ตอนที่แล้วบทที่ 12 เงา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14 นักเวทย์

บทที่ 13 ดินแดนเงา


เสียงหัวเราะอันแปลกประหลาดังขึ้นอีกครั้ง ราวกับเสียงของหญิงสาวที่กำลังหัวเราะเยาะนักเดินทางที่หลงเข้ามาในหมอก ภาพลวงตาที่ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยกาเว่นก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ณ ส่วนอื่นของหมอก

จริงๆแล้วพวกมันก็มีความนึกคิดเป็นของตัวเอง!

เมื่อรู้เรื่องนี้ เหงื่ออันเย็นเยียบก็ไหลออกมาจากหน้าผากของเฮอร์ตี้ทันที

ตอนแรกนั้นพวกมันทำเหมือนว่าตัวเองไร้ความนึกคิดปล่อยให้พวกเขาหาโอกาสหลบหนี อย่างไรก็ตามโอกาสของพวกเขาจะหมดลงอย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อพวกเขาพร้อมที่จะหนีออกไป พลังงานของพวกเขาก็ได้หมดลงแล้ว เมื่อถึงจุดนี้พวกมันก็พร้อมที่จะเคลื่อนไหว

แต่บางทีมันอาจจะเป็นข้อบกพร่องทางความคิดของพวกมันที่อยู่ดีๆก็หัวเราะขึ้นมาซึ่งเป็นการทำลายกับดักของตัวเองลง

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นสถานการณ์ก็ยังคงหมดหวัง

ทหารและคนธรรมดาไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์เชนนี้ได้ เบ็ตตี้ที่ไม่ได้มีความสามารถในการต่อสู้จึงถูกนำมาไว้ตรงกลางกลุ่ม ไบรอนเผาดาบยาวด้วยความร้อนสู้งเพื่อตัดแขนและขาของปีศาจที่ยื่นออกมาจากหมอก ภายใต้การดูแลของเฮอร์ตี้ ทำให้รีเบคก้าสามารถร่ายเวทมนตร์ได้ง่ายขึ้น

เฮอร์ตี้ร่ายคาถาอย่างต่อเนื่องโดยใช้คาถาสนับสนุนระดับต่ำต่างๆเพื่อลดพลังโจมตีของหมอกโดยรอบ แต่การโจมตีของรีเบคก้าทั้งง่ายและรุนแรงกว่ามาก โบกไม้เท้าพร้อมกับร่ายคาถาเดียวที่นางมี 'ไฟร์บอล!'

ลูกไฟทุกขนาดถูกส่งออกจากปลายไม้เท้าของรีเบคก้าส่งผลให้เกิดการระเบิดขึ้นหลายครั้ง แต่มันก็ดูไม่ได้ผลมากนัก ไฟอาจะมีประสิทธิภาพในการจัดการกับสิ่งมีชีวิตจำพวกอันเดด แต่ภูตหมอกนั้นต่างออกไป มันไม่มีร่างทางกายภาพจึงไม่สามารถรับความเสียหายจากลูกไฟได้ตรงๆ พวกมันรับความเสียหายจากแรงระเบิดของลูกไฟเท่านั้น แต่ส่วนที่เสียหายก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว

"อย่าใช้เวทย์ไฟร์บอลเรื่อยๆ!" กาเว่นสังเกตุเห็นการโจมตีของรีเบคก้า เขาตะโกนเรียกนางอย่างรวดเร็ว "ใช้คาถาขนาดใหญ่ ไม่จำเป็นต้องมีพลังรุนแรง ขอแค่ให้กินพื้นที่บริเวณกว้างก็เพียงพอ แรงระเบิดต้องกำจัดหมอกทั้งหมดในทีเดียว!"

รีเบคก้าตะโกน "แต่ข้าใช้ได้แค่ไฟร์บอล!"

กาเว้นเบิกตากว้าง "อะไรนะ?!"

"รีเบคก้าใช้ได้แค่ไฟร์บอล!" เฮอร์ตี้พูดด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย "หลังจากเรียนมาห้าปีนี่นคือทั้งหมดที่นางทำได้!"

หน้าของรีเบคก้าแดงเพราะความอับอาย แต่นางก็พยายามรวมพลังเวทย์ทั้งหมดและร่ายคาถาออกมา จากนั้นลูกไฟ...ที่มีขนาดใหญ่ประมาณอ่างล่างหน้าก็ลอยไปยังจุดที่มีหมอกหนาแน่นที่สุดส่งผลให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง หมอกที่อยู่ด้านหน้าของทุกคนจางลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามแทบจะในทันทีช่องว่างนั้นก็ถูกถมกลับด้วยหมอกอีกครั้ง ที่แย่กว่าเดิมกาเว่นได้ยินเสียงร้องจากความกลัวและความโกรธจากด้านหลัง

ดวงตาของทหารคนหนึ่งในกลุ่มมีสีแดงเลือด พลังงานด้านลบของภูตหมอกในที่สุดก็เอาชนะจิตใจของทหารได้ ความเสียหายต่อวิญญานของเขาปรากฎขึ้นแทบจะในทันที เหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งที่ปลิวไปกลางสายลม ผิวของเขาแห้งซีด เขาร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับกวัดแกว่งดาบในมือออกไปในทุกทิศทาง

ทหารอีกสองคนใกล้ๆรีบหลบและจับทหารที่บ้าคลั่งตรึงไว้ทันที

ทหารที่ถูกจับกุมกำลังดิ้นรนอย่างทุรนทุราย เนื้อของเขาราวกับจะปริออกมาจากผิวหยัง ร่างกายบิดเบี้ยว ในที่สุดเขาก็เบิกตากว้างและตะโกนออกมา "ฆ่าข้า! ฆ่าข้า!"

อย่างไรก็ตามดวงตาทั้งสองคนกลับถูกครอบงำด้วยความมืดเกือบจะในทันที พวกเขากำลังสูญเสียสติสัมปชัญญะของตัวเอง

เมื่อเห็นเช่นนั้นกาเว่นปักดาบแห่งการบุกเบิกลงไปบนพื้นดินทันที พร้อมกับใช้พลังที่ดึงมาจากความทรงจำของร่างกาย "ชำระล้างจิตใจ!"

นี่เป็นความสามารถไม่กี่อย่างของอัศวินที่มีผลต่อจิตใจ พลังที่แข็งแกร่งจักวาดไปทั่วสนามรบ มันจะลดกำลังใจของศัตรูและเพิ่มพลังให้กับผู้คนที่อยู่ฝั่งเดียวกัน

เมื่อใช้ 'ชำระล้างจิตใจ' ความกลัวในจิตใจของทหารหายไปทันที แต่ทหารผู้โชคร้ายคนแรกจิตใจของเขาได้พังทลายลงแล้ว หลังจากดิ้นรนไปสักพักร่างกายของเขาก็หยุดเคลื่อนไหว

สายตาของกาเว่นกวาดสายตาไปทั่ว หลังจากการโจมตีของเฮอร์ตี้และรีเบคก้าหมอกที่อยู่รอบๆไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนแอลงแม้แต่น้อย และเบ็ตตี้ที่ก่อนหน้านี้ยืนอยู่กับทหารทั้งสามคนกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

"เบ็ตตี้หายไปไหน?!" กาเว่นตึงเครียดทันที ก่อนที่เขาจะตะโกนออกมา "เบ็ตตี้!"

แอมเบอร์กระโดดออกมาจากเงาข้างๆ "ข้าเห็นเด็กนั่นเหมือนเดินละเมอเข้าไปในหมอก!"

"นางไม่สามารถควบคุมจิตใจตัวเองได้!" กาเว่นแปลกใจมาก "ทำไมสถานการณ์ตอนนี้แปลกมาก!"

แอมเบอร์ดูหวาดกลัวเล็กน้อย "ข้าไม่รู้ว่าทำไมภูติหมอกพวกนี้ถึงแปลกๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์แย่มาก!"

"พวกมันไม่มีท่าทีจะสลายตัวแม้แต่น้อย ตามจริงแล้วต่อให้ภูติหมอกจะทรงพลังแค่ไหน แต่โดนระเบิดนั่นไปก็น่าจะอ่อนแอลงบ้าง" กาเว่นพูดสรุปอย่างรวดเร็วหลังจากเขาดึงข้อมูลมาจากความทรงจำ "อย่างที่พวกเราพูดกันว่าแหล่งพลังงานเวทมนตร์ไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่ทำไมภูตหมอกถึงเกิดขึ้นเรื่อยๆ?"

แอมเบอร์เข้าใจในทันที "ท่านจะบอกว่าหมอกนี่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติงั้นหรือ มันมีแหล่งพลังงานเทียมคอยให้พลังงานแก่พวกมัน?"

"ไม่จำเป็นต้องมีแหล่งพลังงาน แต่ต้องมีบางสิ่งที่ทำให้พวกมันคงสภาพไว้ได้" กาเว่นขมวดคิ้วขณะที่มองไปยังหมอก ราวกับเขาพยายามค้นหาบางอย่าง "และสิ่งที่ว่านั่นก็ควรจะอยู่ใกล้ๆนี่ แต่น่าจะมีบางอย่างรบกวนประสาทสัมผัสของพวกเราทำให้พวกเราไม่เห็นมัน!"

"แต่เฮอร์ตี้ใช้เวทย์ตรวจจับไปแล้ว" แอมเบอร์พูด ก่อนที่ดวงตาของนางจะเบิกกว้าง "...หรือว่ามันจะมีระดับที่สูงกว่า?!"

ก่อนที่แอมเบอร์จะพูดจบ กาเว่นเห็นเด็กสาวครึ่งเอล์ฟกระโดดไปด้านหลัง ก่อนที่นางจะหายตัวไปในอากาศ

ไม่นางไม่ได้หายตัวไป

กาเว่นสังเกตเห็นว่ามีเงาผิดปกติลอยผ่านพื้นที่แถวนั้น มันเป็นเงาดำของมนุษย์ซึ่งมีรูปร่างเหมือนเงาของแอมเบอร์ มีเพียงเงาเท่านั้นที่เคลื่อนไหวไปมา บางครั้งก็กระโดดจากพื้นที่หนึ่งไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง หลังจากกระโดดอีกสองสามครั้งมันก็หายไปอย่างสมบูรณ์

มันไม่ใช่ภาพเงาที่แท้จริง แต่เป็น'ภาพสะท้อน'ที่ส่งผ่านออกมาสู่โลกจริง ขณะที่แอมเบอร์กำลังเดินทางไปตามเส้นแบ่งของโลกทางกายภาพด้วยสถานะเงาของนาง

มันเป็นทักษะที่เรียบง่ายแต่ก็ทรงพลังพอที่จะทำให้กาเว่นเบิกตากว้าง

หัวขโมยนี่มาจากที่ไหนกันแน่?

ก่อนที่กาเว่นจะพูดอะไรเพิ่มเติม ทันใดนั้นร่างของแอมเบอร์ก็ปรากฎขึ้นอีกครั้งกลางอากาศ นางกระโจนมาทางเขา ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไรเพิ่มเติม นางได้คว้าแขนของเขาและกระตุกทั้งร่างของเขาในทันที

กาเว่นเดินโซเซไปชั่วครู่ จากนั้นเขารู้สึกว่าร่างของเขากำลังผ่านสิ่งกีดขวางที่เยือกเย็น เมื่อสายตาของเขากลับมามองเห็นอีกครั้งสภาพแวดล้อมรอบๆก็เปลี่ยนไปแล้ว

สีของทุกอย่างหายไปกลายเป็นพื้นที่ขาวดำ หมอกบางๆปกคลุมไปทั่วโลก

กาเว่นมองไปรอบๆ และสังเกตว่าป่าได้หายไปแล้ว มีเพียงตอไม้แห่งอยู่บนพื้นซึ่งตำแหน่งของมันตรงกับตำแหน่งต้นไม้ในป่า

ทุกคนรวมถึงเฮอร์ตี้ยืนอยู่ไม่ไกล แต่พวกเขายืนนิ่งเฉยราวกับถูกมนตร์สกด

รีเบคก้ายืนอยู่ใกล้กับกาเว่นมากที่สุด ดวงตาของนางว่างเปล่าราวกับ'รูปปั้น' ผิวหนังของนางเหมือนเซรามิกผิวหยาบๆ

กลุ่มหมอกสีดำพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินใกล้ๆ เข้าสู่ร่างกายและสร้างรอยแตกบนร่างกายที่เหมือนเซรามิก

ฉากประหลาดนี้ทำให้กาเว่นก้มลงมองมือของตัวเองโดยไม่รู้ตัว หลังจากยืนยันว่ามือตัวเองยังคงเป็นมือมนุษย์ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็จับดาบแห่งการบุกเบิกเดินไปหารีเบคก้าเพื่อจะทำลายหมอกสีดำนั่น

แต่เมื่อเขาก้าวเท้าไปได้ครึ่งก้าว แอมเบอร์ก็ปรากฎขึ้น "อย่าเข้าใกล้ พลังจากภายนอกไม่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ มันอาจจะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก"

กาเว่นมองแอมเบอร์ด้วยความประหลาดใจ ในโลกสีขาวดำนางมีลักษณะที่แปลกออกไป

ผมของนางยาวและลอยอยู่ด้านหลังราวกับไม่มีแรงโน้มถ่วง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเปล่งประกายสีทองอ่อนๆ ลูกบอลที่เหมือนเปลวไฟสีดำกระจายอยู่ใต้เท้าของนาง

ไม่มีสิ่งใดในความมรงจำของเซซิล กาเว่น ที่สามารถอธิบายเรื่องตรงหน้าได้

"อย่าถามอะไรมากเกินไป มันคงน่าอึดอัดใจถ้าท่านถามแล้วข้าไม่ตอบ โดยเฉพาะหลังจากที่ข้าพึ่งขุดสุสานของท่านข้าคงรู้สึกผิดไม่น้อย" แอมเบอร์พูดอย่างรวดเร็ว "พวกเรามีเวลาจำกัด นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าลากท่านเข้ามาด้วย ข้าไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน"

"ที่นี่คือที่ไหน?" กาเว่นถามเรื่องที่กังวลออกมา

"ดินแดนเงา" แอมเบอร์พูดเบาๆพร้อมยื่นริมฝีปากไปทางเฮอร์ตี้และคนอื่นๆ "ดู"

จุดเริ่มนั้นมาจากที่เบ็ตตี้และเหล่าทหารยืนอยู่ แต่หนึ่งในทหาร คนหนึ่งล้มลงไปที่พื้นและกลายเป็นเศษซากนับไม่ถ้วน ขณะเดียวกันที่เหลือเช่น รีเบคก้ายังอยู่ในท่าทีเดิมเมื่อเผชิญหน้ากับภูตหมอก

อย่างไรก็ตามมีแค่ใต้เท้าของเบ็ตตี้ที่มีแสงเป็นรูปรอยเท้าจางๆทิ้งไว้ทอดยาว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด