บทที่ 130 ข้าจะไปแก้แค้น
ครื้นนน!
แรงกดดันอันมหาศาลพวยพุ่งออกมา ตราประทับผู้ปกครองกำลังลอยต่ำลงและอยู่ห่างจากร่างของเจียงอี้เพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น แรงกดดันจากมันทำให้ร่างของเขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไปและถูกบังคับให้ต้องหมอบคลานลงกับพื้น
แต่ในจังหวะคับขัน มือข้างหนึ่งของเจียงอี้ก็ส่องแสงสว่างด้วยแสงสีแดง พร้อมกับอุณหภูมิโดยรอบที่พุ่งสูงขึ้นในพริบตา
“หินวิญญาณเพลิง จงทำลายมันซะ!”
แก่นแท้พลังสีดำเวียนว่ายอยู่รอบกายของเจียงอี้ เขาใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อเขวี้ยงหินวิญญาณเพลิงออกไป มันน่าทึ่งมากที่หินวิญญาณเพลิงสามารถเพิกเฉยต่อแรงกดดันจากตราประทับผู้ปกครองได้
หินวิญญาณเพลิงสามารถแผดเผาได้แม้แต่ข้อจำกัดของสิ่งปลูกสร้างภายในสุสานราชันสวรรค์หมื่นมังกร แม้กระทั่งเรือหยกที่เป็นถึงสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจที่จะต้านทานมันได้
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลที่เจียงอี้คาดเดาว่าตราประทับผู้ปกครองจะต้องถูกทำลายเช่นกัน!
ฟู้ววว!
แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อหินวิญญาณเพลิงสัมผัสกับตราประทับผู้ปกครอง มันก็ถูกเผาไหม้ด้วยไฟสีเขียวในทันที ประกายแสงสีทองบนตราประทับกำลังหม่นแสงพร้อมกับขนาดที่หดเล็กลงจนเหลือเท่ากำปั้นเช่นเดิม
“ห๊ะ?!”
ฝูงชนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง คนเหล่านี้เตรียมพร้อมที่จะตาย แต่ในจังหวะสุดท้าย พวกเขากลับเห็นเจียงอี้ใช้มือคว้ายังไปตราประทับได้อย่างง่ายดาย การเคลื่อนไหวของเขานั้นรวดเร็วเกินไป
ก่อนหน้านี้พวกเขายังเป็นสักขีพยานต่อความน่าสะพรึงกลัวและน่าเกรงขามของตราประทับผู้ปกครอง แต่พริบตาเดียวมันก็ถูกทำลายจนสิ้น แม้แต่แรงกดดันที่กดทับมายังร่างของพวกเขาก็สูญหายไปราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน
“อั๊ก… พรวดด!”
เจียงนี่หลิวที่นั่งอยู่บนรถม้าสงครามโบราณศักดิ์สิทธิ์กระอักเลือดออกมาปานจะสิ้นใจ จากนั้นเขาก็หมดสติ ตราประทับผู้ปกครองนั้นได้รับการขัดเกลาจากเขาโดยตรงและยอมรับเขาในฐานะเจ้านาย แต่ในตอนนี้ตราประทับได้ถูกทำลายไปแล้ว นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เจียงนี่หลิวถูกพลังตีกลับจนได้รับบาดเจ็บ
“นี่มัน…”
ดวงตาของจ่างซุนอู๋จี้เบิกกว้างด้วยความกลัวและตกตะลึง เจียงอี้สามารถทำลายสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ได้? เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะครอบครองสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน? มิฉะนั้นก็ไม่มีสิ่งใดจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้แล้ว!
“หนี!”
จ่างซุนอู๋จี้ไม่ลังเลอีกต่อไป เขารีบใช้เครื่องรางสัตว์วิญญาณและเรียกให้มังกรน้ำเงินปรากฏกายออกมา จากนั้นเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งอุ้มร่างของเจียงนี่หลิวขึ้นและใช้มืออีกข้างดึงรถม้าสงครามศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับกระโดดไปบนหลังของมังกรสีน้ำเงิน จากนั้นก็สั่งให้มันบินไปข้างหน้าโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
เหตุการณ์ในวันนี้แปลกประหลาดจนเกินไป จ่างซุนอู๋จี้อาจจะอยู่บนท้องฟ้าก็จริง แต่เขาก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเจียงอี้จะไม่สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาอีกครั้ง มันคงเป็นการดีที่สุดที่นำเจียงนี่หลิวซึ่งยังไม่ได้สติถอยกลับไปตั้งหลักก่อน
"วิ่ง—!"
สมาชิกของตระกูลจ่างซุนตอบสนองในทันทีและเริ่มแยกย้ายกันหนีไปคนละทิศคนละทาง สมาชิกของตระกูลเจียงและกองทัพทหารตะวันตกที่ก่อนหน้านี้ยังคงแข็งกร้าวต่างก็เริ่มหลบหนีแล้วเช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้นปฏิกิริยาของเจียงอี้ก็รวดเร็วกว่ามาก กลิ่นอายสังหารอันน่าสยดสยองปะทุขึ้นอย่างฉับพลันและกลายเป็นหมอกหนาเข้าปกคลุมคนนับพัน เขาเคลื่อนไหวราวกับภูตผี มือข้างหนึ่งกำลังควบกลั่นแก่นแท้พลังสีดำส่วนมืออีกข้างก็ถือดาบเอาไว้และใช้ตัดหัวศัตรู บัดนี้การกวาดล้างได้เริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว!
“หนีเร็ว!”
จีทิงยวี่และคนอื่นๆที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าใกล้เคียงไม่กล้าแม้แต่จะเฝ้ามองอีกต่อไป พวกเขารู้สึกหวาดกลัวเจียงอี้ที่อยู่ในสภาพบ้าคลั่งเช่นนี้เหลือเกิน นอกเหนือจากสมาชิกตระกูลจ้านแล้ว ชายผู้นี้ก็ไม่ลังเลที่จะเข่นฆ่าศัตรูทั้งหมดโดยปราศจากความเมตตา!
ด้วยการผสานระหว่างเจตจำนงสังหารและฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ทำให้เจียงอี้กลายเป็นผู้กุมอำนาจเพียงหนึ่งเดียวภายในสุสานราชันสวรรค์แห่งนี้ ผู้ใดที่กล้าเผชิญหน้ากับเขาก็คงมีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่
“ข้า จ้านอู๋ซวง ตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ! เขาไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
จ้านอู๋ซวงเฝ้ามองจากระยะไกล เขาเองก็อยากเข้าร่วมการต่อสู้และเข่นฆ่าศัตรูเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่สถานะของเขาไม่อนุญาตให้เขาทำเช่นนั้น
การเข้ามาแทรกแซงของจ้านอู๋ซวงเพื่อช่วยเหลือซูรั่วเสวี่ยโดยการสังหารกู้ซานเหอก็ถือว่าเป็นการล้ำเส้นมากแล้ว หากเขายังคงทำมากกว่านี้เกรงว่ามันจะกลายเป็นการยั่วยุตระกูลเจียงและตระกูลจ่างซุนโดยตรง
เหล่าผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลจ้านต่างก็กำลังมองฉากตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ความจริงแล้วก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เห็นด้วยที่จ้านอู๋ซวงเข้ามาแทรกแซงเรื่องระหว่างเจียงอี้และสองตระกูลใหญ่
แต่บัดนี้พวกเขาต้องเปลี่ยนความคิดและหันไปมองจ้านอู๋ซวงด้วยความชื่นชม หากว่าไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเจียงอี้ในช่วงสิบหรือยี่สิบปีต่อจากนี้ เขาจะต้องกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังซึ่งสามารถสั่นคลอนได้ทั้งทวีปได้อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ตระกูลจ้านก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริง
ไม่นานนักการกวาดล้างก็สิ้นสุดลง เจียงอี้ไม่สามารถสังหารทุกคนได้เนื่องจากร่างกายได้รับภาระมากเกินไป ถึงกระนั้นผู้คนมากกว่าครึ่งจากหนึ่งพันคนก็ตกตายภายใต้เงื้อมมือของเขา
เศษซากของอวัยวะตกอยู่เกลื่อนพื้นดินพร้อมทั้งแม่น้ำสีเลือดที่อาบไปทั้งบริเวณ ภาพตรงหน้าดูไม่ต่างอะไรไปจากขุมนรกเลยแม้แต่นิดเดียว!
สำหรับคนที่เหลือ พวกเขาต่างกระจายตัวกันเพื่อหลบหนีอย่างไม่คิดชีวิต มีบางคนหันกลับมามองเจียงอี้เป็นครั้งคราว เพื่อสลักภาพของชายหนุ่มคนนี้ไว้ในใจและสาบานกับตัวเองว่าชาตินี้ขอไม่เจอะเจอกับปีศาจร้ายเช่นนี้อีก
ตุบบ!
ร่างของเจียงอี้โซเซเล็กน้อยก่อนที่จะล้มลงบนพื้น เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกซี่โครงหนึ่งหรือสองท่อนหักหลังจากที่ตกลงมาจากเจดีย์ทองคำ ยิ่งไปกว่านั้น ร่างของเขายังได้รับภาระหนักจากการต่อสู้และปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาอย่างต่อเนื่อง
นี่ก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้วที่เขาสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้!
“จ้านหู่ ไปนำตัวเจียงอี้มาและรีบถอยเร็วเข้า!”
หลังจากที่จ้านอู๋ซวงออกคำสั่ง จอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ขั้นสูงสุดก็รีบไปนำตัวเจียงอี้มาและถอนตัวในทันที
……
เจียงอี้หมดสติไปถึงสามวันสามคืนกว่าจะตื่นขึ้นมาในที่สุด เขาค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยสภาพอันมึนงงและตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในถ้ำ
ที่แห่งนี้ส่องสว่างด้วยแสงจากเทียนไข มีชายผิวสีทองแดงนั่งอยู่ที่ด้านข้างของเจียงอี้ อีกด้านหนึ่งเป็นหญิงสาวที่สวมชุดสีดำพร้อมกับผ้าปิดคลุมหน้ากำลังผล็อยหลับอยู่ข้างกำแพง ห่างออกไปไม่ไกลเป็นร่างของหญิงสาวที่สวมสุดสีขาวกำลังพุบอยู่บนพื้น ดูเหมือนว่านางกำลังหลับอยู่
เมื่อจ้านอู๋ซวงสังเกตเห็นว่าเจียงอี้ได้ลืมตาตื่นขึ้นแล้ว เขาก็ยิ้มและกล่าว “เจียงอี้ เจ้าตื่นแล้วรึ? ร่างกายของเจ้าเป็นยังไงบ้าง?”
เจียงอี้ขยับปากเล็กน้อยและกลืนน้ำลาย จากนั้นเขาก็กล่าว “ไม่ร้ายแรงมาก แต่ก็ยังคงอ่อนแอ ดูเหมือนว่าข้ายังต้องใช้เวลาพักอีกสองวัน ที่นี่คือที่ไหน? อาจารย์ซูไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“พวกเราอยู่ในถ้ำ แต่เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าให้คนไปปิดปากถ้ำไว้แล้ว!”
จ้านอู๋ซวงหันไปมองซูรั่วเสวี่ยที่นอนอยู่บนพื้นพร้อมกับผ้าห่มผืนหนึ่ง “อาจารย์ซูสบายดี ผงผนึกแก่นแท้บนร่างของนางเองก็ถูกขับออกหมดแล้ว แต่นางก็ยังต้องพักฟื้นอีกสองสามวัน”
“ดี!”
เจียงอี้ฝืนยิ้มออกมา เขาเริ่มนั่งขัดสมาธิเพื่อทำการฟื้นฟูสภาพร่างกาย จ้านอู๋ซวงรู้ดีว่ามันยังไม่เพียงพอจึงยื่นขวดยาให้เขาขวดหนึ่ง เจียงอี้ก็รับมาอย่างไม่ลังเลและเข้าสู่ห้วงสมาธิในทันที
ตั้งแต่ที่จ้านอู๋ซวงยินดีที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในครั้งนี้ เจียงอี้ก็ปฏิบัติกับเขาเฉกเช่นพี่น้องด้วยใจจริง มันคงดูแปลกที่จะพูดคุยกับพี่น้องด้วยความสุภาพ บางครั้งเราก็เก็บคำขอบคุณไว้ในใจก็พอแล้ว
ห้าวันต่อมาหลังจากที่เก็บตัวอยู่ในถ้ำ เจียงอี้ฟื้นตัวเต็มที่ ส่วนซูรั่วเสวี่ยเองก็ฟื้นฟูร่างกายได้ประมาณเจ็ดส่วนแล้วเช่นกัน เขารอให้มั่นใจก่อนว่านางไม่เป็นอะไรแล้วค่อยลุกขึ้นยืนและกล่าวกับจ้านอู๋ซวง “อู๋ซวง เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่? หรือพวกเราจะแยกกัน?”
ดูเหมือนว่าจ้านอู๋ซวงจะคาดเดาไว้แล้วว่าเจียงอี้กำลังจะจากไป เขาจึงเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าว่าพวกเราแยกกันดีกว่า แม้ว่าจะมีหลายสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องกังวล แต่ข้าก็ต้องระวังตัวเนื่องจากสถานะของข้า”
ทางด้านของจ้านหลินเอ๋อร์ เมื่อนางเห็นว่าซูรั่วเสวี่ยลุกขึ้นยืนโดยไม่พูดอะไร นางก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย “พี่ใหญ่เจียง อาจารย์ซู พวกท่านจะเอายังไงต่อ?”
เจียงอี้ยื่นมือไปลูบศีรษะของจ้านหลินเอ๋อร์ด้วยความเอ็นดูและกล่าว “ข้าจะไปแก้แค้นและไขว่คว้าบางสิ่งในเวลาเดียวกัน บอกข้าสิหลินเอ๋อร์ เจ้ายังมีสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใดที่ยังขาดมืออยู่หรือไม่? ข้าจะไปปล้นชิงมันมาให้เจ้า!”
“หืม?”
ดวงตาที่งดงามราวกับไข่มุกของจ้านหลินเอ๋อร์ส่องสว่างในทันที นางได้เห็นความแข็งแกร่งที่น่าตกตะลึงของเจียงอี้ด้วยตาของตัวเอง และรู้ว่าภายในสุสานราชันสวรรค์แห่งนี้ ไม่มีใครที่สามารถเทียบเขาได้ จากนั้นนางก็ร้องอุทานขึ้นด้วยความตื่นเต้น
“พี่ใหญ่เจียงอี้! ท่านต้องปล้นชิงสิ่งประดิษฐ์จากพวกคนชั่วเหล่านั้นมาให้เยอะๆนะ แล้วแบ่งบางส่วนให้ข้าก็พอ!”