บทที่ 10 ปัญหาในมือ
"มังกร" ไม่เคยปรากฎตัวบนโลกมนุษย์มานานหลายร้อยปี สำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีสมองต่างยกให้มังกรเป็นสัตว์ร้ายที่อยู่ระหว่างความเป็นจริงและตำนาน พวกเขามั่นใจว่ามันมีอยู่จริง แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นด้วยตาตัวเองมาก่อน
ยกเว้นพวกเอล์ฟที่ลึกลับและอายุยืนผู้อาศัยอยู่ทางใต้ของทวีป พวกเขามีอายุยืนยาวพอที่จะเผชิญหน้ากับมังกร ในบันทึกของพวกเขาเอล์ฟได้เล่าเรื่องการเผชิญหน้ากับมังกรถึงสองครั้ง
สิ่งมีชีวิตที่สง่างามแต่ทรงพลัง ด้วยเกล็ดสีน้ำเงินเข้มและปีกขนาดใหญ่บินไปทั่วท้องฟ้า พ่นไฟอันรุนแรงลงมาบนพื้นดิน เปลวไฟร้อนจัดสีขาวที่เต็มไปด้วยเวทย์มนตร์โบราณ พวกมันสามารถเผาผลาญพื้นดินให้เป็นนรกได้ในชั่วพริบตา
มังกรวนเวียนอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังตรวจสอบการทำงานของตัวเอง ก่อนที่จะกระพือปีกหายไปในกลีบเมฆช้าๆ
กาเว่นได้ยินเสียงหายใจเข้าออกสองสามครั้ง ตอนนี้ทุกคนสามารถหายใจได้อย่างอิสระ
"ม...มังกร..."รีเบคก้าจับไม้เท้าด้วยมืออันสั่นเทา "ท่านบรรพบุรุษ ข้า...เห็นมังกร"
กาเว่นกระแอ่ม "อะแฮ่ม บอกข้าเกี่ยวกับมันสิ"
เมื่อรีเบคก้าได้สติ นางก็มองไปที่กาเว่นด้วยความอายเล็กน้อน ก่อนที่จะหันไปมองดินแดนเซซิลด้วยดวงตาสั่นเทา
หลังจากถูกทำลายด้วยอสูร ตอนนี้ยังถูกเผาเป็นจุลด้วยมังกร ดินแดนนี้ไร้ประโยชน์จริงๆแล้ว
และอสูรเหล่านั้น...พวกมันกลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้ลมหายใจของมังกร แม้บางตัวจะรอดชีวิต แต่สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเปลวไฟไม่นานพวกมันก็จะตายลง
"ข้าคิดว่ามังกรเป็นเรื่องในตำนาน" ไบรอนผู้เงียบขรึมกล่าวขึ้นมา ทหารทั้งสามคนต่างอ่อนแรงเพราะแรงกดดันของมังกร ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นยืนอยู่ "ท่านเคยพบมังกรมาก่อนไหม?"
"ไม่" กาเว่นส่ายหน้า "มังกรเป็นเผ่าพันธ์ุที่ลึกลับ แม้เกิดความวุ่นวายขึ้นในทวีปลอเรนเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน พวกมันก็ไม่เคยเข้าแทรกแซงเรื่องทางโลก"
แม้ว่าจะพูดอย่างนี้ กาเว่นก็ไม่ได้แปลกใจที่เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เหล่านี้ เพราะเขาเคยเห็นมังกรมาก่อนจากด้านบนท้องฟ้า เขาเคยเห็นพวกมันปรากฎผ่านสายตาของเขาไปมากกว่าหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ตามชีวิตของพวกมันเป็นปริศนา แม้กาเว่นจะลอยอยู่บนท้องฟ้าไปตลอดชั่วนิรันดร์ก็ใช่ว่าเขาจะเจอมังกรได้ง่ายนัก บวกกับภาพที่ยุ่งเหยิงทำให้เขารู้เรื่องมังกรไม่มากนัก
ทันใดนั้นเงาด้านหลังกาเว่นก็สั่นสองครั้ง กาเว่นหันไปดูและพบว่าแอมเบอร์ยืนอยู่ด้านหลังของเขาแล้ว ใบหน้าของนางยังแสดงความตกใจออกมาพร้อมกับมีดที่อยู่ในมือ
"ข้าเห็นมังกรด้วย!" แอมเบอร์ตะโกนเสียงดัง "แม่ของข้าต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าข้าเห็นมังกร! มันตัวใหญ่มาก!"
"อืม อืม ทุกคนก็เห็นมัน" กาเว่นมองแอมเบอร์ด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย "เจ้าไปไหนมา?"
"ในรอยแตกระหว่างหิน" แอมเบอร์พูดพร้อมตบอกด้วยความภูมิใจ "ทักษะการหนีของข้านั้นยอดเยี่ยมที่สุด!"
กาเว่นกุมหัวพร้อมถอนหายใจ"เจ้าเก่งจริงๆถ้าใช้เงา แต่การต่อสู้ของเจ้านั้นแย่กว่าห่านเสียอีก ไม่มีอะไรน่าอวด"
จากนั้นเขาก็ส่ายหัว "รีบไปกันเถอะอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์"
กาเว่นเดินลงจากเนินเขา แม้ว่ามังกรจะจากไปแล้วใช่ว่าจะมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นไม่ได้อีก การออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเป็นตัวเลือกที่สมควรทำที่สุด อย่างไรก็ตามสายตาอันซับซ้อนของเฮอร์ตี้กำลังมองอยู่ที่ดินแดนเซซิล "ท่านบรรพบุรุษ...มังกรตัวนั้นเผาดินแดนของพวกเรา"
"มันเป็นแค่ซากปรักหักพังอยู่แล้ว มันน่าจะจุดไฟเผาพวกอสูรมากกว่า" กาเว่นมองไปที่เฮอร์ตี้ ก่อนหน้านี้เขาสังเกตุเห็นว่ามังกรพ่นไปลงไปยังจุดที่มีอสูรอยู่หนาแน่นมากที่สุด "ดินแดนเซซิลไม่เคยมีมังกรปรากฎตัวมาก่อน"
"แต่..."
"เจ้าต้องการหาความยุติธรรมจากมังกรงั้นหรือ?" กาเว่นยักไหล่ "หากเจ้าต้องการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ตอนนี้คือรายงานข่าวเรื่องอสูรและมังกร"
เฮอร์ตี้ไม่สามรถโต้เถียงอะไรได้อีก นางทำได้แค่พยักหน้าเท่านั้น
จริงๆแล้วกาเว่นรู้ว่าเฮอร์ตี้รู้สึกยังไง ดินแดนเซซิลเป็นบ้านที่นางเติบโต แม้พวกมันจะถูกทำลายไปจนหมดนางก็ไม่สามารถลืมได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามแม้กาเว่นจะเข้าใจ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้สึกแบบนางได้ เพราะเขาไม่ได้เป็นบรรพบุรุษของนางจริงๆ...
ด้วยอารมณ์อันหลากลายทุกคนเดินออกมาจากพื้นที่แถวนี้และเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่อไปของพวกเขา ป่าที่มีต้นไม้หนาทึบ
ด้วยมือที่ยกไม้เท้าข้างเดียว เฮอร์ตี้วาดอักษรรูนขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็มองไปยังป่าทึบและกล่าวออกมา "พวกเราสามารถไปถึงถนนหลักได้ผ่านป่านี้เท่านั้น เป็นทางเดียวที่พวกเราจะไปถึงแทนซาน"
ใบหน้าของกาเว่นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความอิจฉาที่ปกปิดเอาไว้ "เวทย์มนตร์ดูเหมือนสิ่งที่สะดวกสบายมาก..."
"ท่านบรรพบุรุษ?" เฮอร์ตี้สับสนเล็กน้อยก่อนที่จะแสดงความกลัวออกมา "เวทย์มนตร์ของข้าทำให้ท่านไม่พอใจงั้นหรือ?"
กาเว่นประหลาดใจ "หืม? ทำไมข้าถึงต้องไม่พอใจด้วย"
"อัศวินนั้นเป็นรากฐานของตระกูลเซซิลมาตลอด จิตวิญญานของตระกูลย่อมเป็นศิลปะการต่อสู้และอัศวิน แต่ข้าและรีเบคก้ากลับเลือกเป็นผู้วิเศษแทน...ถ้าเป็นเมื่อหนึ่งรอยปีที่แล้วต้องมีปัญหาแน่นอน และรีเบคก้าคงไม่มีสิทธิ์ได้รับสืบทอดตำแห่นงผู้นำตระกูล" เฮอร์ตี้อธิบายอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย "จนกระทั่งเกิดเรื่องนั้นขึ้น ชื่อเสียงของตระกูลไม่ดีเท่าไรนัก รวมถึงนักเวทย์ที่ขาดแคลนนั่นหมายความว่าพวกเราจะได้รับการยอมรับจากโลกภายนอกมากกว่า...แต่มันก็ถือเป็นการละเมิดกฎของตระกูลอยู่ดี"
กาเว่นถามต่อ "ใครเป็นคนตั้งกฎบ้าๆเช่นนี้?"
ในฐานะที่เขาเป็นคนใจกว้าง เขาค่อนข้างเกลียดคนที่อวดดีเรื่องกฎ
อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาพูดจบ บรรยากาศก็แปลกไป ไบรอนแกล้งทำเป็นผูกเชือกรองเท้าแม้เขาจะสวมรองเท้าเหล็กอยู่ก็ตาม ขณะที่รีเบคก้ายกนิ้วชี้มาที่กาเว่นด้วยความหวาดกลัว
กาเว่น"..."
จากนั้นความทรงจำของเขาก็ค่อยๆย้อนคืนมา...
กาเว่น เซซิล บุรุษผู้เยาว์วัยได้ร่วมก่อตั้งอาณาจักรอันซุกับชาร์ลีที่หนึ่ง ทั้งคู่ต่างเป็นเพื่อนสนิทกันและพูดคุยกันตลอดเวลาว่าโลกควรเป็นเช่นไร ตอนนั้นพวกเขาพยายามพาพวกพ้องหลบหนีไปทางเหนือแล้วกลายเป็นผู้บุกเบิกและก่อตั้งอาณาจักรใหม่ในที่สุด พวกเขาทำนายว่าตัวเองจะกลายเป็นรุ่นแรกของขุนนาง และตราบใดที่พวกเขามีลูกหลาน ตระกูลของพวกเขาจะกลายเป็นตระกูลโบราณที่มีมรดกมากมาย...
ดังนั้นเหล่าผู้บุกเบิกที่เคลิบเคลิ้มกับฝันหวานได้กำหนดมาตรฐานและกฎเกณฑ์ของตระกูลตัวเองขึ้น
ดังนั้นกาเว่น เซซิล เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อนได้กระดกแก้วเบียร์มองดูดาบของอัศวินที่วางอยู่ข้างกายพร้อมกับร่างกฎเหล่านี้ไว้
'อัศวินย่อมเป็นที่หวาดหวั่นมากกว่าจอมเวทย์'
เมื่อชาร์ลีเห็นเช่นนั้นเขายินดีมากและช่วยเขียนบรรทัดต่อไป
'กาเว่นพูดความจริง'
สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นเครื่องชี้นำตระกูลเซซิลตั้งแต่นั้นมา...แม้ด้านผู้ให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาชาร์ลีจะคัดค้านอย่างหนักก็ตาม
ราชาผู้ยิ่งใหญ่จะสร้างนโยบายขึ้นจากความเมามายได้เยี่ยงไร อย่างไรก็ตาม กาเว่น เซซิล เลือกที่จะใช้สิ่งนี้เป็นกฎของตระกูล
หลังจากเรื่องนี้โผล่เข้ามาในหัวของกาเว่น กาเว่นมองไปที่รีเบคก้าและเฮอร์ตี้ด้วยความกระอักกระอวนเล็กน้อย
เขาถอนหายใจ "ตอนนั้นข้าแค่เมา งั้นทำเป็นว่าไม่เคยมีกฎเช่นนั้นละกัน..."
เฮอร์ตี้และรีเบคก้า"..."
ขณะที่กาเว่นกำลังอาย เขาได้ถูกช่วยไว้ด้วยเสียงท้องร้องของแอมเบอร์
"แม้ข้าจะรู้ว่ามันไม่เหมาะสมที่จะขัดการพูดคุยในครอบครัว...แต่ข้าหิวแล้ว"
ราวกับเสียงคำรามจากท้องของแอมเบอร์เป็นตัวเร่งปฏิกริยา เพราะท้องของทุกคนเริ่มร้องตามทันที แม้แต่กาเว่นก็ไม่มีข้อยกเว้น
เขาพึ่งรู้ตัวว่าทุกคนไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลานานแล้ว
นอกจากนี้เขาที่นอนหลับมานานกว่าเจ็ดร้อยปีได้ขาดอาหารมานานกว่าคนอื่นมากนัก ครั้งสุดท้ายที่เขาได้กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยนั้นผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ