บทที่ 6 สถานการณ์บีบบังคับ
แอมเบอร์หัวขโมยตัวน้อยพูดอย่างกระตือรือร้อน "เส้นทางอยู่ตรงนั้น ประตูนั่นไม่มีอะไรมากแค่เวทย์ลวงตา แค่ใช้พลังนิดหน่อยก็สามารถเปิดมันได้อย่างง่ายดาย"
อืมสำหรับแอมเบอร์แล้วนั้นการเปิดประตูของสุสานโบราณนั้นดูเป็นเรื่องง่ายราวกับปลอกกล้วยเข้าปากจริงๆ
ด้วยเวทย์มนตร์เงาง่ายๆ รวมถึงความเข้าใจในผนึกโบราณและโชคเล็กน้อย เด็กสาวครึ่งเอล์ฟสามารถทำลายผนึกสุสานตระกูลเซซิลได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเส้นทางลับที่แม้แต่เฮอร์ตี้และรีเบคก้าไม่เคยเห็นมาก่อนก็ปรากฎแก่สายตาทุกคน
จากนั้นทุกคนก็เดินตามแอมเบอร์เข้าไปด้านใน
ทางเดินนั้นถูกสร้างด้วยหินและก้อนอิฐวิญญาน ด้านในนั้นกว้างกว่าที่ทุกคนคิดเอาไว้ ไบรอนและกาเว่นที่สูงเกือบสองเมตรสามารถเดินได้อย่างสบายๆ ตามทางเดินมีโคมไฟที่ถูกใช้ไปแล้ว แต่เมื่อเฮอร์ตี้ร่ายเวทย์ง่ายๆ โคมไฟอายุเจ็ดร้อยกว่าปีก็ติดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
"ข้าเป็นแค่โจรตัวน้อยๆเท่านั้น" แอมเบอร์กล่าวขึ้นมาขณะเดินนำไปด้านหน้า "ข้าเป็นลูกหลานของเอล์ฟป่า ข้านั้นให้เกียรติแก่ดวงวิญญานที่เคยอยู่ที่นี่มาก่อน ข้าจำเรื่องๆแย่ๆอย่างขุดสุสานได้ยังไง?"
กาเว่นหันไปมองด้วยสายตาถากถางเล็กน้อย "เจ้ายังมีหน้าพูดอย่างนั้นอีกรึ? ดูความสามารถแต่ละอย่างของเจ้าสิ"
บางทีอาจจะเพราะนางมั่นใจว่าไม่มีใครคิดจะทำร้ายนางอีกต่อไป นางจึงไม่มีท่าทีกังวลพร้อมกับแสดงหนังหน้าที่หนาราวกับประตูที่นางพึ่งเปิดให้ทุกคนได้เห็น "การสะเดาะกลอนและทำลายผนึกนั้นเป็นทักษะพื้นฐานของอาชีพพวกเรา มันผิดงั้นหรือที่ข้าจะเชี่ยวชาญเรื่องง่ายๆแบบนั้น?"
รีเบคก้าที่เดินอยู่ตรงกลางอยู่ดีๆก็ถามขึ้นมา "เจ้าเป็นประชาชนของดินแดนเซซิลใช่หรือไม่?"
แอมเบอร์ขมวดคิ้วพร้อมครุ่นคิด "ข้าอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายปี แต่ข้าไม่ได้เป็นประชาชนของที่นี่ตามกฎของตระกูลเซซิลที่ว่าใครอยู่ในดินแดนนี้เกินสามปีและจ่ายภาษีตรงเวลาถือว่าเป็นประชาชนของดินแดนนี้หมด...แล้วเจ้าคิดยังไงล่ะ?"
รีบเบคก้าส่ายหัว "เจ้าไม่ใช่ประชาชนของที่นี่"
"โอ้" แอมเบอร์ลากเสียง "แล้วเจ้าถามทำไมงั้นรึ?"
"ข้าเป็นผู้ปกครองดินแดนเซซิล" รีเบคก้าตอบอย่างจริงจัง "ข้ามีหน้าที่ต้องปกป้องประชาชนทุกคน"
"...แหม ทำไมไม่บอกก่อนล่ะ? จะช้าไปไหมถ้าข้าขอยืนยันตัวเป็นประชาชนของดินแดนเซซิล?"
รีเบคก้ามีสีหน้าแปลกๆ "ช้าไปแล้ว"
กาเว่นมองทั้งคู่ เขาอดส่ายหัวด้วยความขำขันไม่ได้
แม้ว่าเขาจะตื่นมาท่ามกลางความยุ่งเหยิง แต่ความรู้สึกที่ได้เป็นมนุษย์ย่อมดีกว่าสภาพที่ราวกับถูกสาปก่อนหน้านี้
กาเว่นมองไปยังเฮอร์ตี้ที่เดินอยู่ด้านหลัง เขาสังเกตุเห็นนางแอบมองเขาอยู่หลากหลายครั้ง เขากำลังรอให้นางเริ่มพูด แต่เมื่อกาเว่นเห็นว่านางไม่มีท่าทางที่จะพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อยเขาจึงเดินเข้าไปหานางเอง "หากมีคำถามอะไรก็เชิญพูดออกมาได้เลย"
เฮอร์ตี้ตกใจเล็กน้อย แต่นางก็หายใจเข้าลึกๆและมองไปยังใบหน้าของกาเว่นที่ดูเหมือนภาพวาดที่นางเคยเห็นในตระกูล "ท่านบรรพบุรุษ...มันเป็นเรื่องยากที่ข้าจะเชื่อว่าท่านคือตัวจริง"
"ข้าคือกาเว่น เซซิล ผู้บุกเบิกดินแดนเหนือเมื่อเจ็ดร้อยปีก่อนแน่นอน ข้าสามารถเล่าสิ่งที่ข้าพบเจอตลอดชีวิตสามสิบปีได้ หรือเจ้าต้องการให้ข้าบอกเจ้าเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานครั้งที่สอง? แต่ข้าเกรงว่าเรื่องเหล่านี้ไม่มีใครรู้มากนัก" กาเว่นยักไหล่ "เจ้าต้องการยืนยันว่าข้าเป็นตัวจริงใช่ไหม?"
"โปรดยกโทษให้ข้าด้วย" เฮอร์ตี้กล่าวด้วยความกังวลใจ "แม้ว่าจะมีตำนานเกี่ยวกับการฟื้นคืนชีพมาแต่โบราณ แต่มันก็ต่างออกไปถ้าได้เห็นด้วยตาตัวเอง ข้าได้ยินว่ามีพาลาดินหรือพวกเอล์ฟดวงจันทร์สามารอยู่ในสภาพจำศีลได้นานหลายสิบปีหรือกระทั่งนับร้อยปีขึ้นอยู่กับพลังศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขา แต่ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีอัศวินหรือมนุษย์คนใดทำได้ และท่าน...ตายไปแล้วเจ็ดร้อยกว่าปี"
"จริงๆแล้วข้าเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน" กาเว่นพูดพร้อมส่ายหัว "บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ข้าเคยทำในอดีต เจ้าก็รู้ว่าข้าได้รับการอวยพรจากเหล่าธาตุ มันอาจจะส่งผลบางอย่างกับร่างกายของข้าก็ได้"
"โอ้..."เฮอร์ตี้อุทานอย่างเหลือเชื่อ แต่ทันใดนั้นเองนางก็หันไปมองเส้นทางด้านหน้า
"มีลมไหลผ่านช่องด้านหน้า" นางพูดด้วยเสียงเบาๆ "และเวทย์มนตร์ที่แตกต่างออกไป พวกเราอาจจะใกล้ถึงจุดสิ้นสุดสุสาน"
กาเว่นพยักหน้าจับดาบในมือแน่น เขารู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ
"ระวังตัวด้วย" ไบรอนที่กำลังเดินอยู่กับแอมเบอร์กล่าว เหมือนเขาเองจะสัมผัสบางอย่างได้เช่นกัน เขาดึงดาบออกมาแล้วเอามืออีกข้างลูบไปตามคมดาบ ดาบส่องแสงอ่อนๆออกมาทันที "พวกเจ้าทั้งสาม คอยระวังด้านหลัง"
ชิ้ง! ทหารทั้งสามพร้อมต่อสู้ทันที แม้พวกเขาจะมีความสามารถธรรมดา แต่ก็เคยเอาชีวิตรอดมาจากการปะทะกับพวกอสูรได้
แม้ว่าทางเดินจะยาวแต่ในไม่ช้ามันก็ใกล้จะสิ้นสุด บนกำแพงมีสัญลักษณ์แสดงว่าใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของทางเดินแล้ว
เมื่อพวกเขามาถึงทางออกมีทางแยกและพื้นที่เปิดโล่งอยู่ด้านหน้า
นี่คือจุดตัดของระบบใต้ดินของปราสาทและสุสาน
แอมเบอร์ชี้ไปยังเส้นทางหนึ่ง "นั่นคือทางที่ข้าเข้ามามันนำไปสู่บ่อแห้งนอกปราสาท แต่ตอนนี้พวกอสูรน่าจะยึดตรงนั้นไปหมดแล้ว"
กาเว่นมองไปที่เฮอร์ตี้ "ตะวันตกคือทางไหน?"
เฮอร์ตี้วาดสัญลักษณ์เวทย์มนตร์ง่ายๆขึ้นบนอากาศ ก่อนที่มันจะกลายเป็นริบบิ้นเรืองแสงและชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
"ทางนั้น" กาเว่นพูด แต่ทันใดนั้นเขาสัมผัสได้ถึงอันตรายบางอย่าง
ก่อนที่เขาจะคิดอะไรได้ ร่างกายของเขาก็ตอบสนองเช่นกัน เขายกดาบแห่งผู้บุกเบิกขึ้นมาป้องกันตามสัญชาตญานทันที ร่างกายของเขาสั่นเล็กน้อยราวกับถูกค้อนทุบ
จากนั้นผู้ที่เข้าโจมตีก็ปรากฎตัวต่อหน้าทุกคน ร่างขนาดยักษ์สามร่างเดินออกมาจากเส้นทางที่มืดมิด
มันดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตทั่วไปบนโลกใบนี้ มันเหมือนกับสัตว์ประหลาดที่ถูกสร้างโดยใช้ศาสตร์มืดของผู้อัญเชิญความตายและนักเวทย์ พวกมันมีความสูงเกือบสามเมตรเหมือนยักษ์ที่เกิดจากโคลนมารวมตัวกัน บางจุดสามารถเห็นกระดูกสีแดงได้
"อา!" รีเบคก้าอุทานเมื่อเห็นอสูรทั้งสาม เบ็ตตี้กัดริมฝีปากราวกับกำลังกลั้นน้ำตา เฮอร์ตี้ยกไม้ท้าวขึ้นและตอกลงบนพื้นเพื่อขจัดความกลัวซึ่งเกิดขึ้นจากเหล่าอสูร จากนั้นนางก็รีบพูดกับกาเว่น "ท่านบรรพบุรุษ อสูรพวกนี้!"
กาเว่นได้สติหลังจากได้เผชิญหน้ากับอสูรครั้งแรก เขาค้นหาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ในความทรงจำของเขา "มันเป็นพวกนี้เองหรือ?"
อสูรทั้งสามได้เข้าโจมตีอีกครั้ง พวกมันพึมพัมเบาๆ อสูรสองตัววิ่งไปหากาเว่น ขณะที่อีกตัวยกแขนขึ้นพร้อมกับสร้างพลังงานสีดำพร้อมทำให้มันควบแน่นกลายเป็นลูกศร จากนั้นมันก็บินไปหาแอมเบอร์ที่อยู่ด้านหน้ากลุ่มทันที!
"อ๊ะ!" แอมเบอร์ร้องออกมาเล็กน้อยพร้อมกับหดตัวเข้าไปในเงาด้านหลังไบรอนทันที จากนั้นนางก็ปรากฎตัวขึ้นที่อีกเงาหนึ่งห่างออกไปประมาณสิบเมตรถือมีดสั้นเรืองแสง
ไบรอนคำรามพร้อมออกไปรับมืออสูรตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามา
"เฮอร์ตี้ รีเบคก้า จัดการกับตัวที่ยิงธนูได้! อย่าใช้เวทย์ไร้ธาตุ มันไม่ได้ผลกับอสูรพวกนี้! แอมเบอร์และทหารที่เหลือคอยปกป้องนักเวทย์!" กาเว่นตะโกน พร้อมกับแกว่งดาบในมืออย่างกล้าหาญ
เขาไม่เคยใช้ดาบในการต่อสู้จริงมาก่อน
เขาไม่เคยเห็นพวกอสูรมาก่อนเช่นกัน
แม้เขาจะเคยผ่านการฟื้นคืนชีพมา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เหยียบดินแดนของโลกอื่น
ดังนั้นเขาจึงไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถทำอะไรได้มากตอนนี้กับความสามารถในการต่อสู้ที่เหลืออยู่ในร่างกายนี้ที่ไม่ได้เป็นของเขา รวมกับดาบโบราณที่สูญเสียพลังเวทย์มนตร์
แต่บ่อยครั้งชะตากรรมไม่ยอมให้เลือกด้วยตัวเอง
เจ็ดร้อยปีที่แล้ว กาเว่น เซซิล สามารถรับมือพวกมันนับร้อยได้ด้วยตัวคนเดียว!
ข้าจะสามารถจัดการพวกมันแค่สามตัวได้ไหม?