ตอนที่แล้วบทที่ 9 ความแปลกประหลาด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 11 ถนนที่ทอดยาว

บทที่ 10 ปัญหาในมือ


"มังกร" ไม่เคยปรากฎตัวบนโลกมนุษย์มานานหลายร้อยปี สำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีสมองต่างยกให้มังกรเป็นสัตว์ร้ายที่อยู่ระหว่างความเป็นจริงและตำนาน พวกเขามั่นใจว่ามันมีอยู่จริง แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นด้วยตาตัวเองมาก่อน

ยกเว้นพวกเอล์ฟที่ลึกลับและอายุยืนผู้อาศัยอยู่ทางใต้ของทวีป พวกเขามีอายุยืนยาวพอที่จะเผชิญหน้ากับมังกร ในบันทึกของพวกเขาเอล์ฟได้เล่าเรื่องการเผชิญหน้ากับมังกรถึงสองครั้ง

สิ่งมีชีวิตที่สง่างามแต่ทรงพลัง ด้วยเกล็ดสีน้ำเงินเข้มและปีกขนาดใหญ่บินไปทั่วท้องฟ้า พ่นไฟอันรุนแรงลงมาบนพื้นดิน เปลวไฟร้อนจัดสีขาวที่เต็มไปด้วยเวทย์มนตร์โบราณ พวกมันสามารถเผาผลาญพื้นดินให้เป็นนรกได้ในชั่วพริบตา

มังกรวนเวียนอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังตรวจสอบการทำงานของตัวเอง ก่อนที่จะกระพือปีกหายไปในกลีบเมฆช้าๆ

กาเว่นได้ยินเสียงหายใจเข้าออกสองสามครั้ง ตอนนี้ทุกคนสามารถหายใจได้อย่างอิสระ

"ม...มังกร..."รีเบคก้าจับไม้เท้าด้วยมืออันสั่นเทา "ท่านบรรพบุรุษ ข้า...เห็นมังกร"

กาเว่นกระแอ่ม "อะแฮ่ม บอกข้าเกี่ยวกับมันสิ"

เมื่อรีเบคก้าได้สติ นางก็มองไปที่กาเว่นด้วยความอายเล็กน้อน ก่อนที่จะหันไปมองดินแดนเซซิลด้วยดวงตาสั่นเทา

หลังจากถูกทำลายด้วยอสูร ตอนนี้ยังถูกเผาเป็นจุลด้วยมังกร ดินแดนนี้ไร้ประโยชน์จริงๆแล้ว

และอสูรเหล่านั้น...พวกมันกลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้ลมหายใจของมังกร แม้บางตัวจะรอดชีวิต แต่สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยเปลวไฟไม่นานพวกมันก็จะตายลง

"ข้าคิดว่ามังกรเป็นเรื่องในตำนาน" ไบรอนผู้เงียบขรึมกล่าวขึ้นมา ทหารทั้งสามคนต่างอ่อนแรงเพราะแรงกดดันของมังกร ตอนนี้กำลังพยายามลุกขึ้นยืนอยู่ "ท่านเคยพบมังกรมาก่อนไหม?"

"ไม่" กาเว่นส่ายหน้า "มังกรเป็นเผ่าพันธ์ุที่ลึกลับ แม้เกิดความวุ่นวายขึ้นในทวีปลอเรนเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน พวกมันก็ไม่เคยเข้าแทรกแซงเรื่องทางโลก"

แม้ว่าจะพูดอย่างนี้ กาเว่นก็ไม่ได้แปลกใจที่เห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เหล่านี้ เพราะเขาเคยเห็นมังกรมาก่อนจากด้านบนท้องฟ้า เขาเคยเห็นพวกมันปรากฎผ่านสายตาของเขาไปมากกว่าหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ตามชีวิตของพวกมันเป็นปริศนา แม้กาเว่นจะลอยอยู่บนท้องฟ้าไปตลอดชั่วนิรันดร์ก็ใช่ว่าเขาจะเจอมังกรได้ง่ายนัก บวกกับภาพที่ยุ่งเหยิงทำให้เขารู้เรื่องมังกรไม่มากนัก

ทันใดนั้นเงาด้านหลังกาเว่นก็สั่นสองครั้ง กาเว่นหันไปดูและพบว่าแอมเบอร์ยืนอยู่ด้านหลังของเขาแล้ว ใบหน้าของนางยังแสดงความตกใจออกมาพร้อมกับมีดที่อยู่ในมือ

"ข้าเห็นมังกรด้วย!" แอมเบอร์ตะโกนเสียงดัง "แม่ของข้าต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าข้าเห็นมังกร! มันตัวใหญ่มาก!"

"อืม อืม ทุกคนก็เห็นมัน" กาเว่นมองแอมเบอร์ด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย "เจ้าไปไหนมา?"

"ในรอยแตกระหว่างหิน" แอมเบอร์พูดพร้อมตบอกด้วยความภูมิใจ "ทักษะการหนีของข้านั้นยอดเยี่ยมที่สุด!"

กาเว่นกุมหัวพร้อมถอนหายใจ"เจ้าเก่งจริงๆถ้าใช้เงา แต่การต่อสู้ของเจ้านั้นแย่กว่าห่านเสียอีก ไม่มีอะไรน่าอวด"

จากนั้นเขาก็ส่ายหัว "รีบไปกันเถอะอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์"

กาเว่นเดินลงจากเนินเขา แม้ว่ามังกรจะจากไปแล้วใช่ว่าจะมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นไม่ได้อีก การออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเป็นตัวเลือกที่สมควรทำที่สุด อย่างไรก็ตามสายตาอันซับซ้อนของเฮอร์ตี้กำลังมองอยู่ที่ดินแดนเซซิล "ท่านบรรพบุรุษ...มังกรตัวนั้นเผาดินแดนของพวกเรา"

"มันเป็นแค่ซากปรักหักพังอยู่แล้ว มันน่าจะจุดไฟเผาพวกอสูรมากกว่า" กาเว่นมองไปที่เฮอร์ตี้ ก่อนหน้านี้เขาสังเกตุเห็นว่ามังกรพ่นไปลงไปยังจุดที่มีอสูรอยู่หนาแน่นมากที่สุด "ดินแดนเซซิลไม่เคยมีมังกรปรากฎตัวมาก่อน"

"แต่..."

"เจ้าต้องการหาความยุติธรรมจากมังกรงั้นหรือ?" กาเว่นยักไหล่ "หากเจ้าต้องการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ตอนนี้คือรายงานข่าวเรื่องอสูรและมังกร"

เฮอร์ตี้ไม่สามรถโต้เถียงอะไรได้อีก นางทำได้แค่พยักหน้าเท่านั้น

จริงๆแล้วกาเว่นรู้ว่าเฮอร์ตี้รู้สึกยังไง ดินแดนเซซิลเป็นบ้านที่นางเติบโต แม้พวกมันจะถูกทำลายไปจนหมดนางก็ไม่สามารถลืมได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตามแม้กาเว่นจะเข้าใจ แต่ก็ใช่ว่าเขาจะรู้สึกแบบนางได้ เพราะเขาไม่ได้เป็นบรรพบุรุษของนางจริงๆ...

ด้วยอารมณ์อันหลากลายทุกคนเดินออกมาจากพื้นที่แถวนี้และเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่อไปของพวกเขา ป่าที่มีต้นไม้หนาทึบ

ด้วยมือที่ยกไม้เท้าข้างเดียว เฮอร์ตี้วาดอักษรรูนขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็มองไปยังป่าทึบและกล่าวออกมา "พวกเราสามารถไปถึงถนนหลักได้ผ่านป่านี้เท่านั้น เป็นทางเดียวที่พวกเราจะไปถึงแทนซาน"

ใบหน้าของกาเว่นเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความอิจฉาที่ปกปิดเอาไว้ "เวทย์มนตร์ดูเหมือนสิ่งที่สะดวกสบายมาก..."

"ท่านบรรพบุรุษ?" เฮอร์ตี้สับสนเล็กน้อยก่อนที่จะแสดงความกลัวออกมา "เวทย์มนตร์ของข้าทำให้ท่านไม่พอใจงั้นหรือ?"

กาเว่นประหลาดใจ "หืม? ทำไมข้าถึงต้องไม่พอใจด้วย"

"อัศวินนั้นเป็นรากฐานของตระกูลเซซิลมาตลอด จิตวิญญานของตระกูลย่อมเป็นศิลปะการต่อสู้และอัศวิน แต่ข้าและรีเบคก้ากลับเลือกเป็นผู้วิเศษแทน...ถ้าเป็นเมื่อหนึ่งรอยปีที่แล้วต้องมีปัญหาแน่นอน และรีเบคก้าคงไม่มีสิทธิ์ได้รับสืบทอดตำแห่นงผู้นำตระกูล" เฮอร์ตี้อธิบายอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย "จนกระทั่งเกิดเรื่องนั้นขึ้น ชื่อเสียงของตระกูลไม่ดีเท่าไรนัก รวมถึงนักเวทย์ที่ขาดแคลนนั่นหมายความว่าพวกเราจะได้รับการยอมรับจากโลกภายนอกมากกว่า...แต่มันก็ถือเป็นการละเมิดกฎของตระกูลอยู่ดี"

กาเว่นถามต่อ "ใครเป็นคนตั้งกฎบ้าๆเช่นนี้?"

ในฐานะที่เขาเป็นคนใจกว้าง เขาค่อนข้างเกลียดคนที่อวดดีเรื่องกฎ

อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาพูดจบ บรรยากาศก็แปลกไป ไบรอนแกล้งทำเป็นผูกเชือกรองเท้าแม้เขาจะสวมรองเท้าเหล็กอยู่ก็ตาม ขณะที่รีเบคก้ายกนิ้วชี้มาที่กาเว่นด้วยความหวาดกลัว

กาเว่น"..."

จากนั้นความทรงจำของเขาก็ค่อยๆย้อนคืนมา...

กาเว่น เซซิล บุรุษผู้เยาว์วัยได้ร่วมก่อตั้งอาณาจักรอันซุกับชาร์ลีที่หนึ่ง ทั้งคู่ต่างเป็นเพื่อนสนิทกันและพูดคุยกันตลอดเวลาว่าโลกควรเป็นเช่นไร ตอนนั้นพวกเขาพยายามพาพวกพ้องหลบหนีไปทางเหนือแล้วกลายเป็นผู้บุกเบิกและก่อตั้งอาณาจักรใหม่ในที่สุด พวกเขาทำนายว่าตัวเองจะกลายเป็นรุ่นแรกของขุนนาง และตราบใดที่พวกเขามีลูกหลาน ตระกูลของพวกเขาจะกลายเป็นตระกูลโบราณที่มีมรดกมากมาย...

ดังนั้นเหล่าผู้บุกเบิกที่เคลิบเคลิ้มกับฝันหวานได้กำหนดมาตรฐานและกฎเกณฑ์ของตระกูลตัวเองขึ้น

ดังนั้นกาเว่น เซซิล เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อนได้กระดกแก้วเบียร์มองดูดาบของอัศวินที่วางอยู่ข้างกายพร้อมกับร่างกฎเหล่านี้ไว้

'อัศวินย่อมเป็นที่หวาดหวั่นมากกว่าจอมเวทย์'

เมื่อชาร์ลีเห็นเช่นนั้นเขายินดีมากและช่วยเขียนบรรทัดต่อไป

'กาเว่นพูดความจริง'

สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นเครื่องชี้นำตระกูลเซซิลตั้งแต่นั้นมา...แม้ด้านผู้ให้คำแนะนำและให้คำปรึกษาชาร์ลีจะคัดค้านอย่างหนักก็ตาม

ราชาผู้ยิ่งใหญ่จะสร้างนโยบายขึ้นจากความเมามายได้เยี่ยงไร อย่างไรก็ตาม กาเว่น เซซิล เลือกที่จะใช้สิ่งนี้เป็นกฎของตระกูล

หลังจากเรื่องนี้โผล่เข้ามาในหัวของกาเว่น กาเว่นมองไปที่รีเบคก้าและเฮอร์ตี้ด้วยความกระอักกระอวนเล็กน้อย

เขาถอนหายใจ "ตอนนั้นข้าแค่เมา งั้นทำเป็นว่าไม่เคยมีกฎเช่นนั้นละกัน..."

เฮอร์ตี้และรีเบคก้า"..."

ขณะที่กาเว่นกำลังอาย เขาได้ถูกช่วยไว้ด้วยเสียงท้องร้องของแอมเบอร์

"แม้ข้าจะรู้ว่ามันไม่เหมาะสมที่จะขัดการพูดคุยในครอบครัว...แต่ข้าหิวแล้ว"

ราวกับเสียงคำรามจากท้องของแอมเบอร์เป็นตัวเร่งปฏิกริยา เพราะท้องของทุกคนเริ่มร้องตามทันที แม้แต่กาเว่นก็ไม่มีข้อยกเว้น

เขาพึ่งรู้ตัวว่าทุกคนไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลานานแล้ว

นอกจากนี้เขาที่นอนหลับมานานกว่าเจ็ดร้อยปีได้ขาดอาหารมานานกว่าคนอื่นมากนัก ครั้งสุดท้ายที่เขาได้กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยนั้นผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด