ตอนที่ 30: ด้วยความเคารพนับถือ เกินความเข้าใจ [ฟรี 06 มิ.ย. 63]
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 30: ด้วยความเคารพนับถือ เกินความเข้าใจ
สุราและอาหารถูกวาง
จากนั้นนายน้อยตงเทียนเหลิ่งเริ่มรับประทานที่จะกลายเป็นความประทับใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต
“เจ้าสามารถกินได้มากขนาดนี้เลยงั้นหรือ? คนเดียวกินได้ขนาดนี้เชียวหรือ?” ตงเทียนเหลิ่งตกตะลึง ใบหน้าเผยความหวาดกลัวขณะชี้ไปที่เนื้อสัตว์ร้ายวิเศษกองใหญ่ตรงหน้ายวินหยาง
“ตอนนี้ข้าลดความอยากอาหารไปครึ่งหนึ่งแล้ว” ยวินหยางตอบอย่างยินดี นั่นคือความจริง เมื่อไม่กี่วันก่อนเขากินไปราวห้าสิบถึงหกสิบจิน ประมาณการณ์ว่าจะอิ่มในคืนนี้หากกินอีกยี่สิบจิน นี่คือข่าวดียิ่งสำหรับเขา
ตัดสินจากเรื่องนี้ เขาเดาว่าลุ่ยลุ่ยน่าจะดูดซับพลังงานเสร็จแล้วเช่นกัน ดูท่ายังมีความหวังสำหรับวันที่เขาจะกลับมาเป็นปกติ
เขารอคอยวันที่จะสามารถกินขนมพายเนื้อได้เจ็ดถึงแปดชิ้นจนเต็มอิ่ม!
“ลดไปครึ่งหนึ่งแล้ว…” นายน้อยตงเทียนเหลิ่งกล่าวซ้ำด้วยน้ำเสียงตีโพยตีพาย ขากรรไกรตกอยู่ในอันตรายแล้วเช่นกัน
เขากินเนื้อยี่สิบจินต่อมื้อควบคู่กับอาหารอื่นและสุรา… นี่คือความอยากอาหารที่ลดไปครึ่งหนึ่งแล้ว!
“นี่ไม่เท่าไหร่เลย” ยวินหยางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ก่อนหน้านี้ ข้ายังกลัวความอยากอาหารของตัวเองเลย!”
“เจ้าคือขวัญใจของคนช่างจ้อจริง ๆ !” ตงเทียนเหลิ่งประทับใจกับสิ่งที่เหนือความคาดหมายนี้
ดูเขาสิ! กินเนื้อวิเศษทุกมื้อเลย!
ข้าคือนายน้อยจากหนึ่งในแปดครอบครัวผู้มีอิทธิพล แต่กลับไม่ได้รับการปรนนิบัติเช่นนี้เลย เขาต้องใช้หนึ่งหมื่นตำลึงเงินเพื่อซื้ออาหารให้ตัวเอง… นี่สิถึงเป็นตัวตนที่พวกเขาต้องการ!
นี่คือความฟุ่มเฟือยอย่างแท้จริง!
“ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ ทำไมไม่ดื่มให้สำราญเลยล่ะ! มา มา!”
กริ้ก!
ยวินหยางวางเหยือกสุราขนาดใหญ่ตรงหน้าตงเทียนเหลิ่ง ดวงตาของอีกฝ่ายปูดโปนด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง
เหยือกใบนี้อย่างต่ำก็สิบห้าจิน!
ทวยเทพ คนขี้เมาทั้งหมดที่เมืองเทียนถังดื่มเหมือนปลางั้นหรือ?
จากนั้นยวินหยางนำเหยือกอีกใบออกมาแล้วโบกให้อารักขาสองคนอย่างเชิญชวน อารักขาส่ายหน้าอย่างสุภาพเพื่อปฏิเสธข้อเสนอ พวกเขามีหน้าที่ต้องแบกรับ นั่นก็คือรับประกันความปลอดภัยของนายน้อย! พวกเขาไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำได้หากเริ่มดื่มเข้าไป อาจจะถึงขั้นตัวติดกับนายน้อยจนไม่รู้ว่าเดินเมาไปถึงไหน!
“เช่นนั้นข้าขอเปิดก่อนแล้วกัน” ยวินหยางเปิดฝาดินด้วยฝ่ามือข้างเดียวก่อนหยกเหยือกสุราจรดริมฝีปาก
ภายใต้การจ้องมองอย่างตกตะลึงของตงเทียนเหลิ่ง เขาดื่มของเหลวลงไป ภายในอึดใจ ของเหลวครึ่งหนึ่งในเหยือกหายไปแล้ว!
“วิเศษ!” ยวินหยางวางเหยือกสุราแล้วกล่าวว่า “ดื่มสิ เจ้าจะเอาแต่จ้องข้าให้มันได้อะไรขึ้นมา?”
ดวงตาของตงเทียนเหลิ่งยังคงปูดโปนขณะขากรรไกรอ้ากว้าง “ขวัญใจของข้า เจ้าดื่มหมดนั่นเลยหรือ?”
ยวินหยางกลอกตาแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นยังไง แต่ข้าดื่มแบบนี้มาเป็นปีแล้ว”
“นายท่าน!”
ริมฝีปากของตงเทียนเหลิ่งสั่นเทาจนดวงตาถึงกับหลั่งน้ำออกมาขณะจับมือของยวินหยางเอาไว้ ลืมเลือนความเคารพไปสิ้น “นับจากนี้ไป เจ้าคือนายท่านของข้า! เจ้าคือพี่น้องร่วมสายเลือดของข้า! เจ้าน่าทึ่งนัก! มีสีสันอะไรอย่างนี้ ต่อให้เป็นแค่การดื่มสุรา… ไม่มีใครในอดีตหรืออนาคตที่สามารถหวังมาเทียบเคียงได้! เจ้าต้องสอนข้านะ…”
ยวินหยางมองสหายอย่างจนใจ
จะกินหรือดื่ม เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าอยากเป็นแบบนี้? มีสีสันหรือ? สีสันบ้านพ่อเจ้าน่ะสิ…
เขาถูกจี้ใจดำอย่างจังจนวางตะเกียบแล้วหยุดกิน รู้สึกหมดกำลังใจอย่างน่าประหลาด
จากนั้นนายน้อยตงเทียนเหลิ่งร้องออกมาก่อนยกเหยือกสุราเพื่อพยายามเลียนแบบการดื่มแบบลูกผู้ชายของยวินหยาง
“นายน้อย อย่า…” เมื่ออารักขาพูดขึ้น ตงเทียนเหลิ่งซดของเหลวร้อนแรงเข้าไปแล้ว “แค่ก! คนช่างจ้อชั้นต่ำเช่นข้าไม่อาจหวังที่จะมีสีสันเช่นเจ้าได้สินะ… เอ๊อะ!”
“สุนัขราชสีห์ของเจ้าไม่เลวเลย” ยวินหยางเปลี่ยนเรื่อง มองสิงโตสองหัวที่กำลังนั่งอย่างเชื่อฟังอยู่ข้างโต๊ะรับประทานอาหาร ปากชมไม่หยุด “มันมีสองหัว แถมยังเชื่อฟังอีก วิเศษ!”
“นี่คือราชสีห์สวรรค์สองหัว…” ตงเทียนเหลิ่งรู้สึกถึงความอบอุ่นขณะกล่าวว่า “มันคือสัตว์ร้ายวิเศษอันดับที่แปดสิบ…”
“อ่าฮะ” ยวินหยางดึงกระดูกที่ทำความสะอาดจนเกลี้ยงออกจากปากแล้วโยนไปให้สิ่งที่น่าจะเป็น ‘ราชสีห์สวรรค์สองหัว’ กล่าวว่า “เจ้ากินกระดูกหรือเปล่า?”
“มันไม่กินกระดูกหรอก…” มุมปากของตงเทียนเหลิ่งกระรุก นายท่าน มันคือราชสีห์สวรรค์สองหัวนะ ที่บ้าน มันกินแต่ของดี ต่อให้มันกินเนื้อก็ต้องเป็นชิ้นเนื้อวิเศษ ไม่มีทางกินของเหลือจากคนอื่น… เอ๋?
ตงเทียนเหลิ่งจ้องมองด้วยดวงตาเบิกกว้าง มองราชสีห์สวรรค์สองหัวที่กำลังเคี้ยวกระดูกและกระดิกหางอย่างมีความสุขอยู่ข้างโต๊ะ ลูกตาของเขาแทบจะถลนออกจากศีรษะ
ล้อกันเล่นใช่ไหม
“ไม่กินกระดูกหรือ?” ยวินหยางมองตงเทียนเหลิ่งราวกับกำลังมองคนโง่ “แล้วตอนนี้มันกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ?”
ตงเทียนเหลิ่งรู้สึกเหมือนกับกำลังขุดหลุมฝังตัวเอง ขณะมองราชสีห์สวรรค์สองหัวที่กำลังเคี้ยวกระดูกด้วยความยินดียิ่ง นายน้อยใหญ่ตงเทียนเหลิ่งรู้สึกได้ว่าใบหน้าเหมือนมีเสียงตบดังชัด
การเคี้ยวแต่ละครั้งเหมือนกับการตบหน้าเขา
ทำไมไม่ให้เกียรติเหล่าจื้อบ้าง?
เมื่อคิดดังนี้ นายน้อยตงเทียนเหลิ่งพลันเข้าใจ “แปลก นี่มันไม่ถูกต้อง ทำไมข้าเป็นเหล่าจื้อของเจ้าไม่ได้ทั้งที่อยู่กับสหายคนนี้?”
“เห็นได้ชัดว่านี่คือสุนัขราชสีห์” ยวินหยางกล่าวยืนยัน “สิ่งเดียวที่แตกต่างคือมันมีสองหัว”
ตงเทียนเหลิ่งไม่สามารถหาเหตุผลมาคัดค้านจากการสังเกตการณ์ได้
ข้ากำลังมองมันเคี้ยวกระดูกและกระดิกหาง ข้ากำลังคิดว่ามันคือสุนัขราชสีห์ด้วย!
“สุนัขตัวนี้ดูดี” ยวินหยางยื่นแขนออกไปจับหางของราชสีห์สวรรค์สองหัว
“อย่า…” ตงเทียนเหลิ่งส่งเสียงร้องเตือนทันที ราชสีห์สวรรค์สองหัวตัวนี้กินคนนะ! โดยเฉพาะหากหางของมันถูกคุกคาม มีจิตวิญญาณน่าสงสารหลายดวงในอดีตที่อยากสัมผัสมันแต่ราชสีห์สวรรค์สองหัวคลุ้มคลั่งจนไม่เหลือส่วนไหนของร่างกายที่ไม่ถูกทำร้าย
ทว่า ก่อนเขาจะทันได้ห้าม ‘นายน้อยยวิน’ เขากลืนคำพูดลงไปแทบจะในทันที
ยวินหยางขยับด้วยความเร็วเหลือเชื่อ เขาคว้าหางอ้วนด้วยมือดังฟิ่ว ลูบและตบมันก่อนหยกขึ้นหลายครั้งแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “สุนัขตัวนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ !”
ตงเทียนเหลิ่งทำได้เพียงจ้องมองจนไม่สามารถหาคำพูดไม่บรรยายได้ เขาเห็นว่าราชสีห์สวรรค์สองหัวยังแสดงท่าทีประจบขณะเคี้ยวกระดูกและถึงขั้นดันหลังเข้าหาราวกับเกรงว่านายน้อยยวินจะไม่สามารถจับหางได้ถนัด
นี่ยังเป็นราชสีห์สวรรค์สองหัวระดับที่แปดอยู่หรือเปล่า? นี่มันนิสัยที่สุนัขราชสีห์ควรมีเลยนี่!
มีเพียงคำพูดเดียวเท่านั้น ถูก!
ตงเทียนเหลิ่งทำได้เพียงสงสัยเกี่ยวกับสถานะของสิ่งมีชีวิตตัวนี้
นี่ข้าเสียสติไปแล้วหรือ? หรือตาข้าฝ้าฟาง? ข้าประสาทหลอนหรือเปล่า? ข้าจะจินตนาการเป็นตุเป็นตะได้อย่างไร?
อารักขาสองคนตกตะลึงและสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างกัน
ราชสีห์สวรรค์สองหัวตัวนี้เป็นที่รักยิ่งเมื่ออยู่บ้านเสมอ ไม่คำนึงถึงผู้อื่น แม้กระทั่งเจ้าของอย่างตงเทียนเหลิ่งยังต้องพยายามชักนำอย่างหนักถึงจะตบมันได้ ถึงอย่างนั้น ราชสีห์เพียงยอมให้เขาตบเบา ๆ ในเวลาอันสั้นเท่านั้น
แค่ช่วงสั้น ๆ !
ทว่า มันแสดงความเชื่อฟังต่อหน้านายน้อยยวินคนนี้ทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรกในวันนี้! อารักขาทั้งสองมั่นใจว่าต่อให้เป็นสุนัขที่พวกเขาดูแลมาตั้งแต่เด็ก… พวกมันยังไม่เชื่อฟังเท่าราชสีห์สองหัวที่อยู่ต่อหน้ายวินหยางในตอนนี้!
“เอากระดูกเพิ่มไหม?” ยวินหยางยังเล่นกับมัน “อันนี้หรือ? ยังมีเนื้อเหลืออยู่เลย ข้าขอกินสักสองคำ…”
“นี่ถั่วลิสง… มา กระโดดขึ้นมาเอาสิ…”
ฟิ่ว!
ยวินหยางโยนถั่วลิสงขณะราชสีห์สวรรค์สองหัวกระโดดขึ้นอย่างสง่างามแล้วคว้าถั่วลิสงกลางอากาศก่อนลงมากระดิงหางให้ยวินหยางเพื่อขอรางวัล
“เด็กดี!” ยวินหยางส่งกระดูกที่เขาเพิ่งทำความสะอาดเสร็จไปให้
ตงเทียนเหลิ่งตกตะลึงยิ่ง
ราชสีห์สวรรค์สองหัวในตอนนี้ทำให้เขาอยากประณามสัตว์ร้าย “เจ้าทำตัวเองให้ดูถูกขนาดนี้ได้อย่างไร!” ทว่า คำถามที่ใหญ่ยิ่งกว่าคือ “ทำไม?”
ตงเทียนเหลิ่งหันคอที่ด้านชาไปมองยวินหยางด้วยความมึนงงอย่างช้า ๆ “นายท่าน… โอ ขวัญใจของข้า… ไม่สิ… พี่ใหญ่! พี่น้องร่วมสายเลือด! เจ้าทำแบบนั้นได้อย่างไร?”
ยวินหยางมองเขาด้วยความสับสน “ทำอะไรหรือ?”
ตงเทียนเหลิ่งส่งเสียงร้องออกมาแล้วพลันยืนขึ้นก้มศีรษะต่ำด้วยความเคารพ “พี่ใหญ่! ได้โปรดรับข้าไว้ด้วย! ความนับถือของน้องชายที่มีต่อเจ้าเปรียบเสมือนแม่น้ำแห่งเทียนเสวียนที่ไร้จุดสิ้นสุด เหมือนกับมหาสมุทรไร้พรมแดน คลื่นก่อเกิดชั่วนิรันดร์…”
ทั้งยวินหยางและอารักขาจนคำพูดกับความชื่นชมที่ตรงไปตรงมาและควรค่าแก่การได้รับ
ในคืนนั้น ตงเทียนเหลิ่งดื่มจนกระทั่งมึนเมา เขากอดขาของยวินหยางเอาไว้ขณะส่งเสียงร้องและหลั่งน้ำตาท่วมใบหน้า ท้ายที่สุด ยวินหยางกึ่งผลักกึ่งดึงเพื่อพยายามเอานายน้อยออกจากประตู
“พี่ใหญ่ นายท่าน พี่น้องร่วมสายเลือด! ให้ข้าอยู่ด้วย ข้าอยากเรียนรู้จากเจ้า… เรียนรู้ที่จะเป็นคนช่างจ้อ… ข้าจริงจังนะ… อย่าไล่ข้าเลย พี่น้องร่วมสายเลือด!” ตงเทียนเหลิ่งคร่ำครวญด้วยความมึนเมา
หลังจากนั้น ด้วยความช่วยเหลือของอารักขาทั้งสองที่รู้สึกกระดากอายกับพิษของสุราในร่างกายของนายน้อยตงเทียนเหลิ่ง ในที่สุดเขาถูกลากออกไปราวท่อนซุง
“ในที่สุดก็สงบสุขเสียที” ยวินหยางอดที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้ จากนั้นหัวเราะอย่างไร้อารมณ์ขัน “สหายคนนี้พิเศษจริง ๆ”
เหล่าเหมยผู้ยืนอยู่ด้านหลังมองมาด้วยสายตาสงสัย
ยวินหยางหันกลับไป “เหล่าเหมยหรือ? มีอะไร?”
เหล่าเหมยสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่มั่นใจว่าจะพูดเรื่องนี้ยังไงดี นายน้อย”
ยวินหยางตอบอย่างอบอุ่นว่า “ผู้ชายแสนดีของข้า เจ้ารู้ว่าสามารถพูดสิ่งที่คิดออกมาได้เสมอ”
เหล่าเหมยจัดเรียงความคิดแล้วกล่าวว่า “คือ ข้ารู้สึกว่านายน้อยคล้ายกับปล่อยให้โอกาสหลุดลอยมากเกินไปในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้”
ยวินหยางขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“อย่างแรก แม่นางจี้หลิงมาถึงที่พักยวิน เห็นได้ชัดว่าปกปิดความจริงที่มาจากครอบครัวมีชื่อเสียง ต่อให้ไม่ใช่ การเป็นสหายกับนางก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ทว่า สุดท้ายแล้ว นายน้อยกลับไม่ระวังคำพูดตัวเอง ต่อให้ความงามของนางจะไม่โดดเด่น แต่อย่างน้อยท่านควรจะแสร้งพูดจาให้สุภาพ… นี่คือความไม่มั่นใจข้อแรกของข้า”
“นายน้อย ท่านข่มขู่นายน้อยใหญ่ทั้งสี่ด้วยตัวตนของตัวเองก่อนพวกเขามาถึงที่นี่ หากพันธมิตรหล่อหลอมขึ้นมา เป็นไปได้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากสี่ครอบครัวนี้หรืออย่างน้อยก็สองครอบครัว นี่คือผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ที่เกิดกับครอบครัวในเมืองเทียนถัง แต่นายน้อยไม่ทำเช่นนั้น นายน้อยหม่า นายน้อยฉินและคนอื่นถูกนายน้อยโกงไปหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ นายน้อยใจกว้างให้ผลประโยชน์มาปกปิดส่วนที่เสียไปและเพิ่มพูนให้มันมากขึ้น มันน่าจะเป็นเวลาดีที่สุดที่จะพัฒนาความสัมพันธ์กับพวกเขา แต่ท่านกลับทิ้งโอกาสนี้ไป ถึงขั้นเมินสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นไปด้วย”
“เรื่องต่อมา คนที่ได้รับบาดเจ็บสามารถขยับตัวได้แล้ว นายน้อยบอกว่าท่านจะรับเขาแต่ยังปล่อยให้นอนอยู่ ไม่แม้แต่จะไปดูในช่วงสามวันที่ผ่านมา”
“สุดท้าย เห็นได้ชัดว่านายน้อยตงคนนี้นับถือท่านมาก ด้วยการเยินยอนิดหน่อย นายน้อย ท่านสามารถทำให้เขาเป็นสมุนได้ทันที แต่ก็เป็นอีกครั้งที่นายน้อยไม่ทำในสิ่งที่ข้าคิดว่าจะทำ”
เหล่าเหมยกล่าวทั้งหมดนี้อย่างรวดเร็ว แทบไม่ได้หายใจขณะยอมรับว่า “นายน้อย เหล่าเหมยไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้เลย!”