บทที่ 8 อิสระ
แม้จะได้ใช้ชีวิตไม่ถึงหนึ่งวันกับโคตรของโคตรหลานสาวของเขา รีเบคก้าทำให้กาเว่นประทับใจไม่น้อย บางครั้งเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าสมองของนางผิดปกติจริงๆหรือเปล่า...
แต่แล้วยังไง? คำพูดและการร่ายเวทย์ของนางก็ได้พิสูจน์ความเฉลียวฉลาดของตัวนางได้แล้ว สุดท้ายแค่ลูกไฟขนาดใหญ่ที่นางสร้างก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสร้างได้ง่ายๆแล้ว...
อย่างไรก็ตามไม่มีใครสนใจเรื่องนี้ตอนนี้ แม้แต่เฮอร์ตี้ที่เข้มงวดตลอดเวลาก็หมกมุ่นอยู่กับความกังวล "ท่านหมายความว่า...พวกมันเคยปรากฎที่ดินแดนเซซิลเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน"
กาเว่นถอนหายใจ "ดูท่าทีที่ไม่คุ้นเคยของเจ้า ข้าคาดว่าพวกมันคงไม่ปรากฎตัวมาหลายร้อยปีแล้ว"
"สงครามกับพวกอสูรหลังจากยุคบุกเบิกได้จบลงนานแล้ว" เฮอร์ตี้ส่ายหัวเบาๆ "แม้ว่าจะมีบันทึกอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ แต่อย่างน้อยก็เป็นเมื่อหกร้อยปีก่อน....จากสิ่งที่ข้ารู้อสูรโผล่ออกมาจากซากปรักหักพัง ทำให้อาณาจักรอันซุเดือดร้อนมาเป็นเวลานาน แต่นับตั้งแต่ที่พวกเอล์ฟได้ช่วยมนุษย์สร้างหอคอยสังเกตุการณ์ พวกอสูรเหล่านั้นได้ถูกขับไล่และหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์..."
กาเว่นขมวดคิ้วเล็กน้อย "หอคอยของพวกเอล์ฟ...มันไม่น่าจะทำงานล้มเหลวได้ง่ายๆ"
"พวกเราต้องรายงานเรื่องนี้ต่อองค์ราชา" รีเบคก้ากำหมัดแน่นแล้วกล่าวออกมาอย่างจริงจัง "อสูรที่ไม่ได้ปรากฎตัวมาเป็นเวลานานหลายร้อยปี กลับปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเราต้องส่งใครสักคนไปรายงานข้อมูลเหล่านี้ให้เร็วที่สุด ดินแดนเซซิลพบกับความสูญเสียอย่างหนักจากเรื่องไม่คาดฝันนี้ เรา...เราต้องขอความช่วยเหลือจากราชวงศ์..."
กาเว่นย้อนคิดไปถึง'ความรุ่งโรจน์'ของตัวเองในสมัยโบราณ เขายิ้มอย่างมั่นใจแล้วพูดออกมาว่า "ไม่ต้องกังวล ด้วยจุดยืนของตระกูลเซซิลในอาณาจักร และผลงานที่ข้าสร้างให้กับเมืองเซนต์โซนิเอล พวกเขาไม่มีทางปฎิเสธช่วยเจ้าสร้างดินแดนใหม่แน่นอน"
โดยไม่คาดคิด รีเบคก้าและเฮอร์ตี้แสดงสีหน้าแปลกๆออกมา
กาเว่นงงงวย "เอ่อ...มีอะไรผิดปกติ?"
หรือว่าชื่อเสียงของเขาจะเลือนหายหลังจากผ่านไปเจ็ดร้อยปี?
"ท่านบรรพบุรุษ..." เฮอร์ตี้ดูเศร้าอย่างผิดปกติ หลังจากกัดริมฝีปากหลายครั้ง ในที่สุดก็ดูเหมือนนางจะตัดสินใจได้ "จริงๆข้าจะบอกท่านตั้งแต่ที่อยู่ในสุสานแล้ว...แต่ข้ายังไม่กล้าบอก"
กาเว่นรู้สึกสังหรณ์แปลกๆกับสิ่งที่นางกำลังพูด "พูดเลย ข้ากำลังฟังอยู่"
"ตระกูลเซซิลไม่ได้รุ่งเรืองเหมือนแต่ก่อนแล้ว แม้ท่านจะเป็นตำนานหนึ่งในผู้ก่อตั้งอาณาจักร แต่..."เฮอร์ตี้มองรีเบคก้าด้วยแววตาอันสั่นเทา "แต่ตอนนี้รีเบคก้าที่เป็นผู้สืบทอดตระกูลมีฐานะเป็นเพียงท่านหญิงเท่านัั้น ดินแดนตระกูลเซซิล...เป็นดินแดนสุดท้ายของตระกูลที่เหลืออยู่แล้ว"
กาเว่นรู้สึกตัวเองกลายเป็นคนโง่ทันที "...หา?! ทำไมข้าจำได้ว่าตอนที่ข้าตายข้ามีตำแหน่ง 'ดยุก' (ตำแหน่งทางการปกครองที่เป็นรองเพียงกษัตริย์) ตำแหน่งนี้สามารถส่งต่อผ่านทางทายาทได้ ดินแดนของตระกูลเรากว้างใหญ่ไปจนถึงที่ราบแห่งวิญญานศักดิ์สิทธิ์....ลูกหลานของเซซิลไปทำอะไรไว้กันแน่? พวกเขาฆ่าราชาหรือก่อกบฎหรือไงกัน?"
เฮอร์ตี้ก้มหัวลงด้วยความอับอาย "...หลายอย่างเกิดขึ้นในช่วงเจ็ดร้อยปีหลังจากที่ท่านหลับไหลปี ตอนนี้อันซุไม่ได้ถูกปกครองโดยราชวงศ์แรกอีกต่อไปแต่เป็นราชวงศ์ที่สอง รวมถึงตระกูลเซซิลไม่ใช่ตระกูลหลักที่คอยสนับสนุนราชวงศ์อีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นยังมีชื่อเสียงด้านไม่ดีจนถูกราชวงศ์ขับไล่"
รีเบคก้ากล่าวเพิ่ม "หนึ่งร้อยปีที่แล้วราชาองค์สุดท้ายของราชวงศ์อันซุ ดัลเลียนที่สามได้ตายลงเพราะโรคร้ายแรงอย่างกระทันหัน ซึ่งเขาไม่ได้มีทายาทก่อนตาย ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งภายในราชสำนัก หลังจากการตายของดัลเลียนที่สาม องค์ราชินีและรัฐมนตรีไม่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ส่งผลให้เกิด 'เดือนหมอกแห่งความวุ่นวาย' "
"สมาชิกของราชวงศ์ที่มีสิทธิ์ขึ้นบรรลังก์ในเดือนแห่งหมอกปีอันซุที่635 ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งและสุดท้ายจบลงที่สงครามกลางเมือง ขุนนางและสมาชิกของราชวงศ์ต่างส่งกำลังทหารของตัวเองออกมา ตระกูลเซซิลเองก็ถูกลากเข้าไปในการต่อสู้เช่นกัน...."
"ผู้ที่ทำให้ตระกูลเซซิลเป็นเช่นนี้คือมาร์ควิสกรัมแมน แกรนด์ดยุกในตอนนั้น แม้เขาจะแก่แต่ก็แข็งแรงเป็นอย่างมาก เขาคงรู้สึกว่าตำแหน่งของตัวเองอาจถูกคุกคาม...ดังนั้นเขาจึงวางแผนอย่างลับๆและมีส่วนร่วมในสงครามกลางเมือง เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นผู้สืบทอดอำนาจของตระกูล ดังนั้นเขาจึงไม่มีอำนาจในการสนับสนุนผู้ชุมนุมเพียงพอ ดังนั้นเขาจึงมองไปที่ท่านบรรพบุรุษในตำนาน..."
กาเว่นเอามือกุมหัว "ข้าจำได้แล้ว เขาเป็นคนที่เอาโล่ของข้าไปใช่ไหม?"
เฮอร์ตี้พยักหน้าและเล่าต่อรีเบคก้า "มาร์ควิสกรัมแมนได้ขังแกรนด์ดยุกตระกูลเซซิลไว้ในบ้าน จากนั้นเขาได้นำสมบัติศักดิ์สิทธิ์ของท่านออกมา จากนั้นเขาก็ประกาศตัวเองเป็นผู้สืบทอดตระกูลเซซิลที่ให้การสนับสนุนเจ้าชาย ท็อช แต่ในเดือนสามปีเดียวกัน เจ้าชายท็อชได้ถูกลอบสังหาร จากนั้นมาร์ควิสกรัมแมนรีบประกาศสนับสนุนเจ้าชายฟีดิก ซึ่งในเดือนสี่ปีเดียวกัน เจ้าชายฟีดิกแพ้สงครามแล้วฆ่าตัวตาย..."
กาเว่นเงียบไป
แต่เฮอร์ตี้ยังคงพูดต่อ
"จากนั้นมาร์ควิสกรัมแมนได้พบลุงของราชาดัลเลียนที่สาม เขาใช้คารมอันคมคายของตัวเองพยายามจัดตั้งกลุ่มพันธมิตร แต่ในเดือนถัดมาแกรนด์ดยุกแห่งแดนเหนือ บูลอน ไวลเดอร์ ที่ไม่ได้เข้าร่วมกับความขัดแย้งแต่แรกได้ผลักเด็กคนหนึ่งเข้าไปในกองไฟและประกาศว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกนอกสมรสของอดีตราชาก่อนหน้าสองรุ่น จากนั้นแกรนด์ดยุกแห่งแดนเหนือได้ใช่หมากของตัวเองเข้าร่วมในสงครามกลางเมืองและจบสงครามนั้นลงในเดือนหมอกปีอันซุที่635 หนึ่งวันก่อนที่สงครามกลางเมืองจะจบลง มาร์ควิสกรัมแมนต้องการจะเคลื่อนไหวประกาศความจงรักภัคดีกับราชาองค์ใหม่ แต่ก่อนที่เขาจะได้ประกาศเขากลับถูกโจมตีจากทัพศัตรูและพันธมิตรในเวลาเดียวกันจนเสียชีวิตทันที..."
"ราชวงศ์ที่สองได้เข้ายึดทุกอย่าง และตั้งตัวเองเป็น 'ราชวงศ์ที่สอง' ...เรื่องเหล่านี้ยังถิอเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน"
จากนั้นแอมเบอร์ที่ฟังเงียบๆมานานได้พูดขึ้น "ทั้งหมดกินเวลาเพียงหนึ่งปีแต่มันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับอาณาจักรทั้งหมด...ใครจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้"
"ตั้งแต่เจ้าเด็กนั่นครองบัลลังก์ทุกคนก็เรียกสงครามนั้นว่า 'สงครามลูกนอกสมรส' "เฮอร์ตี้ดล่าว "มีชนชั้นสูงจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับสงครามกลางเมือง รวมถึงตระกูลต่างๆ อาณาจักรตกอยู่ในความวุ่นวายในตอนเริ่มราชวงศ์ที่สอง ราชาองค์ใหม่ต้องการให้ทุกอย่างอยู่ในความเรียบร้อยซึ่งต้องพึ่งพลังของเหล่าชนชั้นสูงเก่า ส่งผลให้ตระกูลจำนวนมากพังทลายลง ยกเว้น..."
"พวกที่เปลี่ยนข้าง?" กาเว่นช่วยไม่ได้นอกจากยิ้มออกมา สำหรับคนที่ลอยอยู่บนท้องฟ้ามาเป็นเวลานานแม้เขาจะไม่ได้รู้เรื่องราวทั้งหมด เขายังสามารถเดาตอนจบของมันได้เหมือนอ่านนิยายเรื่องหนึ่ง "ข้าคิดว่าทุกคนคงเปลี่ยนข้างกันหมด ยกเว้นกรัมแมน เซซิล ที่ไม่ทันคนอื่นใช่ไหม?"
"หลังจากนั้นตระกูลเซซิลก็ไม่สามารถฟื้นคืนจากความเสื่อมโทรมได้อีก" เฮอร์ตี้ก้มหัวลง "โชคของตระกูลเซซิลแย่ลง แต่เพราะชื่อเสียงของท่านและสิ่งที่เหล่าแกรนด์ดยุกรุ่นก่อนๆได้ทำให้อาณาจักรไว้ มรดกของตระกูลจึงยังหลงเหลือถึงทุกวันนี้ เพียงแค่ตระกูลเซซิลไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่ออาณาจักรอีกต่อไป ซึ่งวันนี้ได้หลงเหลือไว้เพียงแค่นี้..."
กาเว่นมองตามสายตาของเฮอร์ตี้ไปที่ท่านหญิงรีเบคก้าผู้สมองได้รับการกระทบกระเทือน
รีเบคก้าเห็นสายตาของกาเว่นมองมา "ท่านบรรพบุรุษ?"
"ช่างน่าเศร้า น่าเศร้าเหลือเกิน..." กาเว่นกุมหัว แม้เขาจะไม่ได้เป็นบรรพบุรุษตระกูลเซซิลจริงๆแต่เขาก็อดทึ่งกับเรื่องที่ฟังไม่ได้ แต่สำหรับคนนอกเช่นเขาทุกอย่างก็เป็นเหมือนแค่เรื่องเล่าแค่นั้น "และโล่ของข้าก็หายไป..."
เฮอร์ตี้และรีเบคก้า"..."
อีกครั้งที่บรรพบุรุษของพวกนางต่อว่าปู่ของพวกนางราวกับเขาเป็นเด็กน้อย ในฐานะลูกหลานพวกนางจึงทำได้แค่เงียบปาก
โชคดีที่กาเว่นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นตรงๆทำให้เขาปรับอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว เขาส่ายหัวเล็กน้อย "ลืมมันไปเถอะ การคิดมากกับเรื่องในอดีตไม่ได้ทำให้สถานการณ์ในปัจจุบันของพวกเราดีขึ้น ไม่ว่ายังไงการปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งของเหล่าอสูรก็ถือว่าเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ต่อมนุษย์ชาติ ราชาในเมืองเซนต์โซนิเอลอาจจะไม่สนใจตระกูลเซซิลที่ตกต่ำ แต่เขาไม่สามารถละเลยเรื่องอสูร เขาต้องให้ความสำคัญกับพวกเราในฐานะผู้ที่ประสบความสูญเสีย"
เฮอร์ตี้พยักหน้า "ท่านพูดถูก"
จากนั้นกาเว่นไม่สนใจพูดคุยอีกต่อไป ทางเดินที่แคบและมืดทำให้พวกเขาเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่ทางใต้ดินนั้นตัดตรงผ่านดินแดนตระกูลเซซิลทั้งหมด หลังจากเดินด้วยความรวดเร็วกาเว่นตัดสินใจจากความรงจำพาทั้งหมดมาถึงทางออกที่เหมาะสมไม่ไกลจากปราสาทมากนัก
ด้วยพรของธาตุดิน บันไดโบราณไม่มีท่าทีจะพังทลายลงแม้แต่น้อย โชคดีที่ทางออกไปไม่ได้ถูกหินและดินปิดอย่างสมบูรณ์ เมื่อปัดเอาเถาวัลย์และดินออก สายลมอันสดชื่นได้ปะทะเข้ากับหน้าพวกเขา
อิสระภาพ
ไบรอนพาพวกทหารออกจากหลุมก่อน หลังจากพวกเขาส่งสัญญานว่าด้านนอกปลอดภัยคนอื่นๆก็รีบตามออกไปอย่างรวดเร็ว รีเบคก้าสูดหายใจลึกๆทันทีที่นางออกมาได้นางก็พูดออกมาอย่างร่าเริ่ง "ในที่สุดเราก็ออกมาได้!"
กาเว่นตามหลังรีเบคก้าออกมา ความตื่นเต้นของเขาไม่น้อยไปกว่ารีเบคก้า ต้องบอกความจริงว่าเขาตื่นเต้นกว่านางมาก
โลกที่กว้างใหญ่
ปฏิกริยาแรกของเขาคือมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
น่าเสียดายที่มันเป็นเวลากลางคืน
แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณที่ได้เห้นท้องฟ้ายามค่ำคืนของโลกใบนี้
มีแสงจางๆที่ขอบฟ้าบ่งบอกว่ารุ่งอรุณใกล้จะมาถึง ดาวบนท้องฟ้าเริ่มอ่อนแสงลง
มันเป็นดาวที่เขาไม่รู้จัก
สีขาวที่ขอบฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ค่ำคืนได้จบลง เขากำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศของโลกใบนี้ ไม่ใช่ในฐานะผู้ที่หลบหนีจากดินแดนเซซิล แต่ในฐานะที่เขาได้รับอิสระจริงๆ
เขากางเแขนขึ้นราวกับจะโอบกอดดวงอาทิตย์ของโลกใบใหม่
จากนั้นเขาก็เห็นพื้นผิวโค้งและหมอกระยิบระยับที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ค่อยๆลุกโชนขึ้นจากขอบฟ้า
นั่นไม่ใช่ดวงอาทิตย์