสงสีม่วงไล่ตามกลุ่มคนในเวลาไม่นาน มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายที่ผู้บัญชาการหลิวนั้นอยู่หัวแถวในขณะที่หัวหน้าหน่วยอยู่หางแถว แสงสีม่วงพุ่งตรงเข้าไปในร่างของหัวหน้าหน่วยอย่างเงียบๆและเขาก็ทรุดตัวลงบนพื้นทันที
"อ๊ะ?"
ผู้บัญชาการหลิวและคนอื่นๆหันมามองและสั่นเทากับสิ่งที่พวกเขาเห็น แต่ไม่มีใครกล้าหยุดวิ่ง แต่พวกเขากลับเพิ่มความเร็วและบินไปทันที
"แฮ่กๆ..."
ซูรั่วเสวี่ยสูญเสียสมดุลของนางและโอนเอนไปมา หากไม่ใช่เพราะการรับรู้ที่รวดเร็วของเจียงอี้ที่จับนางไว้ นางก็คงจะทรุดตัวลงกับพื้น เมื่อมองดูหน้าที่ซีดขาวของนางที่เต็มไปด้วยความอยุติธรรม เจียงอี้ก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อยและพูดว่า "ไม่ต้องกังวล อีกเพียงแค่หนึ่งวันก่อนที่เราจะออกจากที่นี่ เมื่อเราทุกคนถูกพาตัวออกจากหุบเขานี้ ข้าจะฆ่ามันทันที "
"เช่นนั้นก็ได้!"
ซูรั่วเสวี่ยที่อ่อนแอกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนแผ่นหินปูนเพื่อฟื้นฟูแก่นแท้พลังในขณะที่เจียงอี้พุ่งไปหาหัวหน้าหน่วยเพื่อตรวจสอบดูว่าเขาตายแล้วจริงๆก่อนที่จะกลับมา เขาพูดพึมพำเมื่อกลับมา "เจียงนี่หลิวและคนของเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกัน? เราหาพวกมันทุกที่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่เห็นพวกมันแม้แต่เงา!"
เจียงอี้ถอนหายใจและขบคิดไปด้วย เจียงนี่หลิวมีรถม้าสงครามศักดิ์สิทธิ์โบราณในขณะที่จ่างซุนอู๋จี้มีมังกรน้ำเงิน แม้ว่าพวกเขาจะพบสองคนนั้น มันก็ยากที่จะฆ่าพวกเขาในตอนนี้
"มาบ่มเพาะเถอะ เราทำได้เพียงแค่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้!"
การค้นหาสิ่งประดิษฐ์ในสุสานราชันสวรรค์จะใช้เวลาเพียงสิบห้าวันในแต่ละครั้งก่อนที่ทุกคนจะถูกย้ายออกไปเมื่อหมดเวลา เหลือเพียงวันเดียว เจียงอี้ก็ยอมแพ้ในการค้นหาสิ่งประดิษฐ์ เขานั่งขัดสมาธิกับซูรั่วเสวี่ยเพื่อฟื้นแก่นแท้พลังของพวกเขาและรอให้ถึงวันถัดไป