ตอนที่ 29: เจ้าคือขวัญใจของข้า! [ฟรี 31 พ.ค. 63]
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 29: เจ้าคือขวัญใจของข้า!
“ช้าก่อน!” เซี่ยชิงยวินยันตัวเองขึ้น เช็ดเลือดบนใบหน้า สีหน้าดุดันขณะสั่งว่า “ส่งผู้หญิงให้เขา!”
จากนั้นเขาชำเลืองมองยวินหยางอย่างดุร้ายขณะต่อว่า “ยวินหยาง เจ้าจบสิ้นแน่! โจมตีเจ้าหน้าที่ของราชสำนักเช่นนี้ ข้าบอกเลยว่าเจ้าจบสิ้นแล้ว!”
ยวินหยางเย้ยหยันอย่างเย็นชา “การจบสิ้นของข้าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า ข้าจะนับถึงสาม ถ้าไม่มีใครส่งนาง เช่นนั้นก็เป็นคราวของเจ้าที่จะจบสิ้น” สายตาของยวินหยางเย็นเยือกขณะทิ่มแทงเซี่ยชิงยวิน
เซี่ยชิงยวินสามารถรู้สึกได้ถึงจิตสังหารภายในดวงตาของยวินหยาง ไม่รู้เพราะเหตุใด เขารู้ว่าความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมหากไม่ส่งผู้หญิงให้!
ชายผู้ยืนอยู่ต่อหน้าคนนี้คือคนบ้า! เขาสับสนยิ่ง นี่ก็แค่ทหารผ่านศึกพิการผู้เสียแขนและได้รับบาดเจ็บตามร่างกาย ไม่ได้มีค่าพอจะให้กอบกู้ ยิ่งกว่านั้น เขาไม่ได้ข้องเกี่ยวกับยวินหยาง ต้องบ้าขนาดไหนถึงทำให้ชายคนนี้คลุ้มคลั่งขึ้นมาได้? การกระทำของเขารุนแรงขณะที่การตัดสินใจโผงผาง ราวกับว่าเป็นภรรยาของยวินหยางเองที่ถูกจับอยู่ข้างในนั้น
จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงขนาดนี้เชียวหรือ? เซี่ยชิงยวินไม่อาจเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดรวมถึงเหตุผลที่เกิดขึ้นได้
ไม่ช้า หญิงสาวผู้ใจลอยแต่งามงดถูกนำตัวออกมา หยาดน้ำตาหลั่งทันทีที่เห็นเฉินซาน เฉินซานพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วก่อนโอบกอดนางเอาไว้ ปลอบประโลมแผ่วเบาว่า “ไม่เป็นไรแล้ว อย่ากลัวไปเลย”
กลุ่มอารักขาและข้ารับใช้ของที่พักเซี่ยมองดู ไม่มีใครกล้าขยับกล้ามเนื้อ จากนั้นเฉินซานและภรรยาหันมาคุกเข่ากับพื้น “ขอบคุณ นายน้อย ขอบคุณสำหรับความใจดีอันสูงส่งดุจสวรรค์ หนักแน่นราวปฐพี!”
ยวินหยางขมวดคิ้วแล้วบอกกับพวกเขาห้วน ๆ ว่า “ไปเสียให้ไว พาภรรยาของเจ้ากลับบ้านให้มีชีวิตสุขสบาย เจ้าคือคนเหนือคน การก้มหัวไม่ใช่สิ่งที่ควรทำหรอก”
หน้าอกของเฉินซานนูนขึ้นแล้วกล่าวว่า “เฉินซานจะไม่ไป! นายน้อยเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงครั้งใหญ่เพื่อเฉินซานในวันนี้ เฉินซานจะไปเฉย ๆ ได้อย่างไร? ไม่ว่าท่านจะทำอะไร นั่นเป็นเพราะเฉินซาน อย่าห่วงไปเลย นายน้อย ข้า เฉินซาน จะไม่ปล่อยให้นายน้อยต้องรับผิดชอบแทนอย่างแน่นอน!”
ถึงแม้บรรยากาศจะตึงเครียด แต่ยวินหยางอดที่จะหัวเราะไม่ได้ “ต้องรับผิดชอบอะไรกับเรื่องนี้? ข้าจะกล้าสร้างเรื่องราวใหญ่โตไปทำไมถ้าไม่มีภูมิหลังคอยหนุนอยู่? ถ้าข้ากลัวพวกเขา ข้าจะอวดดีแบบนี้ทำไม? เจ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้หรือ? เอาล่ะ รีบกลับบ้านไปได้แล้ว!”
ยิ่งเฉินซานคิดมากเท่าไหร่ เขายิ่งเข้าใจมากขึ้นว่านายน้อยพูดถูก แต่เขายังกังวลอยู่ดี “เข้าใจแล้ว ผู้ต้อยต่ำคนนี้ขอตัวก่อน ข้าจะรายงานที่พักยวินทันทีที่เห็นว่าภรรยากลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เฉินซานจะไม่หนี”
เขาคำนับก่อนจากไปพร้อมภรรยา ผู้ที่ยืนอยู่รอบข้างมองเฉินซานจากไปด้วยอารมณ์ที่หนักใจยิ่ง เขาถึงกับได้พบพระผู้ช่วยที่มาช่วยชีวิตของตัวเองและภรรยาจากหายนะ สิ่งหนึ่งที่ถูกเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือนายน้อยยวินคนนี้เอาตัวเองเข้ามารับสถานการณ์เลวร้ายแทน
ขณะมองสองสามีภรรยาจากไป ยวินหยางไขว้แขนขณะเดินไปที่ประตูอย่างเกียจคร้าน
“ช้าก่อน!” เซี่ยชิงยวินเช็ดเลือดบนใบหน้าขณะถามด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อว่า “ยวินหยาง เจ้าจะไปทั้งอย่างนี้งั้นหรือ?”
ยวินหยางหันกลับ ถามกลับด้วยความสับสนว่า “เจ้าไม่อยากให้ข้าไปหรือ? อยากเลี้ยงอาหารข้าสักมื้อหรือไง?”
หลังจากนั้นเซี่ยอู่เยวียนได้สติขึ้นมาก่อนส่งเสียงครางยาวด้วยความเจ็บปวด “ยวินหยาง ที่พักขุนนางชั้นสูงเซียวเหยาและข้าจะไม่ลงรอยกันตลอดไป!”
ประกายสังหารวูบไหวผ่านดวงตาของยวินหยางกล่าวว่า “พูดเหมือนกับข้ายินดีที่ได้ร่วมมือกับครอบครัวของท่านอย่างนั้นแหละ มีอะไรก็ใส่มาให้หมด! ข้าเตรียมพร้อมอยู่แล้ว”
เซี่ยอู่เยวียนส่งเสียงฮึดฮัดด้วยความโกรธ “รอก่อนเถอะ! รอก่อนเถอะ!”
ขณะสำลักความโกรธ เขากระอักเลือดออกมาท่ามกลางคำต่อว่าอันเดือดดาล
ยวินหยางเพียงกลอกตาและยังคงเดินจากไป ก่อนก้าวออกจากประตู เขาถ่มน้ำลายใส่พื้นขณะพึมพำว่า “นี่คือสิ่งที่ข้าคิดกับครอบครัวของท่าน ไม่จำเป็นต้องพลังสมองเพื่อให้ท่านมาชอบพอหรอก”
สิ้นคำพูดหยาบคายยิ่งเหล่านั้น เขาจากไป
“เหอะ ฝันไปเถอะ!” เซี่ยอู่เยวียนกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งขณะล้มลงหมดสติอีกรอบ
…
เมื่อยวินหยางก้าวออกจากประตูของครอบครัวเซี่ย ชายในชุดเขียวเดินตรงเข้ามา
อีกฝ่ายปกคลุมด้วยสีเขียวตั้งแต่หัวจรดเท้า ตั้งแต่ชุดคลุม รองเท้าและเข็มขัดก็ยังสีเขียว ยวินหยางรู้สึกได้ว่ามุมปากกระตุกด้วยความขบขัน ถึงขั้นมีก้านไผ่สีเขียวบนหมวกสีเขียวของสหายคนนี้อยู่ด้วย!
นี่เจ้าชอบสีเขียวขนาดนี้เชียวหรือ?
สหายผู้สงสัยใคร่รู้เดินเข้ามาด้วยท่วงท่าซื่อตรง เสียงหัวเราะดังชัด “แหม แหม! ช่างน่าอัศจรรย์ใจอะไรอย่างนี้! ขอชื่นชมเลยว่าไม่มีใครเทียบเจ้าได้… หื้ม นายน้อยยวินสินะ? ช่างน่าประทับ น่าประทับยิ่งนัก! น่าประทับใจจนข้ารู้สึกตกใจกลัวแม้ทำได้เพียงมองดูเท่านั้น!”
ยวินหยางตกตะลึง อะไรของชายคนนี้? คิดว่ามันน่าประทับใจหรือ? เขาไม่เข้าใจถึงความจริงจังที่เพิ่งเกิดขึ้นหรือ? ยวินหยางไม่รู้เรื่องนี้ แต่ชายหนุ่มชุดเขียวคนนี้จับตาดูด้วยดวงตาเป็นประกายนับตั้งแต่ที่เขาปะทะคารมกับเซี่ยชิงยวินก่อนตบต้นขาดังฉาดอย่างยินดีกับละครตรงหน้า!
“น่าพอใจนัก… เต็มอิ่มไปเลย! ดูเขาสิ!” ชายหนุ่มในชุดเขียวสนทนาไม่จบไม่สิ้น สายตาจ้องมองยวินหยางด้วยความชื่นชมราวกับพบเห็นขวัญใจในที่สุด
“ไม่ต้องเสียเวลาพูดสักคำ! ไม่ต้องใช้เหตุผลให้มากความ! เหล่าจื้อทนดูเฉย ๆ ไม่ไหวแล้ว! ต้องแบบนี้สิ! เขาช่างพิเศษนัก! มัน… ให้ตาย สหายคนนี้ช่างหาญกล้ายิ่ง! เขาโยนอีกฝ่ายราวกับขยะได้จริง ๆ ! น่าประทับใจ ไม่เพียงแค่อัดคนหนุ่มเท่านั้น คนแก่ก็ไม่เว้นเช่นกัน! นี่… นี่คือขวัญใจของข้า!”
นายน้อยผู้ตกแต่งด้วยชุดเขียวแสดงลีล่าท่าทางอย่างดุเดือด เผยความประทับใจยิ่งขณะบอกกล่าวกับอารักขาทั้งสองที่อยู่ด้านข้าง “พวกเจ้าเห็นหรือเปล่า… เห็นหรือเปล่า? นี่คือสิ่งที่คนช่างจ้ออยากเป็น! น่าเสียดาย! ข้าได้รับฉายาคนช่างจ้อมาหลายปี แต่เพียงเข้าใจความหมายที่แท้จริงเมื่อได้มาที่เมืองเทียนถังในวันนี้”
“สิ่งที่ข้าทำไปก่อนหน้านี้เรียกว่าคนช่างจ้อ… นี่คือรากฐานที่แท้จริงของคนช่างจ้อ… ในฐานะพลเรือนของเทียนถังและลูกหลานของขุนนางชั้นสูง เขากล้าจัดการขยะอย่างเจ้าหน้าราชสำนักเหล่านี้ทันทีที่ไม่ลงรอยกัน ยิ่งกว่านั้น เขาอัดอีกฝ่ายพร้อมกับพูดจาด้วยความเด็ดขาด ที่เหลือเชื่อคืออะไรรู้ไหม? เขาไม่สนเรื่องผลลัพธ์เลย! นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีนัก จุ๊ จุ๊…”
“แบบอย่างที่ข้าควรทำตาม!”
“น่าเสียดายที่ข้า นายน้อยตงเทียนเหลิ่งผู้ตรงไปตรงมาเพียงค้นพบสิ่งนี้หลังจากผ่านมาหลายปี คืนวันของข้ากลับสูญเปล่าเสียได้!”
ชายหนุ่มในชุดเขียวคนนี้ยังคงจ้อไม่หยุด ใบหน้าของอารักขาทั้งสองพลันมืดดำราวถ่านหินขณะฟังอีกฝ่าย
เจ้ามันพวกนอกกฎหมายอยู่แล้ว ตอนนี้ถึงกับกำลังชื่นชมคนชั่วผู้ทำร้ายผู้คนอย่างโจ่งแจ้งงั้นหรือ?
ถ้าเจ้าทำแบบเดียวกันหลังกลับไป ทำร้ายผู้คนเพียงเพราะรับไม่ได้… คืนวันของเจ้าได้จบสิ้นแน่
นายน้อยตงเทียนเหลิ่งถึงกับตั้งใจจะเข้าไปช่วยยวินหยางเมื่ออีกฝ่ายเริ่มนัว แต่ถูกอารักขาทั้งสองรั้งตัวเอาไว้ ตอนนี้เขาเห็นยวินหยางคลี่คลายเรื่องราวได้แล้ว ยิ่งหลงหนักกว่าเดิม
“นายน้อย เจ้าคือ…” ยวินหยางยังสับสนกับคนบ้าสีฉูฉาดผู้นี้
“เหล่าจื้… ข้าคือตงเทียนเหลิ่ง!” ชายหนุ่มในชุดเขียวแนะนำตัวเองด้วยสีหน้าจริงจัง “ตงจากตงเทียน เทียนจากตงเทียน เหลิ่งจากตงเทียนเหลิ่ง” [1]
ยวินหยางกลอกตา “เอาล่ะ เหมันต์… ไม่ร้อนเลยจริง ๆ”
“ชื่อของข้าคือตงเทียนเหลิ่ง!” ตงเทียนเหลิ่งอธิบายอย่างโกรธเคือง “ชื่อครอบครัวของข้าคือตง ชื่อต้นของข้าเทียนเหลิ่ง”
“ชื่อดี!” คำชมของยวินหยางมาจากใจจริง
แต่ต้องบอกไว้ก่อน ข้าไม่รู้จักสหายคนนี้ ไม่ได้รู้สึกประทับใจอะไร แต่คนที่ตั้งชื่อแบบนี้ออกมา ข้าล่ะประทับใจ!
ต้องมีปัญญาแบบไหนถึงตั้งชื่อคนคนนี้ว่า ‘ตง เทียน เหลิ่ง’? … เหมันตฤดูที่เจ้าอยู่ไม่หนาวหรืออย่างไร?
ตงเทียนเหลิ่งมาอยู่ข้างเขาด้วยความยินดี ทุกคนที่เขาเคยพบเอาแต่หยอกล้อชื่อ แต่คนที่อยู่ตรงหน้าคนนี้กลับชื่นชมอย่างไม่ลังเล เขายินดียิ่งแต่พยายามรักษาความสงบเอาไว้ขณะถามว่า “ดียังไงหรือ?”
ดียังไงน่ะหรือ?
ยวินหยางเกาศีรษะก่อนท้ายที่สุดกล่าวว่า “ดีก็เพราะมัน… เรียบง่าย! โหดเหี้ยม! ตรงไปตรงมา! และมีความหมายชัดเจนที่ทำให้จดจำได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นใคร ย่อมไม่มีวันลืมทันทีที่ได้พบและได้ยินชื่อของเจ้า! นั่นแหละ สหายของข้า มันคือจุดเด่นของชื่อยิ่งใหญ่!”
ยิ่งพูดมากเท่าไหร่ ยวินหยางยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นชื่อที่ยอดเยี่ยมมากเท่านั้น “ให้ตาย นี่มันเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าชื่อตัวเองจะถึงกับยิ่งใหญ่ปานนี้… ข้าหลงโทษพ่อตัวเองมาหลายปี…” ตงเทียนเหลิ่งตอบรับก่อนตบบ่าของยวินหยาง “ไม่เลว น้องชาย! ดีมาก! แม้กระทั่งอารมณ์ก็ยังชัดเจน! ให้ข้าเลี้ยงสักมื้อเถอะ!
ยวินหยางไม่ได้ตั้งใจหรือสนใจที่จะดื่ม เขาปฏิเสธข้อเสนออย่างสุภาพทันที “ขอโทษด้วย ข้าต้องกลับบ้านแล้ว ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องสะสาง…”
“ไม่มีปัญหา! ข้าจะตามเจ้ากลับที่พักไปดื่มด้วย! พวกเราสามารถดื่มกันหลังจากเจ้าทำในสิ่งที่ต้องทำเสร็จแล้วได้” ในที่สุดนายน้อยใหญ่ตงเทียนเหลิ่งพบคนที่ชอบพอเข้าแล้ว ไม่ว่ายวินหยางจะทำหรือจะพูดอะไร คิดว่าเขาจะยอมเต็มใจแยกจากกันง่าย ๆ เพียงนี้หรือ?
ยวินหยางกลอกตา “ข้าจะทำอะไรได้หากเจ้าเลือกตามมา?”
“ทำไมไม่ดื่มด้วยกันในเมื่อไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้วล่ะ?” ตงเทียนเหลิ่งโอบแขนรอบไหล่ของยวินหยางด้วยรอยยิ้มแจ่มใสขณะพูดด้วยความโศกเศร้าที่ปั้นแต่งขึ้นมา “น้องชาย ในชีวิตนี้ เป็นการยากที่จะได้พบสหายผู้รู้ใจนัก”
เจ้าและข้าไม่ใช่สหายกัน ข้าไม่ได้อยากปรับทุกข์กับเจ้า!
“พูดตามตรง ข้าเผชิญหน้ากับคนช่างจ้อมามากมายตลอดการเดินทาง แต่การได้พบคนที่เรียบง่าย โหดเหี้ยม ไร้เหตุผล โกรธไวและสอดเรื่องคนอื่นไปทั่ว นอกจากเจ้าแล้วยังจะมีใครเทียบได้อีก?” ตงเทียนเหลิ่งถามด้วยความเคารพยำเกรงยิ่ง “ทำไมกันนะ ทำไมข้าไม่สามารถทำแบบนั้นได้! น้องชาย เจ้าสามารถตั้งตัวเป็นหัวหอกคนช่างจ้อทั่วทวีปเทียนเสวียนได้เลย!”
ยวินหยางรู้สึกถึงอาการปวดหัวรุนแรงที่กำลังกำเริบขึ้นมา
คนบ้าคนนี้มันยังไง? ทำไมข้าไม่เข้าใจอะไรเลย?
คนช่างจ้อหรือ?
ข้าเป็นคนช่างจ้อตรงไหนกัน?
ข้าตั้งใจจะสร้างประกายไฟจากเถ้าถ่าน พ่อและลูกชายจากครอบครัวเซี่ยรนเดินมาหาข้าเองก็เลยช่วยส่งเสริมให้… อีกอย่าง ข้ายืนอยู่ข้างทหารผ่านศึก… ข้าจะไปเป็นคนช่างจ้อได้อย่างไร?
ข้าอยากจุดชนวนความขัดแย้งขึ้นระหว่างภาคพลเรือนและกองทัพ เพื่อสร้างความโกลาหลในราชสำนัก ข้าคิดทุกฝีก้าวเป็นอย่างดี นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ข้ายังมีแผนการในมืออีกมากมาย
แต่เจ้ากลับพูดมันออกจากปากว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร?
หัวหอกคนช่างจ้อหรือ?
ถ้าข้าต้องแบกรับฉายาน่าเวทนานี้ในฐานะกลุ่มมันสมองของเก้าใหญ่ย่อมเป็นเรื่องน่าขันแน่! ถึงกระนั้น ข้ายังมีสมองอยู่นะ
“เหลิ่งละอายใจนักเมื่อเทียบกับกลยุทธของน้องชาย แต่เรื่องราวที่เจ้าแสดงในวันนี้คล้ายกับทำให้ข้าอยากทำอย่างจริงจังมากขึ้น” ตงเทียนเหลิ่งโอบแขนรอบไหล่ของยวินหยาง “แต่อย่าห่วงไปเลย เจ้าไม่มีทางเดินผิดหรอกตราบที่มีพี่ใหญ่อย่างข้าอยู่ที่นี่! อย่างน้อยก็คืนนี้…”
เขาลดเสียงต่ำ “คืนนี้ พวกเราจะกวาดล้างพวกมัน…”
ยวินหยางส่งเสียงฮัมอย่างยินดีอยู่ในใจ เขาประหลาดใจที่สหายคนนี้มีมุมมองเดียวกัน จิตใจยิ่งใหญ่ต้องมีความคิดเช่นนี้ เขามีความคิดเหมือนกัน
อารักขาของตงเทียนเหลิ่งตามหลังพวกเขาสองคนด้วยสีหน้ามืดมน รู้สึกได้ถึงร้อยสิ่งที่ไม่อยากเชื่อ
เรื่องราวชักจะไปกันใหญ่แล้ว
นายน้อยกำลังจะผันตัวเพราะแบบนี้หรือ?
ยวินหยางพยายามปัดคนโง่อย่างสุภาพด้วยปัญญาและกลยุทธทั้งหมด แต่กลับเปล่าประโยชน์ ตงเทียนเหลิ่งยังคงโอบแขนรอบไหล่ของเขาขณะเดินกลับที่พักยวินไปด้วยกัน
เมื่อถึงบ้าน ยวินหยางเพียงสั่งให้เหล่าเหมยจัดโต๊ะ “เตรียมสุราและอาหาร คืนนี้ พี่ตงและข้าจะ… ดื่มกินด้วยกัน”
สายตาของเหล่าเหมยเต็มไปด้วยคำถาม สีหน้ากังวลมากขึ้น
ข้าเดาว่าท่านไปที่พักขุนนางชั้นสูงสงบเงียบเพื่อทำร้ายสองพ่อลูก
คราวนี้กลับบ้านมาฉลองงั้นหรือ? มาดื่มกินงั้นหรือ?
นี่รู้ตัวหรือเปล่าว่าสร้างปัญหาไว้มากแค่ไหน?
[1] – ตงเทียน (冬天) หมายถึง เหมันต์ เหลิ่ง (冷) หมายถึง เย็นเยือก เมื่อรวมกัน ตงเทียนเหลิ่ง (冬天冷) จึงหมายถึง เหมันต์อันเย็นเยือก