บทที่ 9 ความแปลกประหลาด
กาเว่นยืนมองขอบฟ้าอยู่นาน ความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่เขารู้กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นมากเกินไป ภาพตรงหน้านั้นห่างไกลจากดวงอาทิตย์ที่เขารู้จักนัก
กาเว่นจ้องมองส่วนเว้าโค้งอันงดงามที่ค่อยๆเลื่อนขึ้นมาจากขอบฟ้าเรื่อยๆ มันเปล่งแสงออกมาพร้อมกับขอบที่พร่ามัว เขาคิดว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่ให้แสงสว่างและความอบอุ่นแก่โลกใบนี้
หลังจากตรวจสอบสิ่งตรงหน้าสักพัก เขาก็พบว่า ถ้ามันใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ที่เขารู้จักนับร้อยเท่า ก็หมายความว่ามันอยู่ใกล้กับดวงดาวที่เขายืนอยู่มาก
ถ้ามันลอยขึ้นมาจนหมดเมื่อไร นั่นหมายความว่ามันจะกินพื้นที่หนึ่งในห้าทั้งหมดของท้องฟ้า...อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงการคาดเดาทั้งหมดของเขา
เขาพยายามค้นห้าข้อมูลเรื่องนี้จากความทรงจำของ กาเว่น เซซิล และพบฉากพระอาทิตย์ขึ้นเช่นนี้เป็นปกติ
แต่คำอธิบายสำหรับเรื่องนี้คืออะไร?
กาเว่นเริ่มวิเคราะห์ตามสิ่งที่ตัวเองรู้ บางทีหลักฟิสิกส์ของที่นี่ต่างจากดาวโลกที่เขาจากมา แสงและความร้อนจึงไม่ได้ส่งผลกระทบกับดาวเคราะห์ดวงนี้มากนัก หรือบางทีสิ่งที่เขาคิดว่ามันคือดาวฤกษ์ มันอาจจะเป็นหลุมที่เปล่งแสงได้ และความร้อนก็ไม่ใช่เรื่องทางวิทยาศาสตร์แต่เป็นเรื่องของเวทย์มนตร์...
หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าสิ่งที่ดาวเคราะห์โคจรอยู่คือดาวแก็สยักษ์ นั่นหมายความว่าดาวเคราะห์ที่เขายืนอยู่เป็นเพียงดาวบริวารอีกที....
"ท่านบรรพบุรุษ..ท่านบรรพบุรุษ?" เสียงของเฮอร์ตี้ดังขึ้นขัดความคิดของกาเว่น
"หืม...มีอะไรรึ?" กาเว่นได้สติ
หญิงสาวสูงศักดิ์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตอบด้วยความเร่งรีบทนที "ท่านบรรพบุรุษอาจกำลังฝันกลางวันอยู่ แต่พวกเราต้องรีบไปจากที่นี่"
กาเว่นอ้ำๆอึ้งๆ ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ในพื้นที่เปิดโล่งไร้การป้องกัน การยืนอยู่ที่นี่ แบบงงๆจึงไม่ใช่เรื่องดีนัก "มุ่งหน้าไปยังพื้นที่สูงเพื่อตรวจสอบพื้นที่รอบๆ ภูมิประเทศแถวนี้อาจจะเปลี่ยนไปหลังจากที่ข้าตายไปเกินเจ็ดร้อยปี"
ภายใต้การนำของกาเว่นทุกคนเดินขึ้นไปบนเนินเขา ระหว่างทางกาเว่นหันไปดู"ดวงอาทิย์"ที่มีขนาดใหญ่หลายครั้ง
"ท่านบรรพบุรุษกำลังมองดวงอาทิตย์อยู่งั้นหรือ?" รีเบคก้าถามขึ้นมาด้วยความสงสัย "มันมีปัญหาอะไรงั้นหรือ?"
แอมเบอร์ที่อยู่ข้างๆเหน็บนางทันที "บรรพบุรุษของเจ้าไม่ได้เห็นแสงสว่างมาเจ็ดร้อยปี เป็นเรื่องปกติที่เขาจะมองดวงอาทิตย์บ่อยๆ"
กาเว่นไม่สนใจแอมเบอร์ เขามองรีเบคก้าและส่ายหัวเล็กน้อย จากการพูดคุยของพวกนางทำให้เขายืนยันได้ว่า คนบนโลกนี้เรียกสิ่งที่อยู่บนฟ้าขนาดใหญ่ว่า "ดวงอาทิตย์" เช่นกัน
ส่วนที่ยังมืดอยู่ของท้องฟ้ามีดวงดาวที่ส่องสว่างกว่าดวงอื่น
ผู้คนในโลกนี้เรียกมันว่า "โอ" ซึ่งมีความหมายทางศาสนาและเป็นสัญลักษณ์ต่างๆมากมาย
ไม่นานกาเว่นก็เดินมาถึงจุดสูงสุดของเนินเขา
ทอดสายตาออกไปไกล เขาเห็นดินแดนที่มีรอยแผลลึกลับกำลังถูกเผาไหม้ด้วยไฟสงคราม
เหมือนกับผิวหนังที่ถูกน้ำกรดราดใส่ หินและพื้นดินแตกระแหงมีสีดำคล้ำ รอยแตกขนาดใหญ่ลากยาวไปทั่ว พืชพันธุ์เน่าเปื่อยบิดงอ นอกจากนี้พวกเขายังเห็นกำแพงบ้านเรือนที่ถล่มลงมากลายเป็นซาก ปราสาทตระกูลเซซิลปกคลุมไปด้วยควัน
ทุ่งนาและพืชผลถูกทำลายจากการเคลื่อนทัพของพวกอสูร
"ดินแดนของตระกูล..."รีเบคก้าคุกเข่าลงบนเนิน นางกัดฟันแน่น ดวงตาของนางแดงก่ำพร้อมน้ำตาที่ไหลนองออกมาเพราะความโกรธแค้นและโศกเศร้า นางเพิ่งจะกลายเป็นหัวหน้าตระกูล แต่กลับต้องสูญเสียทุกอย่างไปในเวลาไม่นาน
"แผ่นดินมักจะเป็นเช่นนี้หลังจากถูกทำลายโดยพวกอสูร" กาเว่นถอนหายใจ "จากนั้นอาณาจักรกอนดอร์ก็ถูกทำลายทั้งภายในและภายนอก ข้าคาดเดาว่าการเน่าเปื่อยจะคงอยู่ที่ดินแดนรกร้างของกอนดอร์เท่านั้น แต่ตอนนี้มันปรากฎขึ้นอีกครั้ง"
แอมเบอร์พูดออกมาด้วยเสียงอันหนาวเหน็บ "เทพแห่งเงาทรงโปรด...พวกเรากำลังถูกล้อมไปด้วยสิ่งพวกนี้งั้นหรือ?"
เฮอร์ตี้ไตร่ตรองถึงโอกาสในการฟื้นตัวของดินแดน "ยังมีโอกาสรักษาผืนดินได้อีกไหม?"
"ไม่" กาเว่นส่ายหัว "พวกเจ้าไม่ได้ขัดขวางพวกอสูรล่วงหน้า รวมถึงธาตุๆต่างได้ถูกปนเปื้อนด้วยไอปีศาจแล้ว แม้สิ่งผิดปกติทั้งหมดจะถูกทำลายไป แต่สิ่งปนเปื้อนก็ยังคงอยู่อีกแสนนาน"
"นานแค่ไหนกัน?" เฮอร์ตี้ดูเหมือนจะยังไม่ยอมแพ้
"มนุษย์ได้กลับไปที่กอนดอร์หรือยัง?" กาเว่นถามคำถามที่ดูจะไม่เกี่ยวข้องกัน
"....ไม่ มันคงไร้ซึ่งชีวิต ไม่มีใครกล้าเหยียบย่ำไปยังอีกฝั่งของกำแพง"
กาเว่นยักไหล่ "ดูเหมือนว่าการเน่าเปื่อยของดินแดนเซซิลจะดำเนินไปอีกอย่างน้อยเจ็ดร้อยปีเช่นกัน"
รีเบคก้าและเฮอร์ตี้จ้องมองกาเว่น พวกนางไม่เข้าใจว่าวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลเซซิลทนได้อย่างไรเมื่อเห็นอสูรทำลายดินแดนที่เขาสร้างมากับมือ เขาไม่โกรธไม่เศร้า ราวกับเรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
กาเว่นสังเกตุเห็นสายตาของพวกนางอย่างรวดเร็ว "มีอะไรงั้นรึ?"
"ท่านบรรพบุรุษ ท่าน...ไม่โกรธงั้นหรือ?" รีเบคก้าถามขึ้นมา "นี่เป็นดินแดนสุดท้ายของตระกูลเซซิล..."
กาเว่นนิ่งอึ้ง เขานึกได้ในทันทีว่าตัวเองกำลังเล่นไม่สมบทบาท เขาเร่งคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว "การหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ไม่เป็นประโยชน์ แม้ข้าจะเป็นผู้บุกเบิกและสร้างทุกสิ่งขึนมาด้วยในมือของตัวเอง แต่ถ้าทุกอย่างจะหายไปยังไงมันก็ต้องหายไป อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ยังหาที่อยู่ใหม่ได้เสมอ การไปหมกมุ่นกับเรื่องพวกนั้นจะมีประโยชน์อะไร?"
รีเบคก้าและเฮอร์ตี้พยักหน้าทันที ความใจกว้างและวิสัยทัศน์ทำให้พวกนางชื่มชมกาเว่นมากขึ้นเรื่อยๆ
"ที่นี่ไม่มีอะไรให้ดูอีกแล้ว สิ่งต่อไปที่ควรทำคือวางแผนการเดินทาง เพื่อหาเมืองและหาผู้รอดชีวิต" กาเว่นอาศัยฐานะบรรพบุรุษของตัวเองรีบเปลี่ยนหัวเรื่องทันที "ข้าจำได้ว่าอัศวินฟิลิปได้ฝ่าออกไปพร้อมกับคนจำนวนหนึ่ง เจ้าได้ตกลงสถานที่นัดพบกับเขาไว้หรือไม่?"
รีเบคก้าตอบอย่างรวดเร็ว "พวกเราตกลงว่าจะพบกันที่เมืองแทนซาน ทางเหนือ ถ้าเมืองแทนซานถูกโจมตีด้วยพวกอสูรด้วย พวกเขาจะมุ่งหน้าไปทางเหนือต่อไป ตามถนนราชา"
กาเว่นพยักหน้า ขณะที่เขาจะเดินต่อ ความรู้สึกแปลกๆทำให้เขาหยุดเดินอีกครั้ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาและไบรอนก็ตะโกนออกมาแทบจะพร้อมกัน "ซ่อนเร็วเข้า!"
โดยบังเอิญรีเบคก้าและเฮอร์ตี้ตามไบรอนไปซ่อนด้านหลังหินก้อนใหญ่ แอมเบอร์หายไปในเงามืดตั้งแต่ตอนที่กาเว่นอ้าปาก กาเว่นเองก็ซ่อนตัวอยู่หลังรีเบคก้าอีกที อย่างไรก็ตามเขาเห็นเบ็ตตี้กำลังจับกระทะแน่นยืนนิ่งอยู่กับที่ เขารีบพุ่งเข้าไปดึงนางมาหลบหลังหินทันที
ไม่นานทุกคนก็รู้สึกหนักอึ้งราวกับถูกกดทับด้วยขุนเขา
ท่ามกลางท้องฟ้าสว่างจ้า สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่บินผ่านท้องฟ้าไปช้าๆ
มันเป็นมังกรขนาดใหญ่กว่าสิบเมตร
ด้วยความหวาดกลัวเฮอร์ตี้ร่ายคาถาระดับสาม "บิดเบือนตำแหน่ง" ของทุกคนเพื่อหลอกสัตว์ประหลาดในตำนานทันที
อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่ามันตัวใหญ่เกินไปหรือพวกเขาไร้ค่าเกินไป มันกระพือปีกบินไปทั่วท้องฟ้าอย่างช้าๆ
ในดวงตาของมันสะท้อนภาพของดินแดนเซซิลอันย่อยยับ
จากนั้นมันก็อ้าปากออกและ...พ่นไฟลงไปบนพื้นดิน