บทที่ 7 เรื่องราวในอดีต
การที่ต้องจับดาบแล้ววิ่งเข้าไปหาอสูรไม่ทำให้เขากระวนกระวายใจแม้แต่น้อย หากเขาต้องรู้สึกอะไรมันคงเป็นความรู้สึกฟุ้งซ่านเล็กน้อยเท่านั้น
เขายังจำตอนที่เครื่องบินกำลังตกได้
เขายังจำช่วงเวลาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าหลายล้านปี
และตอนนี้เขากำลังเอาตัวเองเข้าไปสู่สถานการณ์ที่อันตรายอย่างน่าเหลือเชื่อ
ตูม!
ความตกใจครั้งใหญ่ถูกส่งผ่านใบดาบ ความคิดไร้สาระของเขาทั้งหมดหายไปในทันที
ด้วยสัญชาตญานเขาหลบเลี่ยงกรงเล็บของอสูร ก่อนที่เขาจะบิดร่างกายส่วนบนและเหวี่ยงดาบเพื่อโจมตี ขณะเดียวกันเขาก็พยายามรวบรวมพลังที่มีอยู่ในร่างไว้ที่ดาบพร้อมโจมตีไปที่ไหล่ของอสูร
เมื่อถูกกระตุ้นด้วยพลัง แสงสีดางจางๆใกล้ที่จับดาบระเบิดแสงสีแดงออกมาราวกับเปลวเพลิง แสงลุกท่วมไปทั่วใบดาบอย่างรวดเร็ว ความร้อนสูงแผ่ออกมาจากตัวดาบ แม้แต่อากาศที่อยู่รอบๆก็เริ่มบิดเบี้ยว
อสูรสูงสามเมตรสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากความร้อนอันแรงกล้าบนใบดาบ ทันใดนั้นด้วยความเร็วที่ไม่เหมาะสมกับรูปร่างอันใหญ่โต อสูรเอนหลังหลบทันที ดาบของกาเว่นพลาดเป้าไปเพียงปลายผม
กาเว่นอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ เขาพึ่งปลดปล่อยพลังเวทย์มนตร์จากมือของเขาเป็นครั้งแรก ก่อนที่เขาจะสงบสติอารมณ์ตัวเองอย่างรวดเร็ว และรวบรวมพลังไปที่ดาบอีกครั้ง
แน่นอนว่าร่างนี้สามารถใช้พลังของกาเว่น เซซิล ได้เหมือนเดิม แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาสามารถใช้พลังทั้งหมดได้แค่ไหน
เขาพยายามทำความคุ้นชินกับการต่อสู้ และศึกษาประสบการณ์ต่อสู้ที่ไม่ได้เป็นของเขาจากความทรงจำให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ด้านไบรอนเขากำลังต่อสู้อย่างหนักหน่วง
อัศวินระดับกลาง เป็นหนึ่งในนักสู้ชั้นยอดของตระกูลเซซิล เขาเคยผ่านประสบกาณ์การต่อสู้มามาก อย่างไรก็ตามเขาใช้พลังงานมากไปตอนที่เหล่าอสูรบุกปราสาท ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากถูกเวทมนตร์ประหลาดของอสูร อาการบาดเจ็บที่มองไม่เห็นรวมถึงพลังการต่อสู้ของเขายิ่งลดลง ตอนนี้เขาใช้พลังได้ประมาณครึ่งหนึ่งของพลังทั้งหมด
รับการโจมตีจากอสูรครั้งแล้วครั้งเล่า เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถือดาบยาวต้านพลังของอสูรไว้ให้ได้นานที่สุด เพื่อหาช่องว่างของอสูร
รีเบคก้ารวมพลังเวทย์และร่ายลูกบอลไฟร์ที่มีขนาดใหญ่ประมาณหัวคนขึ้น ลูกไฟพุ่งปะทะลูกศรจากอสูรที่พุ่งเข้ามา นางสูดหายใจพร้อมกับสังเกตุเห็นไบรอนกำลังตกอยู่ในอันตราย นางตะโกนเรียกทหารในทันที "พวกเจ้าทั้งสามคนไปช่วยไบรอน!"
ทหารคนหนึ่งลังเล "แต่ท่านหญิง..."
รีเบคก้าสร้างลูกบอลไฟขึ้นมาใหม่พร้อมตะโกน "ตอนนี้พวกเรายังไม่เป็นไร แต่ถ้าไบรอนพลาดทุกอย่างจะจบลง! ในฐานะท่านหญิง ข้าขอสั่งให้เจ้าไปเดี๋ยวนี้!"
ทหารทั้งสามคนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเชื่อคำสั่งของรีเบคก้าเข้าร่วมต่อสู้กับไบรอน
ความทรงจำของกาเว่น เซซิล ค่อยๆหลอมรวมกลายเป็นของเขาช้าๆ
ผิวหนังที่เหมือนถูกปกคลุมด้วยโคลน ไม่ได้ทำให้พวกมันเป็นอมตะ พวกมันยังคงได้รับบาดเจ็บเมื่อถูกฟันและตัดมากพอ แม้ว่าพวกมันจะมีพลังและความได้เปรียบทางร่างกาย แต่ด้วยวิธีที่เหมาะสมมนุษย์ก็สามารถเอาชนะพวกมันได้
กาเว่นเรียนรู้จากประสบการณ์เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อน
กรงเล็บของสัตว์อสูรตวัดผ่านหัวของเขา กาเว่นก้มหัวและใช้ดาบโจมตีกลับทะลุต้นขาของอสูรทันที สุดท้ายอสูรก็ส่งเสียงร้องออกมาก่อนที่ร่างของมันจะล้มลงด้านข้างอย่างไม่สามารถควบคุมได้ กาเว่นถือโอกาสนี้ตะโกนไปที่ไบรอน "พยายามโจมตีที่หน้าท้อง กับส่วนที่ต่ำกว่านั้น อย่าโจมตีที่หน้าอก พวกมันไม่มีหัวใจ!"
เมื่อได้รับคำแนะนำจากบรรพบุรุษตระกูลเซซิล จิตวิญญานการต่อสู้ของไบรอนก็ลุกโชนขึ้น พร้อมกับการประสานงานของทหารทั้งสามคนพวกเขาสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของอสูรได้อย่างรวดเร็ว เมื่อกรงเล็บของอสูรเจาะเข้ามาที่เกราะไหล่ของเขา ไบรอนมุดตัวไปใต้ขาของอสูรและโจมตีจุดสำคัญของมันทันที
ก่อนที่ไบรอนจะจัดการอสูรได้ อสูรที่กาเว่นจัดการได้ล้มลงพื้นเสียงดัง
จากนั้นกาเว่นได้หันไปมองอสูรตัวที่สามารถสร้างลูกศรเงาขึ้นมาบนอากาศได้ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พุ่งไปหามัน มันก็ส่งเสียงร้องโหยหวนก่อนจะล้มลงกับพื้น
แอมเบอร์ปรากฎตัวขึ้นด้านหลังอสูรพร้อมกับมีดพิษในมือ "ข้านี่ยอดเยี่ยมจริงๆ เอามีดจิ้มก้นมันได้ด้วย"
รีเบคก้าเก็บไม้เท้าพร้อมกับแก้มที่เป็นสีแดงเพราะความเหนื่อยล้า แต่นางก็พูดขัด แอมเบอร์อย่างจริงจัง "ท่านบรรพบุรุษบอกว่าส่วนล่าง ไม่ใช่ก้น"
แอมเบอร์หมุนตัว มีดสั้นสองเล่มหายไปเหมือนนางจะเก็บมันไว้ที่ไหนสักแห่ง นางเดินเหยียบซากอสูรพร้อมกับเดินเข้ามา "เจ้านี่ไม่มีอารมณ์ขันเลย"
หลังจากอสูรตาย พวกมันก็เริ่มย่อยสลายอย่างรวดเร็ว โคลนที่ไหลอยู่บนตัวหยุดลงแล้วแห้งลงและแตกออกอย่างรวดเร็ว ก่อนโครงกระดูกขนาดใหญ่ที่บิดเบี้ยวจะปรากฎให้เห็นอย่างรวดเร็ว
กาเว่นที่เฝ้าดูอยู่ด้านข้างพึมพัมออกมา "นี่เองสินะที่โจมตีดินแดนตระกูลเซซิล..."
เฮอร์ตี้มองมาอย่างสงสัย "ท่านบรรพบุรุษรู้ไหมว่าอสูรพวกนี้มาจากที่ไหน?"
จากการต่อสู้ก่อนหน้านี้กาเว่นแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในอสูรพวกนี้ดี
"เราอาจจะพบพวกมันอีกถ้ายังอยู่ที่นี่ ที่ทางลับมีสิ่งที่คอยกดดันพวกเหล่าอสูร พวกมันไม่สามารถผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ" กาเว่นกล่าวพร้อมเดินไปข้างหน้า "ข้าจะบอกรายละเอียดต่างๆเมื่อพวกเราไปถึง"
หลังจากเดินเข้ามาในทางลับใต้ดินไม่นาน กาเว่นได้ทำลายความเงียบลง "ตอนนั้นข้าเคยสู้กับอสูรเหล่านี้ เจ้ารู้เรื่องการล่มสลายของอาณาจักรกอนดอร์และการก่อตั้งถิ่นฐานครั้งที่สองใช่ไหม?"
"แน่นอน" รีเบคก้าพยักหน้า มันแทบจะเป็นเนื้อหาบังคับให้ลูกหลานขุนนางต้องเรียน
"มากกว่าเจ็ดร้อยปี ทวีปลอเรนมีเพียงมนุษย์ชาติเดียวคืออาณาจักรกอนดอร์ ตั้งอยู่ตรงกลางของทวีป พูดได้ว่ามันเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดในเวลานั้น แม้แต่จักรวรรดิสีเงินของพวกเอล์ฟที่ตั้งอยู่ทางใต้ของทวีปยังไม่กล้าเป็นศัตรู อย่างไรก็ตามมีอะไรบางอย่างจากทะเลอีเธอร์ที่ล้อมรอบแผ่นดินทั่วโลกมารบกวน เกิดภัยพิบัติทั่วทวีปลอเรนซึ่งเรียกว่า 'คลื่นความมืด' สร้างความหายนะให้กับดินแดนกอนดอร์ ชั่วข้ามคืนเมืองหลวงของอาณาจักรถูกกลืนหายไปกับความมืด และถูกทำลายโดยพลังธาตุที่เพิ่มขึ้น..."
"มันไม่ได้เกิดชั่วข้ามคืน จริงๆแล้วกระบวนการนี้กินเวลาเกือบเดือน แต่พวกปราชญ์และผู้วิเศษแห่งกอนดอร์ไม่ทำอะไรเลยตอนที่เผชิญกับคลื่นความมืด" กาเว่นขัดจังหวะ "ยังไงก็ตามสุดท้ายทุกอย่างก็ออกมาเหมือนกัน"
"โอ้...อ้อ" รีเบคก้าเขินเล็กน้อย นางรู้สึกราวกับมีพ่อแม่มาตรวจการบ้านอยู่ จากนั้นนางก็พูดต่อ "หลังจากนั้นกระแสเวทย์มนตร์ได้ไหลบ่าไปทั่วกอนดอร์พร้อมกับทำลายล้างอาณาจักรทั้งหมด หลังจากนั้นทะเลอีเธอร์ก็ค่อยๆสงบลง คลื่นความมืดเริ่มอ่อนกำลัง ผู้รอดชีวิตเริ่มสร้างอารยะธรรมใหม่ขึ้นมา ภาคกลางของทวีปกลายเป็นดินแดนอันรกร้างไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่อีกต่อไป กลุ่มผู้นำของมนุษย์ได้บุกเบิกดินแดนใหม่ทั้งสี่ทิศทาง เหนือ ใต้ ออก ตก ละทิ้งอาณาจักรที่ล่มสลายไว้เบื้องหลัง ประวัติศาสตร์ช่วงนี้เรียกว่าการตั้งถิ่นฐานครั้งที่สอง ท่านบรรพบุรุษเองก็เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกที่มีชื่อเสียงที่สุดในช่วงนั้น"
"อืม ถือว่าเจ้ายอดเยี่ยมในวิชาประวัติศาสตร์มาก "กาเว่นชื่นชม "ดังนั้นเจ้าน่าจะรู้เรื่องนี้เหมือนกัน หลังจากปรากฎการณ์คลื่นความมืดได้จบลง กอนดอร์ยังคงเต็มไปด้วยอสูรร้ายที่โผล่ออกมาจากคลื่นความมืด พวกมันคือภัยคุกคามที่ใหญ่สุดของมนุษย์ในช่วงนั้น!"
ดวงตาของเฮอร์ตี้เบิกกว้าง "ท่านหมายความว่า..."
"ใช่ พวกมันเป็นเป็นสิ่งเดียวกับที่พวกเราเคยต่อสู้ในอดีต " กาเว่นถอนหายใจ "พวกมันเกิดมาจากคลื่นความมืด มีรูปร่างเหมือนมนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์ ตอนที่กอนดอร์ล่มสลายอสูรพวกนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วดินแดนทั่วทุกทิศทาง ไล่ล่าฆ่าผู้รอดชีวิต เช่นนั้นแทนที่จะเรียกว่าผู้บุกเบิก ควรจะเรียกว่าการเดินทางและหลบหนีจากซากปรักหักพักของกอนดอร์เสียมากกว่า แม้พวกเราจะหลบหนีออกมาแล้ว ที่ชายแดนของอาณาจักรใหม่พวกอสูรก็ไม่หยุดโจมตี....ในช่วงสิบปีหลังจากที่อาณาจักรอันซุถูกสร้างขึ้นข้าต้องจัดการพวกมันเกือบทุกวัน"
ดวงตาของรีเบคก้าเบิกกว้าง"หลังจากสิบปีนั้นล่ะ? พวกมันเลิกปรากฎตัวงั้นหรือ?"
กาเว่นหัวเราะเบาๆ พร้อมยกมือไปลูบหัวเด็กสาวตรงหน้า "เด็กโง่ ก็หลังจากนั้นท่านบรรพบุรุษของเจ้าได้ตายไปแล้วไง..."
รีเบคก้า "..."