บทที่ 12 เงา
ในดินแดนขาดการพัฒนาห่างไกลอารยะธรรม สถานที่ไร้ชื่อนั้นเป็นเรื่องปกติมาก แม้ว่าที่ดินทุกผืนจะอยู่ภายใต้อาณาเขตของอาณาจักร แต่ก็ใช่ว่าทั้งหมดจะได้รับการพัฒนา
อาณาจักรไม่มีกำลังคนและทรัพยารเพียงพอที่จะพัฒนาชายแดนใกล้กอนดอร์ เนื่องจากพวกเอล์ฟได้ช่วยสร้างกำแพงสูงล้อมรอบพื้นที่รกร้างของกอนดอร์ทั้งหมดเอาไว้พร้อมด้วยหอคอยสังเกตุการณ์ตามกำแพง อาณาจักรไม่จำเป็นต้องส่งทหารมากมายมาที่ชายแดนเพื่อรับมือกับอสูรที่นานครั้งจะปรากฎตัวขึ้นมา ดังนั้นพื้นที่ชายแดนจึงตกอยู่ในความเสื่อมโทรมไร้การเหลียวแล
มีเส้นทางอื่นเดินทางจากดินแดนเซซิลไปยังเมืองแทนซาน แต่การลัดผ่านป่านั้นเร็วที่สุด หากพวกเขาเลือกที่จะอ้อมพวกเขาอาจจะต้องผ่านดินแดนไร้กฎหมายซึ่งอันตรายยิ่งกว่า
ยิ่งพวกเขาเดินเข้าไปในป่ามากขึ้นเท่าไร ต้นไม้ก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น เศษใบไม้กองพะเนินบนพื้นดินทำให้พวกเขารำคาญไม่น้อย การเข้ามาในป่าครั้งนี้ช่วยให้กาเว่นได้เปิดหูเปิดตา เพราะชีวิตก่อนของเขานั้นพบเจอได้แค่ตึกสูงรอบๆตัว
โชคดีที่เขาคุ้นเคยกับร่างนี้แล้ว ทำให้เขาสามารถเอาชีวิตรอดในพื้นที่ทุรกันดารเช่นนี้ได้อย่างไร้ปัญหา ไบรอนและแอมเบอร์เองก็เคยประสบการณ์เดินป่าเล็กน้อยเช่นกัน การเดินทางครั้งนี้จึงไม่ได้ทำให้พวกเขาลำบากมากนัก
อย่างไรก็ตามเฮอร์ตี้ดูเหมือนจะต้องฝืนเล็กน้อย แม้ตระกูลเซซิลจะถูกขับไล่ แต่พวกเขาก็ยังเป็นชนชั้นสูง เช่นนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าเฮอร์ตี้ได้รับการฝึกฝนและถูกสอนในการทำงานกับชนชั้นสูงเป็นอย่างหนัก การเดินป่าไม่ใช่เรื่องที่นางคาดคิดแม้แต่น้อย
นอกจากนี้นักเวทย์ไม่ได้มีความแข็งแกร่งทางร่างกายมากนัก
กลับกันรีเบคก้าสามารถเดินผ่านป่าได้อย่างหนักแน่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกทหาร กาเว่นอดถามไม่ได้ รีเบก้าตอบกลับอย่างเขินอาย "ตอนเด็กข้าค่อนข้างซุกซน ข้ามักจะวิ่งไปรอบๆเหมือนเด็กผู้ชายรวมถึงการเข้าไปสำรวจในป่า ตอนนั้นข้าไม่ได้แสดงทักษะพิเศษใดๆออกมา พ่อของข้าคิดว่าข้าจะกลายเป็นอัศวินด้วยซ้ำ...แต่ข้าไม่เลือกเส้นทางอัศวิน ข้ายังคงฝึกฝนร่างกายเสมอมา เพราะท่านบรรพบุรุษเคยกล่าวไว้ว่าการที่จะเป็นผู้นำได้จะต้องแข็งแกร่งและปกป้องผู้อื่นได้..."
กาเว่นพยักหน้าเงียบๆ แม้รีเบคก้าจะดูโง่ แต่นางก็เป็นคนที่ตรงไปตรงมาซึ่งเป็นนิสัยที่หาได้ยากจากพวกขุนนาง
"อาจมีอสูรบางตัวอยู่ลึกเข้าไปในป่า แต่พวกมันไม่น่าจะแข็งแกร่งเกินไป" ไบรอนหยิบก้อนสีดำเข้มขึ้นมาจากพื้นด้วยปลายดาบ ก้อนนั้นค่อยๆจางลงและกระจายหายไปในอากาศ "พลังธาตุเงา น่าจะมีแหล่งพลังเวทมนตร์ที่ไหนสักแห่งในป่านี้ แต่มันค่อนข้างอ่อนแอ"
"ใช่ มันอ่อนแอจริงๆ" แอมเบอร์ควงมีดเล่นด้วยนิ้วขณะพูด "ถ้ามีแหล่งพลังเวทมนตร์ระดับสูง พวกสมาคมเวทมนตร์หรือสมาคมนักพยากรณ์คงประกาศเข้าครอบครองดินแดนนี้แล้ว นอกจากนี้ดูจากพืชที่อยู่รอบๆ...พวกมันดูไม่ได้รับผลกระทบอะไรแม้แต่น้อย นั่นหมายความว่าพลังงานเวทมนตร์แข็งแกร่งไม่พอ"
กาเว่นมองไปที่ไบรอนและแอมเบอร์ "พวกเจ้าดูมีความรู้กันมากมายเหลือเกินนะ?"
รีเบคก้าเหลือบมองไบรอน "ลุงไบรอนเป็นทหารรับจ้างก่อนที่เขาสาบานจะภักดีกับท่านพ่อ"
ไบรอนดูเหมือนไม่อยากจะพูดถึงอดีตเท่าไร "ทุกอยากเป็นเรื่องในอดีตไปแล้วท่านหญิง"
"หึ ไม่ว่าใครก็ล้วนมีแผลจากอดีตทั้งนั้น" แอมเบอร์กล่าวพร้อมทำหน้าราวกับจะบอกว่า 'ข้าเองก็มีอดีตที่น่าสนใจเหมือนกัน ถามสิ ถามข้าเลย!'
กาเว่นไม่คิดจะเล่นสนุกกับนาง เรื่องอดีตของนางคงเป็นประมาณว่านางถูกไล่ล่าไปทั่วเมืองด้วยทหารรักษาความปลอดภัย แต่ถ้าเขาถามนางคงเล่าว่าตัวเองเดินทางไปทั่วทวีป หรือได้พูดคุยกับราชาเอล์ฟ...
ขณะที่พวกเขาพูดคุย พวกเขาก็เข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ แสงที่คอยส่องลงมาจากท้องฟ้าค่อยๆจางลง
กาเว่นเงยหน้ามองต้นไม้ที่หนาทึบ บรรยากาศรอบตัวเขาเริ่มหนาวเย็นขึ้นเล็กน้อย
เบ็ตตี้ผู้อ่อนแอที่สุดในกลุ่มจามออกมาอยางช่วยไม่ได้
แอมเบอร์หยุดหมุนมีดในมือ ดวงตาสีอ่อนของนางสั่นไหวเล็กน้อยขณะหันมามองกาเว่น "พวกเจ้าไม่คิดว่า....มันหนาวเกินไปงั้นรึ?"
ทันใดนั้นเฮอร์ตี้มีท่าทีเคร่งเครียดทันที นางยกไม้เท้าขึ้นพร้อมกระแทกลงไปบนพื้นอย่างรุนแรงพร้อมร่ายถาถาด้วยภาษาที่กาเว่นฟังไม่ออก
มันเป็นคาถาทั่วไป นักเวทย์ที่อยู่ระดับสองสามารถใช้ได้หมด คาถาจะทำการตรวจจับพลังงานแปลกปลอมเช่น กับดักเวทมนตร์หรือพลังงานี่มองไม่เห็น เมื่อร่ายค่าถามันสามารถตรวจจับร่องรอยได้มากที่สุดคือต่ำกว่าผู้ร่ายหนึ่งระดับ ซึ่งเฮอร์ตี้นั้นอยู่ในระดับสามที่ถือว่าเป็นระดับสูงสุดของนักเวทย์ฝึกหัด
เมื่อเวทมนตร์ถูกร่าย กาเว่นกวาดสายตาไปรอบๆ เขาเห็นหมอก
ไม่ ไม่ใช่หมอก มันคือพลังงานจิตวิญญานที่ซ่อนอยู่ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพความเป็นจริง
พวกมันปรากฎอยู่ทุกทิศทางและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มันหนาแน่นจนแทบมองสิ่งที่อยู่ไกลกว่าสิบเมตรไม่เห็น ในหมอกเหมือนมีร่างมดสลัวเคลื่อนไหวอยู่
ดวงตาของเบ็ตตี้เบิกกว้าง ขณะที่นางกำลังจะกรีดร้อง กาเว่นรีบหยุดนางเอาไว้ "ชู่ว์ อย่าทำเสียงดังมันจะปลุกสิ่งที่อยู่ในหมอก"
ตาของเบ็ตตี้เบิกกว้างน้ำตาเกือบจะไหลออกมา ขณะที่นางพยักหน้าพร้อมจับกระทะในมือแน่น
"สิ่งเหล่านี้คืออะไรกัน?" ดูเหมือนว่ารีเบคก้าจะหวาดกลัวเล็กน้อยเช่นกัน นางรวบรวมพลังไว้ที่ปลายไม้เท้าทันที "พวกเราถูกล้อมไว้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?"
"ภูตหมอก!" เฮอร์ตี้กัดฟัน "พวกมันปรากฎตัวที่นี่ได้ยังไง?"
ภูติหมอก กาเว่นพบข้อมูลนี้ในความทรงจำของเขา มันเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้จากทั้งธรรมชาติและมนุษย์ในสถานที่ที่พลังงานเงารวมตัวและอันเดดอยู่ มีโอกาสน้อยมากที่ภูตหมอกจะปรากฎขึ้นเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของเงา พวกมันไม่สามารถถูกมองเห็นได้เพราะพวกมันเกิดจากโลกวิญญานไม่ใช่โลกของคนเป็น....
ยกเว้นแต่ว่าเหยื่อผู้โชคร้ายได้ก้าวเท้าเข้ามาในหมอก
มันจะฆ่าเหยื่ออย่างช้าๆก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวโดยการใช้ความเย็นและการสร้างภาพลวงตาให้เหยื่อหวาดกลัว
หมอกหนาจะไม่ปรากฎขึ้นจนวินาทีที่วิญญานของพวกเขาเข้าไปในดินแดนแห่งเงา พวกมันจะใช้ความหวาดกลัวในช่วงใกล้ตายของเหยื่อสร้าง 'ภูตเงา' ขึ้นมา แต่ผลที่ได้ของคาถานี้ไม่ได้ดีเท่าคาถาอื่นๆในระดับเดียวกันดังนั้นพวกผู้อัญเชิญความตายมักไม่สนใจจะใช้คาถาเช่นนี้
กาเว่นดึงดาบออกมา แต่เขายังไม่ได้โจมตี เขารู้ว่าภูตหมอกมีความพิเศษมาก พวกมันจะไม่โจมตี แต่ถ้าหมอกถูกรบกวนพวกมันจะยิ่งบ้าคลั่งกว่าเดิม
ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะหยุดพวกมันมากกว่าเดิม
กาเว่นไม่แน่ใจว่าหมอกถูกรบกวนไปแล้วหรือยัง ดังนั้นแทนที่เขาจะโจมตีเขากำลังเดินหาหมอกบางส่วนที่เป็นทางออกอย่างระมัดระวัง แต่ขณะที่เขากำลังหาอยู่นั้นเองเสียงหัวเราะเบาๆได้กระทบเข้าข้างหูเขา
กาเว่นฟันดาบไปยังทิศทางนั้นทันที