ตอนที่ 26: เศร้าโศก จากไป มาเยือน [ฟรี 24 พ.ค. 63]
ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ
••••••••••••••••••••
นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล
••••••••••••••••••••
ตอนที่ 26: เศร้าโศก จากไป มาเยือน
“ถ้ามีอะไรลึกลับไปกว่าจิตใจของผู้หญิง ข้าก็ไม่รู้แล้วว่ามันคืออะไร…” ยวินหยางพึมพำออกจมูกอย่างไม่สุภาพ
“ข้าตัดสินใจจะตั้งชื่อลูกหมาป่าว่าเสี่ยวเยวี่ยเยวี่ย! เจ้าคิดว่าไง?” จี้หลิงถามอย่างตื่นเต้น
“เสี่ยวเยวี่ยเยวี่ย?” มุมปากของยวินหยางสั่นสะเทือนด้วยคำปรามาศขณะตอบด้วยความกระตือรือร้นที่เสแสร้งขึ้นมา “เหลือเชื่อ! ข้าไม่เคยได้ยินชื่อที่ดีกว่านี้มาก่อน!”
จี้หลิงสัมผัสได้ถึงการเสียดสีที่ฉาบอย่างผิวเผินบนคำพูดกลับกลอกขอไปทีของชายหนุ่มก่อนชำเลืองมองอีกฝ่าย นางคิดจะตอบกลับด้วยการโต้แย้งที่ดูฉลาด แต่ไม่ช้ากลับลืมความแค้นไปขณะความตื่นเต้นส่องประกายเข้ามาอีกครั้ง “ด้วยการร่วมมือกับเสี่ยวเยวี่ยเยวี่ย ข้าจะสามารถชนะการแข่งได้อย่างวางใจ! ครั้งนี้ข้าได้เป็นพี่ใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย!”
“อย่างไม่ต้องสงสัยเลย!” ยวินหยางอุทานด้วยความไม่เชื่ออยากลึกล้ำ ถ้ามาตรฐานชัยชนะจากการแข่งขันสัตว์ร้ายวิเศษของเจ้าคือการเล่นกับสัตว์เลี้ยงมันก็ใช่ แต่พวกเขาดูที่การฝึกต่างหาก! เจ้ากล้าอ้างว่ามันคือการแข่งขันที่เหลือเชื่อและสูงส่งก่อนจะได้ลงจริง ๆ งั้นหรือ?
“ต้องชนะอย่างแน่นอน!” จี้หลิงยืนยันอย่างมั่นใจ
“ถ้าเจ้ามั่นใจว่าจะชนะ” ยวินหยางคล้ายกับสับสน “ทำไมถึงไม่ไปล่ะ? ทำไมถึงยังยืนกรานอยู่ที่นี่?”
รอยยิ้มที่เผยความสุขบนใบหน้าของจี้หลิงแข็งทื่อกลางอากาศ หากมีใครบางคนอยู่ด้านบนจะต้องเห็นอารมณ์ขันที่บิดเบี้ยวไปมาอยู่แน่นอน! นางไม่เคยพบคนโง่ที่ไหนจะหนังหน้าทนทานได้ขนาดนี้!
“เจ้าไม่ได้… หลงข้าหรอกใช่ไหม?” ยวินหยางก้าวถอยหลังด้วยความหวาดกลัว “แม่นาง เก็บความสาวของตัวเองเอาไว้ก่อน ข้ายัง…”
“ทำไมเจ้าชอบรนหาที่ตายอยู่เรื่อย?”
จี้หลิงเสียใจจนอับอาย ยวินหยางกระโดดเหยงขณะประคองเท้าขวาแล้วส่งเสียงไม่พอใจออกมา “พวกเราคุยกันดี ๆ ก็ได้ ทำไมต้องตีข้าด้วย?”
จี้หลิงมองเขาพลางกัดฟันแล้วพลันคำรามออกมา “ไม่มีใครอยู่ทั้งนั้น ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ!”
ด้วยศีรษะก้มต่ำเพื่อปกปิดดวงตาแดงระเรื่อ นางพุ่งออกจากห้องพร้อมกับอุ้มลูกหมาป่าเอาไว้
เจ้าคนสารเลว! เจ้าคนน่ารังเกียจ…
“นี่ รอเดี๋ยวสิ!” ยวินหยางเรียกจากที่ใดสักแหล่งข้างหลังนาง
เพราะอย่างนั้น นางลดฝีเท้าลง แสงสว่างแห่งความหวังเลือนลางบานสะพรั่งในใจ “เจ้าต้องการอะไรจากข้าอีก? ไม่ได้จะไล่ข้าให้ไปพ้น ๆ หรอกหรือ?” นางย่อมมั่นใจว่าเขาไล่ตามมาเพื่อขอโทษ
“ข้าแค่อยากเตือนเจ้าเอาไว้น่ะ อย่าลืมเรื่องข้อตกลงของพวกเรา!” ยวินหยางกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าจะต้องรักษาสัญญาทั้งหมดหากชนะ มันสำคัญมากเลยนะ!”
ร่างบอบบางของนางสั่นเทาราวใบไม้ต้องสายลมแรงกล้าก่อนจะหนีไป คำพูดของนางพ่นออกจากจมูกและเหินหาง ดังมาจากไกล ๆ “ข้า จี้หลิง ไม่ใช่คนโกงหน้าไม่อาย!”
จากนั้นนางหายไป
ยวินหยางยืนอย่างเงียบงันสักพักก่อนพึมพำแผ่วเบากับตัวเองว่า “แค่อยากเตือนเจ้าเฉย ๆ … กลัวว่าอาจจะลืมน่ะ…”
เหล่าเหมยผู้ยืนอยู่ข้างหลังยวินหยางและเป็นสักขีพยานเหตุการณ์ทั้งหมดครวญครางก่อนตีหน้าผากตัวเองด้วยความหงุดหงิด
นายน้อย นี่คือเหตุผลที่ทำไมท่านถึงอยู่ตัวคนเดียวชั่วชีวิต
ท่านสามารถกล่าวลาได้ แต่ทำให้มันดีกว่านี้ไม่ได้หรือไง?
…
เมื่อเป็นสักขีพยานต่อการจากไปของจี้หลิง ดวงตาของยวินหยางทอประกายที่สุดจะคาดเดาก่อนสีหน้าพลันเศร้าหมองราวกับพลันสวมหน้ากากแล้วแบกรับภาระชั่วชีวิตทั้งหมดเอาไว้
“นายน้อย…” เหล่าเหมยถอนหายใจจากด้านหลัง “ท่านทำร้ายความรู้สึกของแม่นางจี้นะ…”
ยวินหยางถอนหายใจก่อนหาทางปรับน้ำเสียงให้อ่อนลง “ไม่มีใครอกหักหรอก พ่อคนใจดี เห็นได้ชัดว่าพวกเราคือคนจากสองโลกที่แตกต่างกัน สาวน้อยอาจจะใสซื่อ แต่ข้าเจอกับเรื่องอ่อนไหวมาโดยตลอด”
เหล่าเหมยสับสน “เรื่องอ่อนไหวหรือ?”
คำต่อว่าของยวินหยางอ่อนโยน “เหล่าเหมย เจ้ารู้ภูมิหลังของแม่นางจี้หรือยัง? ข้ามั่นใจว่าเจ้าสามารถรู้ได้หลังจากสังเกตการณ์มาพักใหญ่”
เหล่าเหมยพยักหน้าพลางถอนหายใจ
“ถ้าสองกลุ่มข้องเกี่ยวกันอย่างแท้จริง พวกเราล้วนรู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ใช่หรือไม่?” ยวินหยางถามด้วยความขมขื่นเล็กน้อย
เหล่าเหมยถอนหายใจหนักอีกครั้งพร้อมยอมรับทั้งที่ไม่เต็มใจ
“อีกอย่าง อย่างน้อยแม่นางจี้คนนี้ยังไม่หลงข้าจนโงหัวไม่ขึ้น มันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบ ความสนใจวัยหนุ่มสาว… แค่ความชอบที่ผันผ่านไป ข้าพูดถูกหรือเปล่า?” ยวินหยางถาม
เหล่าเหมยถอนหายใจครั้งที่เท่าไหร่ไม่ทราบ ยวินหยางพูดถูก มันเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ความหลงแม้แต่น้อย เป็นเพียงสัมผัสทั่วไปที่ยวินหยางคือบุคคลที่น่าสนใจ ความรักมันอีกเรื่อง! ทว่า สิ่งเหล่านี้สามารถพัฒนาได้อย่างช้า ๆ …
“ดังนั้น ขอถามตามตรง ทำไมข้าควรไล่ตามสิ่งนี้เพื่อนำเรื่องปวดหัวที่มากกว่าเดิมมาหาตัวด้วย?” ยวินหยางยิ้มหยัน สายตาเหินห่างและเย็นเยือกพอที่จะแช่แข็งอากาศได้
“คำพูดของนายน้อยนับว่ามีเหตุผลทีเดียว” เสียงถอนหายใจของเหล่าเหมยลุ่มลึกและจริงจัง
ยวินหยางกล่าวต่อว่า “สถานะที่เป็นอยู่… สถานะแบบนี้แหละดีแล้ว”
หัวใจของเขาสงบ แต่ใจถูกถาโถมด้วยความคิดนับพัน “ข้ายังไม่ได้แก้แค้นให้พี่น้อง พี่น้องทั้งแปดกับสหายแปดร้อยคนผู้ล่วงลับไปได้ไม่นาน ข้าสูญเสียจนต้องแสวงหาการแก้แค้น จะไปเริ่มคิดเรื่องความรักใคร่ได้อย่างไร?”
“ความรักใคร่ ในเวลานี้ มันก็แค่ของฟุ่มเฟือย”
ยวินหยางสั่นไหวด้วยความกระหายเลือดในฉับพลัน ประกายหายวับไปเหมือนตอนมา “เหล่าเหมย ข้าจะออกไปสักพัก”
เหล่าเหมยตอบว่า “ให้ข้าไปด้วยเถอะ นายน้อย”
“นั่นไม่จำเป็น”
“ขุนนางชั้นสูงยวินจะกลับมาในไม่ช้า…” เหล่าเหมยโพล่งสิ่งแรกที่นึกขึ้นได้ขณะมองยวินหยางผู้กำลังจะก้าวออกจากที่พักไป
“อ๋อเหรอ?”
จากนั้น ยวินหยางก็จากไป
“เฮ้อ!”
นอกจากถอนหายใจ เหล่าเหมยก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เขารับใช้ขุนนางชั้นสูงยวินมาหนึ่งทศวรรษ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าขุนนางชั้นสูงยวินมีภรรยาจนได้ลูกมาหนึ่งคน
จนกระทั่งสามปีก่อนตอนเขาพายวินหยางกลับมาแล้วบอกว่าเป็นลูกชาย ตอนนั้นเหล่าเหมยผู้อาศัยอยู่ที่เมืองเทียนถังจนกลายเป็นพ่อบ้านมาสามปีตกตะลึงมาก แน่นอน สิ่งที่ทำให้เหล่าเหมยตกตะลึงยิ่งกว่าคือขุนนางชั้นสูงยวินอยู่เพียงหนึ่งเดือนหลังจากพายวินหยางมาก่อนจากไปโดยไม่พูดจาเป็นเวลาสามปีราวกับหายไปในอากาศธาตุ พวกเขามีความเมินเฉยที่เหมือนกัน เหล่าเหมยไม่เคยเห็นพ่อลูกคู่ไหนมีความสัมพันธ์แปลกประหลาดเท่ากับคู่นี้มาก่อนในชีวิต!
เมื่อสองปีก่อนนายน้อยคนนี้ยังปกติดี นอกเหนือจากหายไปหลายเดือนในตอนนั้นและไม่เผยตัวตนอยู่สองถึงสามปี เรื่องอื่นยังนับว่าปกติ
ทว่า เขาเปลี่ยนไปมากเมื่อกลับมาในปีนี้!
…
ยวินหยางเดินอย่างเกียจคร้านในชุดสีม่วง ใบหน้าหล่อเหลาดึงดูดผู้คนไปตลอดทาง ผู้หญิงและคุณนายล้วนแอบมองเขาก่อนหน้าแดงก่ำไปตาม ๆ กัน
เขาไม่ได้เดินเร็วนัก ฝีเท้าเรียบง่ายแต่สงบนิ่ง มีความเหินห่างอันเกียจคร้านที่มาจากข้างใน แก้มเป็นสีกุหลาบ จิตใจสงบเงียบ
เขาเลี้ยวหลายมุมหลังออกจากที่พักยวินจนเข้าสู่ถนนหลักของเมืองก่อนมุ่งหน้าสู่จัตุรัสเทียนถัง
เบื้องหน้าศาลาหัวใจราชสีห์ มีผู้คนมากมายกำลังสักการะบูชา กลิ่นเทียนอบอวลในอากาศ
ยวินหยางตามฝูงชนไปด้านหน้าอนุสรณ์ เขายืดร่างกายให้ตรงขณะจุดเทียนแล้วถือไว้ในมือ คิ้วกดต่ำด้วยความเคารพ
“พี่น้องเอ๋ย โปรดอำนวยพรให้ข้าหาเบาะแสของศัตรูเพื่อล้างแค้นให้กับความตายของพวกเจ้าด้วย!”
“น้องเอ๋ย โปรดอำนวยพรให้ข้าพบคนขายชาติในศาลเพื่อกำจัดพวกมันด้วย!”
“สหายเอ๋ย จิตวิญญาณวีรชนของพวกเจ้าจะอยู่กับข้า เป็นสักขีพยานให้กับการแก้แค้นของข้า!”
“สหายเอ๋ย อย่าห่วงไปเลย ตราบที่ข้า ยวินหยาง ยังยืนหยัด ต่อให้ต้องทุ่มทรัพยากรจนหมดสิ้น ต่อให้ต้องช่วงชิงโลกที่มืดบอดใบนี้… ข้าจะไม่ยอมให้ครอบครัวพ่ายกับอธรรม!”
ยวินหยางยืนตัวตรงขณะปักธูปสามดอกลงในกระถางอย่างแน่นหนา ศีรษะเงยหน้าขึ้นจ้องมองอนุสรณ์อยู่นานก่อนหันหลังจากไปโดยไม่เหลียวแลอีกเป็นหนที่สอง
เขาหันเข้าตรอกอย่างคล่องแคล่ว หายไปจากสายตา เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาอยู่ที่ใดสักแห่งที่ไม่เหมือนกับสลัม สิ่งที่ต่างออกไปคือถึงแม้ผู้คนที่นี่จะดูยากจน แต่พวกเขามีความสุข คนเฒ่าคนแก่บางคนที่เป็นไม้ใกล้ฝั่งกำลังนั่งสนทนาอยู่ข้างถนน ใบหน้าของพวกเขาถูกสลักด้วยความผันผวนของชีวิตและเต็มไปด้วยความสุขขณะหัวเราะออกมาเป็นครั้งคราว
บางครั้ง จะพบเจอกับคนบกพร่อง บ้างเสียแขน บ้างเสียขา… พวกเขาเดินผ่านไปขณะกุมมือกันเอาไว้ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลปกคลุมไปด้วยความหวังที่จะมีชีวิตเช่นกัน
“หลี่ที่สี่ บ้านของเจ้าได้รับตำลึงเงินหรือยัง?”
“ได้ พวกข้าได้รับแล้ว เจ้าล่ะ?”
“พวกข้าได้แล้วเหมือนกัน”
“ข้าสงสัยจริงว่าผู้ใจบุญคนไหนถึงเมตตาได้เพียงนี้ ตำลึงเงินเหล่านี้… พอข้าถือเอาไว้ก็สั่นสะท้านไปทั่ว ต้องมั่งคั่งแค่ไหนถึงสามารถแสดงความเมตตาเช่นนี้ออกมาได้…”
“ถูกต้องเลย! ข้ากลายเป็นผู้รับความเมตตาจากคนคนนั้น แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใคร… น่าละอายใจนัก”
รอยยิ้มน่าขนลุกผุดขึ้นที่มุมปากของยวินหยางขณะเดินผ่านไปช้า ๆ ขณะสายตาเหลือบมอง
ด้านหลังของเขา คนผู้หนึ่งที่มีแขนเดียวกดเสียงต่ำจนดึงความสนใจของยวินหยางได้
“พี่ชาย ข้ารู้สึกได้…” เห็นได้ชัดว่าชายแขนเดียวระวังตัวแจขณะกดเสียงให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ข้ารู้สึกได้ว่านี่คล้ายกับข้องเกี่ยวกับท่านเก้าใหญ่…”
“เก้าใหญ่?” พวกเขาที่เหลืออุทานพร้อมกัน
“ชู่วว์!” ชายแขนเดียวเตือนพวกเขาให้ลดเสียงลง “หลายปีที่ผ่านมา ท่านเก้าใหญ่แบ่งตำลึงเงินให้พวกเราตอนที่อยู่ในกองทัพ ทุกครั้งที่พี่น้องของพวกเราปลดระวางไม่ว่าจะด้วยอายุมากหรือบาดเจ็บ จะมีใครบางคนตอบสนองอย่างรวดเร็วเสมอ ไม่ว่าจำนวนคนที่ปลดระวางจนถูกส่งกลับบ้านจะมีมากเท่าไหร่ ทุกคนจะได้รับอย่างต่ำห้าร้อยตำลึงเงิน…”
“หลังจากนั้นพวกเราถึงได้รู้ว่าตำลึงเงินเหล่านั้นไม่ได้มาจากกองทัพ… พวกเจ้ายังจำกันได้หรือเปล่า?”
“แน่นอนว่าจำได้! ความใจดียิ่งของท่านเก้าใหญ่ที่มอบให้กับทหารผ่านศึกผู้พิการอย่างพวกเรา จะลืมได้อย่างไรกันล่ะ?”
“ในช่วงปีนั้น คนที่แจกจ่ายตำลึงเงินจากท่านเก้าใหญ่ล้วนสวมชุดดำและปิดหน้าตา…” เสียงของชายแขนเดียวสั่นเครือ “ในคืนนั้น ข้ากินบางส่งผิดสำแดงจนไม่สามารถนอนหลับได้ทั้งคืน ทำให้สามารถรู้สึกได้ว่ามีเงาบางกลุ่ม ปกปิดหน้าตาและสวมชุดดำ โยนตำลึงเงินเข้ามาในห้องก่อนหายไป”
“ชายเหล่านี้สวมชุดดำ ลูกน้องของเก้าใหญ่เมื่อคราวที่แล้ว… พวกเขาสวมชุดคล้ายแบบนี้…”
คนอื่นที่ฟังอยู่สั่นสะท้าน ยืนขึ้นด้วยสีหน้าสั่นระริกขณะถามว่า “ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือ?”
เสียงของชายแขนเดียวสั่นเครือ ดวงตาทอประกายด้วยความชื้น เขากล่าวต่อด้วยเสียงที่ตีบตันว่า “พวกเจ้าคิดว่า… ท่านเก้าใหญ่ยังไม่ตายจนหมดหรือเปล่า”
เสียงของเขาเปี่ยมด้วยความหวังยิ่ง ลูกกระเดือกขึ้นลงอย่างบ้าคลั่งขณะภาวนาด้วยทุกสิ่งที่มี “ท่านเก้าใหญ่ โปรดมีชีวิตรอดด้วย…”
“นอกเหนือจากท่านเก้าใหญ่แล้ว ใครล่ะจะมาดูแลทหารผ่านศึกผู้พิการอย่างพวกเราสุดหัวใจ?”
…
ยวินหยางสูดหายใจเข้าก่อนก้าวยาวจากไป บทสนทนายังไล่หลังมา เสียงที่เปี่ยมด้วยอารมณ์มีแต่จะตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ
“หวังว่าท่านเก้าใหญ่จะยังมีชีวิตอยู่นะ!”
ยวินหยางก้าวเดินอย่างมั่นคง เลี้ยวหลายมุมจนกระทั่งเจอสถานที่รกร้างเงียบสงบ ขณะยืนนิ่ง เขาพิงกับกำแพงเก่าขณะสูดอากาศเข้าไปลึก ๆ …
หัวใจของเขาเจ็บปวดราวกับถูกบีบรัด “ข้าทำในสิ่งที่พี่น้องเคยทำเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ความรับผิดชอบและความยืนหยัดของพวกเขาจะหายไปได้อย่างไรในเมื่อยังมีข้าอยู่?”
เขาคิดว่าพี่น้องผู้ล่วงลับทั้งแปดคนจะสบายใจเมื่อยอมแบกรับความพยายามก่อนหน้านี้อย่างหนัก
ผ่านไปสักพัก เขาถอนหายใจยาวออกมาก่อนจากไป