บทที่ 11 ถนนที่ทอดยาว
การไปผจญภัยในโลกอื่นไม่ใช่เรื่องโรแมนติกหรือน่าตื่นเต้นที่ได้ใช้เวทมนตร์ ได้เป็นวีรบุรุษ ในความเป็นจริงพวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องการกินและการนอน
การหลบหนีเกิดขึ้นอย่างเร่งรีบเมื่อปราสาทถูกบุก ไม่มีใครมีเวลาเตรียมกระเป๋าเดินทาง ที่สำคัญพวกเขาออกมาจากสุสานที่ไม่มีทางที่จะมีอาหารเก็บไว้แน่นอน...
ดังนั้นเมื่อแอมเบอร์หิว ทุกคนจึงรับรู้ถึงปัญหานี้ในทันที
รอบตัวพวกเขาเต็มไปด้วยดินแดนอันแห้งแล้ง ส่วนด้านหลังเป็นดินแดนซิซิลที่กำลังลุกด้วยไฟ และด้านหน้าห่างออกไปเล็กน้อยเป็นป่าทึบ
โลกยุคกลางที่เต็มไปด้วยเวทย์มนตร์ ป่านอกเมืองเป็นสถานที่ที่อันตรายเป็นอย่างมาก สถานที่ที่แสงแห่งอารยธรรมส่องเข้าไปไม่ถึง มีเพียงสัตว์ร้าย อสูร และโจน แต่ในทางกลับกันมันก็หมายถึงแหล่งอาหารเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้นการจะไปถึงเมืองแทนซานทางเหนือได้ พวกเขาต้องเดินทางผ่านป่าทึบ
กลุ่มกาเว่นเจอพื้นที่เปิดโล่งกว้างบริเวณขอบป่าเพียงพอให้เขาพักผ่อนและส่งคนไปหาอาหาร
กาเว่นเหลือบมองไปยังเด็กสาวที่ยืนอย่างมึนงง เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนที่ความรู้สึกช้า หรือควรเรียกว่ากล้าหาญ? ย้อนกลับไปเมื่อตอนมังกรบินผ่านนางไม่ได้ร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้นางยังคงจับกระทะอย่างแน่นหน้ายืนอยู่กับที่ด้วยความประหม่า
"เบ็ตตี้ เฮอร์ตี้ รีเบคก้า พวกเจ้าทั้งสามคนรออยู่ที่นี่ ส่วนไบรอนคอยคุ้มกันพวกนาง" กาเว่นกล่าว "ที่เหลือไปล่าสัตว์กับข้า รวมถึงเจ้าด้วยแอมเบอร์"
เบ็ตตี้ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ ส่วนเฮอร์ตี้กับรีเบคก้าเป็นนักเวทย์ซึ่งไม่เหมาะกับการล่าสัตว์ในป่า นอกจากนี้พวกนางยังใช้พลังไปมากแล้ว ตั้งแต่การต่อสู้ที่ปราสาทพวกนางยังไม่ได้มีโอกาสทำสมาธิและฟื้นฟูพลัง นี่เป็นปัญหาสำคัญของนักเวทย์ พวกนางต้องอยู่ในสภาพจิตใจที่แข็งแรง ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกนางพักผ่อนและฟื้นฟูมานาของตัวเองกลับมาให้เร็วที่สุด
ทหารผู้จงรักภักดีทั้งสามคนไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ แต่ดวงตาของแอมเบอร์เบิกกว้าง "ทำไมต้องไปด้วย ข้ายังเหนื่อยอยู่เลย!"
กาเว่นจ้องมองนาง "จับหูของตัวเองดูสิ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของเจ้าก็เป็นเอล์ฟ ไม่ใช่ว่าบรรพบุรุษของเจ้านั้นคุ้นเคยการล่าในป่าเป็นอย่างดีงั้นรึ?"
แอมเบอร์เบะปาก "ท่านเลือกปฏิบัติกับเผ่าพันธุ์ของข้า ใครบอกว่าเอล์ฟทุกคนจะต้องล่าในป่า ข้าเรียนรู้ที่จะซ่อนตัวและไม่ส่งเสียงดัง..."
"เช่น การขุดหลุมฝังศพข้า?"
"อ...อืม..."
กาเว่นนำทหารสามนายและครึ่งเอล์ฟที่อ้างว่าไม่มีประสบการณ์ล่าสัตว์ในป่า ส่วนด้านเฮอร์ตี้หลังจากร่ายคาถาเตือนภัยเสร็จ นางก็ทรุดตัวนั่งลงบนก้อนหิน รีเบคก้าพาเบ็ตตี้เดินไปรอบๆพร้อมกับหากิ่งไม้แห้งกลับมา
หลังจากวางกิ่งไม้ลงบนพื้น รีเบคก้าถอยหลังไปเล็กน้อยและยกไม้เท้าของนางขึ้น ด้วยคาถาพื้นฐานสุดลูกไฟที่ดูไม่มั่งคงพร้อมจะระเบิดทุกเมื่อได้ปรากฎขึ้นในอากาศ
เฮอร์ตี้รีบหยุดนางทันที "ข้าจะทำเอง"
ไม่นานกองไฟได้ปรากฎขึ้นไล่ความหนาวเหน็บออกจากร่างกายพวกนาง เฮอร์ตี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันไปมองรีเบคก้าด้วยความอิดโรย "เมื่อไรเจ้าจะเรียนเวทย์มนตร์อื่นนอกจากไฟร์บอลเสียที..."
รีเบคก้าก้มหัวด้วยความอึกอักเล็กน้อย "ข้าขอโทษท่านป้า"
"อย่ามองตัวเองไร้ค่าเช่นนั้น ต่อให้เจ้าจะขอโทษ แต่ก็อย่าก้มหัวให้ใครง่ายๆ" เฮอร์ตี้ลูบหัวของนางด้วยความหงุดหงิด "เจ้าเป็นคนหนึ่งที่มีตำแหน่งขุนนาง เข้าใจไหม? สิ่งที่เจ้าแสดงออกมาในวันนี้...จริงๆแล้ว ท่านบรรพบุรุษอาจจะผิดหวังมาก แต่เขาไม่ได้แสดงออกมา"
รีเบคก้ากังวลทันที "แล้ว...ข้าควรทำเช่นไร?"
เฮอร์ตี้นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจ "เห้อ เจ้าสามารถทำอะไรได้อีก? ดูตระกูลของเราในตอนนี้สิ ข้าเกรงว่าคงไม่มีพวกเราสักคนที่จะทำให้ท่านบรรพบุรุษพอใจได้ สภาพของพวกเราตอนนี้...ห่างไกลจากความรุ่งโรจน์ในอดีตมากนัก"
รีเบคก้ากัดริมฝีปากอย่างรุนแรง แม้นางจะเป็นผู้ปกครองดินแดนเซซิล แต่เหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นนั้นมากกว่าที่นางจะเตรียมใจรับได้ง่ายๆ ทั้งคลื่นความมืดหรือการโจมตีของอสูรหรือจะเป็นการที่อยู่ดีๆบรรพบุรุษของตัวเองก็ปีนขึ้นมาจากโลงศพ
หลังจากเงียบไปสักพัก รีเบคก้าก็สามารถดึงความกล้าหาญออกมาได้ "ท่านป้าคิดว่า...ท่านบรรพบุรุษฟื้นคืนชีพจริงๆงั้นหรือ?"
เฮอร์ตี้มองเข้าไปในดวงตาของรีเบคก้า นางเดาได้ง่ายๆว่าหลานสาวของนางคิดอะไรอยู่
"เจ้าสงสัยเรื่องการฟื้นคืนชีพของบรรพบุรุษงั้นหรือ?"
"จริงๆแล้วข้ารู้ว่าไม่ควรสงสัยเรื่องนี้ แต่มัน...ยากที่จะเชื่อจริงๆ"
"ข้าเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน แต่พวกเราก็เห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น" เฮอร์ตี้ส่ายหัว "จำบทเรียนเรียนแรกที่นักเวทย์ทุกคนต้องผ่านได้ไหม? ไม่มีความรู้ทางทฤษฎีหรือสูตรที่ตายตัวสำหรับเวทมนตร์ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ'ความจริงอาจจะขัดแย้งกับสามัญสำนึก แต่ความจริงย่อมเป็นความจริงเสมอ' ข้อนี้สามารถใช้กับเรื่องที่อยู่นอกเหนือเรื่องของเวทมนตร์ได้ด้วย"
เมื่อเห็นรีเบคก้าเริ่มคิดเรื่องนี้ เฮอร์ตี้ก็พูดเบาๆ "ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ท่าบรรพบุรุษตื่นจากการหลับไหล แต่การคืนชีพของเขานั้นเป็นเรื่องจริง..."
เบ็ตตี้เหลือบมองไปที่หญิงสาวทั้งสอง นางไม่เข้าใจที่ทั้งคู่พูดแม้แต่น้อย นางเลยก้มหัวลงและถือกระทะในมือแน่น
ในไม่ช้ากลุ่มของกาเว่นก็กลับมา
พวกเขาไม่ได้จับสัตว์มามากมาย เพียงนำกระต่ายสามตัวกลับมากับนกขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถบอกชื่อได้สองตัว นอกจากนี้พวกเขายังเก็บผลไม้ป่าตามทางมาอีกด้วย
มองแอมเบอร์จัดการกับร่างสัตว์ป่าอย่างชำนาญ กาเว่นก็อดเหยียดยิ้มไม่ได้ "เจ้าบอกว่าล่าไม่เป็นไม่ใช่รึ? ทักษะของเจ้าเทียบเท่าได้กับพวกเอล์ฟเทาแห่งป่ามอส!"
ป่ามอสเป็นป่ากว้างใหญ่ที่ตั้งอยู่ระหว่างชายแดนอาณาจักรอันซุและดินแดนของเผ่าอูการิทางตะวันตก กลุ่มเอล์ฟสีเทาอาศัยอยู่ในป่านั้น พวกเขานับว่าเป็นนักล่าที่ดีที่สุดในโลก ความสามารถในการล่าเหยื่อของพวกเขานั้นเยี่ยมกว่าพวกเอล์ฟป่า
ขณะกำลังชำแหละนกตัวใหญ่แอมเบอร์ก็พูดออกมาโดยไม่เงยหน้า "ท่านวีรบุรุษอันคร่ำครึ ข้อมูลนั่นอาจจะจริงเมื่อสองถึงสามร้อยปีที่แล้ว แต่ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้พวกเอล์ฟเทาทำการค้าขายวัตถุดิบทำยา และไม่ได้ล่าอีกต่อไปแล้ว?"
"..."
แอมเบอร์ยังคงทำงานด้วยมืออย่างต่อเนื่อง ก่อนจะหยิบแท่งไม้แทงเนื้อและนำไปปักไว้แถวกองไฟ จากนั้นนางก็มองกาเว่นและพูดต่อ "ข้าบอกว่าข้าล่าสัตว์ไม่เก่ง แต่ข้าอยู่ในสังคมมนุษย์และถูกเลี้ยงดูมาโดยหัวขโมย..."
"ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะบอกว่าทักษะของเจ้า..."
"แม้ว่าข้าจะไม่ได้ล่าสัตว์ในป่า แต่ข้าก็เคยขโมยไก่" แอมเบอร์หัวเราะออกมา "นั่นคือสิ่งที่ข้ารู้"
"..."
เมื่อได้ยินที่แอมเบอร์พูด เฮอร์ตี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
"ช่างหยาบช้าเหลือเกิน"
แอมเบอร์กระดิกนิ้ว "ใช่ ใช่ ข้าหยาบช้า อา แต่ข้าเป็นขโมย ข้าสามารถขโมยเงินได้เล็กน้อยจากคนที่ผ่านข้าไป ข้าจะเปรียบเทียบกับท่านขุนนางผู้อาศัยอยู่ในปราสาทคอยเก็บเงินจากประชาชนได้ยังไงเล่า?"
ก่อนที่แอมเบอร์จะพูดจบ เสียง 'ชิ้ง' ได้ดังขึ้น ดาบของไบรอนจ่ออยู่ที่คอของนางแล้ว
เด็กหญิงครึ่งเอล์ฟเหงื่อตกทันที
กาเว่นโบกมือห้ามไบรอนให้เอาดาบออกไป จากนั้นก็มองไปที่แอมเบอร์ด้วยความสงสัย "เห้อ สักวันเจ้าอาจจะตายเพราะปากของเจ้าจริงๆ"
ก่อนที่แอมเบอร์จะพูดอะไร กาเว่นก็ถามนางต่อ "เจ้าเชี่ยวชาญด้านการหลบหนีใช่ไหม?"
"..."
"อืม ตอนนี้พวกเราอยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว ทุกคนต่างมีความสามารถต่างกันออกไป" กาเว่นพูดพร้อมนำผลไม้เข้าปาก "ทุกคนควรฟื้นฟูความแข็งแกร่ง นักเวทย์นั่งสมาธิเพื่อฟื้นฟูมานา พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางก่อนเที่ยง พวกเราใช้เวลาอยู่ใต้ดินมานานเกินไปแล้ว เราไม่ต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้"
"เบ็ตตี้วางกระทะลงก่อน" รีเบคก้าเหลือบมองสาวใช้พร้อมเตือน "เจ้ายังไม่ต้องใช้มันตอนนี้"
เบ็ตตี้มองกระทะในมือด้วยความลังเล
กาเว่นอยากรู้อยากเห็น "อืม ทำไมเจ้าถึงต้องถือกระทะนี้ด้วย"
เบ็ตตี้กลัวกาเว่นเล็กน้อย นางหดคอขณะจับกระทะแน่น "มาดามแฮนเซ่นบอกว่าข้าต้องรับผิดชอบการทอดไส้กรอกและขนาดปังด้วยกระทะใบนี้..."
"มาดามแฮนเซ่นเป็นผู้รับผิดชอบครัวในปราสาท" เฮอร์ตี้กระซิบกับกาเว่น "แต่นางตายไปแล้ว"
กาเว่นถอนหายใจพร้อมมองเบ็ตตี้
"กระทะนี้เป็นของเจ้าแล้ว" เขากล่าว "ตอนนี้เจ้าสามารถวางมันลงแล้วมากินอาหารก่อนก็ได้"