AtW ตอนที่ 18 เมืองฮาเวส
AtW ตอนที่ 18 เมืองฮาเวส
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย
ณ ปราสาทเบ็นเน็ตต์
วันนี้เป็นวันสุดท้ายของปีและพรุ่งนี้จะเป็นวันปีใหม่นั่นเอง
ในช่วงเวลาอาหารค่ำของครอบครัวอัศวินเบ็นเน็ตต์ อัศวินเบ็นเน็ตต์ได้เปิดจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งมีพัสดุชิ้นหนึ่งถูกส่งมาให้กับซัค "นี่เป็นของขวัญปีใหม่จากอาเบล ดูสิซัค อาเบลดีกับลูกแค่ไหน ขนาดพ่อกับแม่ของเขาแท้ๆ เขายังไม่ได้ให้อะไรเลย"
ดูเหมือนว่าอัศวินเบ็นเน็ตต์จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจออกมา เขาหันไปมองที่นอร่าก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า "ลูกชายของเราเพิ่งจะจากเราไปได้แค่เดือนเดียวแท้ๆ เขาไม่เคยเขียนจดหมายอะไรมาหาเราเลย ลูกต้องการของขวัญแบบนี้จริงๆ หรอ?"
ซัคหยิบจดหมายมาอ่านก่อนที่จะเดินไปหาพัสดุที่อาเบลได้ส่งมาให้ เมื่อซัคเปิดดูเขาก็รู้ได้ทันทีว่าพัสดุที่อาเบลส่งให้เขานั้นคือดาบใหญ่นั่นเอง
"ว้าว นี่มันดาบแห่งร้อยทักษะนิ" ซัครู้ได้ทันทีว่าดาบที่อาเบลส่งมาให้มันคือดาบชั้นยอด ดาบที่จัดอยู่ในดาบแห่งร้อยทักษะจะเป็นที่ต้องการในตลาดอยู่เสมอ แม้ว่าจะมีราคาแพงถึง 1,000 เหรียญทองแต่ก็มีผู้คนส่วนใหญ่ที่ร่ำรวยจ้องจะแย่งกันซื้อดาบเล่มนั้นอยู่ดี
[หมายเหตุ: ดาบจากยอดฝีมือจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าดาบแห่งร้อยทักษะนะครับ]
ดาบใหญ่เป็นเหมือนกับอาวุธที่ดีที่สุดสำหรับเหล่าอัศวิน
แม้ว่าอัศวินเบ็นเน็ตต์จะดูน้อยใจแต่เขาก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เลยที่จะเห็นดาบเล่มนี้ ดาบเล่มนี้เป็นดาบแห่งร้อยทักษะที่สมบูรณ์แบบถึง 80 เปอร์เซ็นต์ อัศวินเบ็นเน็ตต์จึงอดไม่ได้เลยที่จะอุทานออกมา "พ่อก็อยากได้ของขวัญมั้ง..."
"ให้พ่อดูดาบเล่มนี้หน่อย" ในฐานะที่เบ็นเน็ตต์เป็นอัศวินการที่เจอดาบชั้นยอดแบบนี้ทำให้เขาไม่อาจจะต้านทานความอยากรู้ของตัวเองได้เลย สำหรับอัศวินแล้วดาบชั้นเลิศก็เป็นเหมือนกับสมบัติล้ำค่าดีๆ นี่เอง อัศวินเบ็นเน็ตต์ชักดาบออกมาจากฝักที่อยู่ในมือของซัคก่อนที่จะลองใช้ดาบโบกสะบัดไปมากลางห้องอาหาร "อาเบล...เขาเพิ่งจะย้ายเข้าไปในปราสาทแฮรี่เมื่อไม่นานนี้เองแต่เขากลับที่จะส่งของขวัญล้ำค่ามาให้เราแบบนี้ได้ ครั้งต่อไปพ่อต้องเขียนจดหมายถึงอาเบลเพื่อถามไถ่ความเป็นอยู่ของเขาบ้างแล้วล่ะ"
"ดูเหมือนว่าอาเบลจะไม่ได้ขอของขวัญชิ้นนี้ให้ผมนะพ่อ" ซัคได้พูดกับอัศวินเบ็นเน็ตต์ในขณะที่เปิดอ่านจดหมายของอาเบลอยู่ "ในจดหมายอาเบลบอกไว้ว่านี่เป็นอาวุธชิ้นแรกที่เขาได้ตีขึ้นมา เขาเลยตัดสินใจส่งให้ผมเป็นของขวัญปีใหม่"
ในระหว่างที่อัศวินเบ็ตเน็ตต์ลองใช้ดาบอยู่เขาก็ต้องหยุดทันทีก่อนที่จะมองไปที่ซัคแล้วถามต่อไปว่า "ลูกบอกว่าอาเบลสร้างดาบเล่มนี้ด้วยตัวเองอย่างงั้นหรอ?"
"ใช่ครับพ่อ อาเบลบอกไว้อย่างชัดเจนในจดหมายฉบับนี้" ซัคตอบด้วยความมั่นใจ
"เป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ว่ามาแชลจะเคยเรียนรู้การตีดาบในอดีตก็ตาม แต่สิ่งที่อัศวินมาแชลทำได้หลังฝึกมานานนับปีนั้นคือมีดทำครัวดีๆ นี่เอง ลูกกำลังบอกว่าอาเบลสร้างดาบแห่งร้อยทักษะนี้ด้วยตัวเองโดยใช้เวลาเรียนรู้เพียงแค่เดือนเดียวเนี่ยนะ?"
ดูเหมือนว่าอัศวินเบ็นเน็ตต์จะทำอะไรผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาเข้าให้แล้ว การให้อาเบลไปเป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างมหันต์ ในตอนแรกอัศวินเบ็นเน็ตต์ตัดสินใจอยู่นานถึงได้ส่งอาเบลไป เขาคิดว่าถ้าเวลาผ่านพ้นไปเขาอาจจะลืมความเสียใจนี้ได้ แต่ดูเหมือนว่าวันเวลาจะไม่ช่วยอะไรอัศวินเบ็นเน็ตต์อีกต่อไป
ในวันฉลองปีใหม่นี้เองเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายในปราสาทเบ็นเน็ตต์ ซัครู้สึกเซอร์ไพรส์ ส่วนเบ็นเน็ตต์เองรู้สึกเสียใจและนอร่าเองก็กำลังรู้สึกคิดถึงอาเบลอยู่ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแล้วอาเบลก็ยังไม่รู้ตัวและยังอยู่ในปราสาทแฮรี่ต่อไป
ณ ปราสาทแฮรี่ อัศวินมาแชลและอาเบลกำลังนั่งรถม้าไปเมืองฮาเวสเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงค็อกเทลปีใหม่ที่จัดขึ้นโดยดิ้กเคน งานเลี้ยงปีใหม่นี้เองจะเริ่มในเวลากลางคืนแต่อัศวินมาแชลและอาเบลได้ออกเดินทางตั้งแต่เช้าแล้ว
ทางจากปราสาทของอัศวินมาแชลไปถึงเมืองฮาเวสนั้นถูกสร้างขึ้นใหม่เป็นอย่างดี ถนนทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากหินที่แบนเรียบ ด้วยเหตุนี้เองทำให้การเดินทางจากปราสาทแฮรี่ไปถึงเมืองฮาเวสจึงเป็นการเดินทางที่สะดวกสบาย หากอยู่บนรถม้าแล้วคงไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนใดๆ ได้เลย ด้วยถนนที่ราบเรียบทำให้การเดินทางโดยรถม้านั้นรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เพียงเวลาหนึ่งชั่วโมงเท่านั้นรถม้าที่อาเบลนั่งอยู่ก็ไปไกลกว่า 100 กิโลเมตรแล้ว
จากจุดที่อาเบลกำลังอยู่ในตอนนี้ทำให้มองเห็นเมืองฮาเวสได้จากระยะไกล รูปทรงของเมืองที่อาเบลเห็นนั้นเป็นเหมือนกับเสือที่กำลังหมอบคลานอยู่ แต่เมื่ออาเบลเข้าไปใกล้เมืองฮาเวสมากขึ้นเขาก็รู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่และความสง่างามของเมืองในทันที เมืองฮาเวสแห่งนี้เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่ถูกปกครองด้วยดยุค์คาร์เมลนั่นเอง ความยิ่งใหญ่และสง่างามของเมืองฮาเวสนี้เองเป็นเหมือนกับสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าดยุค์คาร์เมลนั้นปกครองเมืองนี้ได้ดีเพียงใด
"พ่อครับ ทำไมเมืองฮาเวสถึงต้องถูกป้องกันเแน่นหนาแบบนี้ละครับ?" อาเบลถามในขณะที่จ้องมองกำแพงที่สูงเกือบ 20 เมตรอยู่ บนกำแพงเองมีทหารติดอาวุธจำนวนมากยืนประจำการอยู่ทั่วทั้งกำแพง
อาเบลยังคงอธิบายอย่างละเอียดในคำถามของเขา
"ผมได้ยินมาว่าเมืองฮาเวสตั้งอยู่ทางตอนใต้ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ซึ่งครั้งหนึ่งเองเคยเป็นดินแดนของมนุษย์มาก่อน แต่เมื่อนานมาแล้วพวกออร์คได้บุกเข้ายึดดินแดนแห่งนี้ไป สุดท้ายแล้วเหล่าอัศวินและขุนนางร่วมมือกันในการยึดดินแดนแห่งนี้คืนมา ดินแดนแห่งนี้จึงถูกปกครองโดยขุนนางและก็สงบสุขจนมาถึงทุกวันนี้ แล้วทำไมเมืองฮาเวสยังจะต้องเตรียมพร้อมเหมือนกับจะทำสงครามตลอดเวลาด้วยล่ะครับ?"
"อาเบล ที่เมืองทุกเมืองเองจะมีอัศวินอย่างน้อยหนึ่งคนประจำการอยู่ที่ทุกๆ เมืองเสมอ แม้แต่เมืองฮาเวสที่ปกครองโดยดยุคคาร์เมลเองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน เมืองแห่งนี้ถูกปกครองโดยดิ้กเคน เขาเป็นหัวหน้าของเหล่าอัศวินในเมืองนี้นั่นเอง"
สายตาของอัศวินมาแชลดูคล้ายกับเบื่ออะไรบางอย่างทันที ดูเหมือนว่าเขากำลังจะนึกอะไรในอดีตอยู่ "มันเป็นเพราะพวกอาณาจักรออร์คนั่นแหละ" อัศวินมาแชลพูดต่อไปพร้อมกับถอนหายใจ
"อาณาจักรออร์คเดิมทีอยู่ที่ทางตอนเหนือที่สุดแสนจะห่างไกล ทำให้ที่ดินแดนแถวนั้นจะต้องถูกปกป้องโดยพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พวกเขาก็คือเหล่าผู้พิทักษ์จากเมืองแห่งปาฏิหาริย์นั่นเอง ถ้าหากไม่ได้ความพยายามและความเสียสละของพวกผู้พิทักษ์แล้วละก็มนุษยชาติเองจะต้องสูญเสียทั้งชีวิตและดินแดนไปมากกว่านี้อย่างแน่นอน"
มีมนุษย์มากมายอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับอาณาจักรของพวกออร์ค ด้วยเหตุนั้นเองจึงทำให้พวกเขาตกเป็นเหยื่อของพวกออร์คอยู่เสมอ สุดท้ายแล้วพวกเขาจึงรวมตัวและสร้างป้อมปราการแห่งหนึ่งขึ้นมา ป้อมปราการถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างผู้คนและทหารที่อยู่บริเวณนั้น สุดท้ายแล้วป้อมปราการก็ถูกสร้างขึ้นที่ภูเขาบูดาเปสต์ ป้อมปราการนั่นเองทำให้พวกมนุษย์อยู่เป็นเอกเทศได้ในที่สุด สุดท้ายแล้วป้อมปราการแห่งนั้นก็ได้ถูกพัฒนาปรับปรุงตลอดมาจนได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งปาฏิหาริย์ในที่สุด
"ตราบใดที่เมืองแห่งปาฏิหาริย์ยังคงอยู่ พวกเราเองก็ไม่ต้องกลัวว่าพวกออร์คนั้นจะมาบุกรุกมนุษยชาติได้อีก" อัศวินมาแชลยังพูดต่อไปอีก
"แต่ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมานี้เอง พวกออร์คเองก็ได้พัฒนาวิธีการโจมตีรูปแบบใหม่ขึ้นมา พวกมันใช้สัตว์ร้ายที่บินได้แบกพวกมันเพื่อขึ้นไปบนภูเขาบูดาเปสต์ก่อนที่จะทำลายเมืองแห่งปาฏิหาริย์ที่เป็นเหมือนกับด่านหน้าคอยป้องกันไป" อัศวินมาแชลยังพูดต่อไปด้วยเสียงที่ดูสงสัย "เมืองแห่งปาฏิหาริย์ถูกทำลายล้างโดยสมบูรณ์แบบ...แต่พ่อคิดว่ามันเป็นแค่การทดสอบเท่านั้น พวกออร์คก็แค่ทดลองการโจมตีรูปแบบใหม่เฉยๆ "
ในระหว่างที่อัศวินมาแชลกำลังพูดกับอาเบลอยู่รถม้าที่พวกเขาทั้งสองคนนั่งมาก็ได้เดินทางมาถึงประตูเมืองฮาเวส หน้าประตูเมืองเองมีคิวแถวต่อเข้าเมืองยาวถึง 10 เมตร ถัดจากประตูมีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังตรวจสอบคนเข้าเมืองและเรียกเก็บค่าผ่านทางจากผู้ที่ต้องการเข้าเมือง ดูเหมือนการทำงานของทหารกลุ่มนั้นจะช้าเป็นพิเศษด้วยความยาวของคิวแบบนี้อาเบลคิดว่าเขาจะต้องรอนานเป็นชั่วโมงกว่าจะเข้าเมืองได้อย่างแน่นอน
แต่รถม้าที่อาเบลนั่งมาไม่ได้ต่อคิวเหมือนกับคนอื่นๆ พวกอาเบลเองสามารถที่จะเข้าเมืองไปได้โดยไม่ต้องต่อคิวด้านหน้าประตู ทำเอาผู้คนที่กำลังต่อคิวอยู่นั้นจ้องมองมาที่พวกอาเบลด้วยความอิจฉา
ไม่ว่าอาเบลจะอาศัยอยู่ในปราสาทเบ็นเน็ตต์หรือในปราสาทแฮรี่อาเบลก็รู้สึกเสมอว่าเขายังมีฐานะที่ดีกว่าผู้คนที่อยู่รอบตัวเขาอยู่ดี แต่นี้เป็นครั้งแรกที่อาเบลได้สัมผัสกับสิทธิพิเศษในการเป็นขุนนางอย่างแท้จริง
อาเบลยังไม่ค่อยคุ้นเคยการกระทำแบบนี้เท่าไรนัก ในโลกเดิมที่อาเบลเคยอยู่หากมีใครสักคนที่พยายามที่จะแซงคิว คนเหล่านั้นจะถูกมองด้วยสายตาที่แสนจะดูถูกดูแคลนในทันที แต่ที่นี่ ในโลกแห่งนี้ไม่ได้เป็นเหมือนกับโลกเดิมที่อาเบลได้จากมา ตอนนี้อาเบลกำลังมุ่งหน้าเข้าเมืองต่อไป
รถม้าของอาเบลได้มาถึงที่ลานแห่งหนึ่ง มันเป็นที่พักประจำของอัศวินมาแชลในเมืองฮาเวสนั่นเอง ทันทีที่พวกอาเบลมาถึงได้มีผู้ดูแลบ้านออกมาและทักทายพวกอาเบลในทันที ผู้ดูแลคนนี้มีชื่อว่าโรบิ้น
"โรบิ้น อาเบลจะมาอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วยเป็นสักสองสามวัน ทำความสะอาดบ้านและดูแลอาเบลอยู่ด้วยล่ะ" อัศวินมาแชลพูดกับผู้ดูแลบ้านพร้อมกับลงจากรถม้าของเขา
"ค่ะ นายท่าน"
ผู้ดูแลบ้านโรบิ้นรู้ดีว่าอัศวินมาแชลนั้นรับเลี้ยงลูกบุญธรรมมาคนหนึ่ง คนคนนี้จะเป็นเหมือนกับผู้สืบทอดของปราสาทแฮรี่คนต่อไป ถึงจะเป็นแบบนั้นในสักวันแต่ในตอนนี้ผู้ดูแลบ้านโรบิ้นก็ต้องเชื่อฟังคำสั่งของอัศวินมาแชลอยู่ดี ถึงแม้ว่าอัศวินมาแชลจะเป็นผู้นำอยู่แต่เธอก็รู้ดีว่าเธอจะต้องใส่ใจและให้ความสำคัญกับอาเบลเช่นกัน อาเบลก็เป็นเหมือนเจ้านายคนต่อไปของเธอนั่นเอง
นอกจากบ้านพักส่วนตัวของอัศวินมาแชลเอง ที่พักที่ดีที่สุดก็คือที่พักตากอากาศหลังนี้ อัศวินมาแชลได้ให้อาเบลพักอย่างไม่ลังเล
"อาเบล ลูกจะตามพ่อมาหาเพื่อนพ่อไหม หรือลูกจะเดินเล่นในเมืองฮาเวส?"
อัศวินมาแชลเห็นอาเบลลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นั่นทำให้อัศวินมาแชลอดที่จะยิ้มไม่ได้
"ถ้าลูกอยากจะเดินเล่นในเมืองพ่อจะให้โรบิ้นนำทางลูกในเมืองเอง"
อัศวินมาแชลเอาใส่ใจดูแลอาเบลเป็นอย่างดี นอกจากความเข้าใจและความเอาใจใส่แล้วอัศวินมาแชลยังคงเคารพการตัดสินใจของอาเบลอีกด้วย อัศวินมาแชลไม่อยากที่จะบังคับให้อาเบลทำอะไรที่ไม่อยากทำ
สุดท้ายแล้วอาเบลก็ตัดสินใจที่จะเดินเล่นภายในเมืองฮาเวส อาเบลได้ปฏิเสธที่จะให้โรบิ้นคอยนำทางเขา อาเบลได้ออกไปกับม้าตัวหนึ่งเพื่อที่จะเดินสำรวจร้านค้าต่างๆ ในถนนภายในเมือง แม้ว่าถนนภายในเมืองฮาเวสจะกว้างมากแต่เนื่องจากช่วงเทศกาลปีใหม่เองจึงทำให้ผู้คนออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากยิ่งขึ้น
ในระหว่างที่อาเบลกำลังเดินสำรวจร้านค้าต่างๆ อยู่เขาก็พบกับกลุ่มคนที่กำลังคุยกันอย่างเสียงดัง เสียงที่อาเบลได้ยินคุ้นหูของเขามาก อาเบลตัดสินใจที่จะควบม้าไปทางเสียงที่ว่า เจ้าของเสียงที่คุ้นเคยคือซัคนั่นเอง ซัคกำลังโต้เถียงกับชายหนุ่มสามคนที่สวมชุดเกราะหนังอยู่ นอกจากนี้ยังมีสาวผมบลอนด์อายุราวๆ 17-18 ปียืนมองการโต้เถียงอยู่ด้วย หญิงสาวคนนี้ดูฉลาดลักแหลมและขี้เล่น เมื่อเธอหัวเราะออกมาอาเบลสามารถสัมผัสได้ถึงความฉลาดของเธอจากในสายตาตอนนั้น
"พี่!" อาเบลตะโกนอย่างตื่นเต้น มันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่จะมาพบพี่ชายของเขาในที่แบบนี้ อาเบลกระโดดลงจากม้าและวิ่งไปหาซัคในทันที
"อาเบล!" ซัครีบหันมาหาอาเบลพร้อมกับกอดอาเบลในทันที
หลังจากที่กอดอาเบลเสร็จซัคก็หันกลับไปหาชายทั้งสามคนก่อนที่จะบอกกับพวกเขาว่า "นี้น้องชายของฉันเอง อาเบล"
"อาเบล.. นี้มาติน โจชัว และบ๊อบ"
หญิงสาวที่ยืนอยู่ด้วยโค้งคำนับอาเบลก่อนที่จะแนะนำตัวเองอย่างเบาๆ "สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเอมมิลี่" ขณะที่เธอทักทายอาเบลเธอก็พยายามมองไปทั่วทั้งตัวอาเบลด้วยความอยากรู้อยากเห็น
อาเบลโค้งคำนับกลับไป อาเบลเห็นพี่ชายของเขาแอบมองสีหน้าของเอมมิลี่อยู่ อาเบลเดาได้ทันทีว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น ยังไงซัคก็เป็นวัยรุ่นคนหนึ่ง อาเบลพยายามกั้นหัวเราะเอาไว้ เขาลังเลว่าจะเขียนจดหมายบอกแม่เรื่องซัคดีไหม
มาตินไม่เคยคิดมาก่อนว่าอาเบลที่ซัคเคยพูดถึงจะเป็นเด็กแบบนี้ มาตินเกิดความสงสัยขึ้นมาก่อนถามขึ้นว่า "นายเป็นคนสร้างดาบร้อยทักษะให้กับซัคหรอ?"
อาเบลยิ้มก่อนพยักหน้าและตอบกลับไปว่า "ใช่ครับ"
"ว้าว จริงๆ หรอ?!" มาตินตอบกลับทันทีพร้อมกับพูดต่อไปว่า "เป็นเกียรติมากที่ได้พบกัน! ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านายจะเป็นเด็กแบบนี้!"
ติดตามแฟนเพจอัพเดทข่าวสารก่อนใคร ND Translate นิยายแปลไทย